วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพัง
รังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง
“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้
“พี่เล็ก...”
เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง
“จันทร์...”
“ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
“พี่เองก็ดีใจมากที่ได้เจอจันทร์ เราไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ จันทร์สบายดีหรือเปล่า แล้วมาอยู่บ้านพี่ตะวันได้ยังไง” ธรินดาถามเช่นนั้น เพราะไม่รู้ว่าจันทริกาคือน้องสาวต่างสายเลือดของอดีตภรรยาของรังสิมันต์
“คือจันทร์…” น้ำเสียงอึกอักนั้นเศร้าลงเช่นเดียวกับแววตา อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ให้ธรินดาฟังอย่างไรดี
“ใครมาน่ะจันทริกา ทำไมไม่เชิญเข้าบ้าน”
เสียงทุ้มๆ ดุๆ ของรังสิมันต์ดังแทรกขึ้น ก่อนที่จันทริกาจะทันได้ตอบคำถาม ทำให้ทั้งจันทริกาและธรินดาต่างหันไปยังเจ้าของเสียงพร้อมๆ กัน
“เล็กเองค่ะพี่ตะวัน” ธรินดาบอกพร้อมกับยกมือไหว้รังสิมันต์
จันทริกานึกอยากจะเดินเลี่ยงไป แล้วปล่อยให้ทั้งสองคุยกันตามลำพัง แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท เพราะถึงอย่างไรธรินดาก็เป็นรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมด้วย จึงได้แต่ยืนฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่เงียบๆ
น้ำเสียงของรังสิมันต์ยามที่คุยกับธรินดาฟังดูอ่อนโยนมาก ทำให้จันทริกาอดที่จะนึกถึงตอนที่เขายังเป็นพี่ตะวันผู้ใจดีของเธอไม่ได้ การพูดคุยของคนทั้งคู่ ทำให้เธอจับใจความได้ว่า ธรินดามาถามหาปรัชญ์ น้ำเสียงดูเหมือนมีเรื่องกำลังทุกข์ใจและมีเรื่องที่ต้องปรับความเข้าใจกับปรัชญ์ และพอรังสิมันต์บอกว่าปรัชญ์เดินทางไปต่างประเทศ ธรินดาจึงลากลับไปด้วยสีหน้าและแววตาที่หม่นหมองกว่าเดิม
“เธอรู้จักกับน้องเล็กด้วยเหรอ” รังสิมันต์ถามขึ้นหลังจากที่ธรินดาลากลับไปแล้ว
“รู้จักค่ะ จันทร์กับพี่เล็กเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แล้วก็เคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันค่ะ”
“ดูท่าจะสนิทสนมกันไม่น้อยนี่”
“ก็สนิทพอสมควรค่ะ”
“ความจริงไม่น่านะ เพราะน้องเล็กเป็นผู้หญิงที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจอย่างแท้จริง ส่วนเธอไม่ได้สวยเลยสักนิด แถมจิตใจก็โหดเหี้ยมเกินใคร ยังดีที่น้องเล็กไม่ได้ซึมซับเอานิสัยแย่ๆ ของเธอมา แต่ก็อย่างว่าน้องเล็กเป็นคนดีจากเนื้อแท้ คนดีปลอมๆ อย่างเธอจึงไม่สามารถทำให้น้องเล็กเลวไปด้วยได้”
คำพูดเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงสองคน ซึ่งคนหนึ่งเป็นภาพสะท้อนของความบริสุทธิ์สะอาด ส่วนอีกคนความมืดดำโหดร้าย เป็นอีกหนึ่งครั้งที่รังสิมันต์เลือกที่จะพูดมันเพื่อทำร้ายหัวใจอันเปราะบางของผู้หญิงตัวเล็กๆ เจ้าของนัยน์ตาแสนเศร้าที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“ถ้าคุณพอใจแล้ว จันทร์ขอตัวไปตากผ้าต่อนะคะ” จันทริกาเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ โดยไม่คิดจะตอบโต้ตามเคย เพราะถึงจะพูดหรือทำดีแค่ไหน รังสิมันต์ก็ไม่มีวันจะกลับมามองเธอด้วยความรู้สึกดีๆ อีกแล้ว
“ทำไม ฉันพูดจี้ใจดำแล้วทนฟังไม่ได้หรือไง ความจริงเรื่องแค่นี้ไม่น่าจะกระทบกระเทือนความรู้สึกของคนใจดำแบบเธอได้นะ”
“ค่ะ จันทร์ไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะกับคำพูดแค่นี้ จันทร์แค่อยากไปทำงานต่อให้เสร็จ”
พูดจบร่างบางก็เดินลิ่วๆ เข้าไปหลังบ้าน โดยมีสายตาดุดันมองตามอย่างหงุดหงิด แต่รังสิมันต์ไม่รู้หรอกว่า เมื่อถึงหลังบ้านแล้ว คนที่บอกว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไร กลับน้ำตาไหลพร่างพรูออกมาด้วยคำพูดที่คอยทำร้ายจิตใจอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สองเดือนต่อมา จันทริกาเห็นปรัชญ์มาหารังสิมันต์ที่บ้านอีกครั้ง หลังจากไม่ได้มานานพอสมควร รังสิมันต์ยังอาบน้ำอยู่ชั้นบนและยังไม่ลงมาในตอนที่ปรัชญ์มาถึง จันทริกาจึงเอาน้ำไปเสิร์ฟให้ตามหน้าที่และเตรียมจะเลี่ยงไป แต่กลับถูกปรัชญ์เรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนจันทร์”
“คุณปรัชญ์อยากได้อะไรอีกเหรอคะ”
“เปล่า...พี่บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ว่าพี่ปรัชญ์ ห้ามเรียกว่าคุณ และที่พี่มาวันนี้ก็เพราะพี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เรื่องอะไรคะ”
“ตามพี่มาทางนี้เถอะ เดี๋ยวไอ้ตะวันลงมาจะเสียเรื่องก่อน”
ว่าแล้วปรัชญ์ก็เดินนำจันทริกาไปยังระเบียงริมสวนข้างบ้าน จากนั้นเขาก็เริ่มคุยธุระของตัวเองทันที
เจ้าของบ้านซึ่งเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จรีบเดินลงมาชั้นล่าง หลังจากได้ยินเสียงรถคุ้นหูและจำได้แม่นว่าเป็นรถของปรัชญ์ซึ่งหายหน้าหายตาไปนาน เขากำลังจะตรงไปยังห้องนั่งเล่น เพราะคิดว่าปรัชญ์นั่งรอตนอยู่ที่นั่น แต่เท้าที่กำลังจะก้าวไปยังห้องนั่งเล่นก็หันเหเปลี่ยนทิศทาง และไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าตอนนี้ปรัชญ์กำลังคุยอยู่กับจันทริกาตามลำพัง คล้ายกับมีลับลมคมในบางอย่างอยู่ตรงระเบียงข้างบ้านของเขา
ความหงุดหงิดและโกรธกรุ่นเกิดขึ้นโดยพลัน ทั้งๆ ที่เขาเคยสั่งห้ามจันทริกาแล้วว่าไม่ให้มาทำตัวสนิทสนมกับปรัชญ์หรือผู้ชายคนไหน แต่พอลับหลังเขาเธอก็กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง แถมไอ้ปรัชญ์ก็ช่างกระไร มันกำลังจะแต่งงานกับธรินดาอยู่แล้ว ยังมาแอบทำเหมือนจะตีท้ายครัวเขาอีก
บทที่ 50“แต่คุณปรัชญ์ขอร้องนะคะ จันทร์ไม่อยากผิดคำพูดกับ...”จันทริกายังพูดไม่ทันจบ นิ้วแกร่งเรียวยาวก็แตะลงบนเรียวปากนุ่ม เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ“ฉันไม่อนุญาตให้เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าฉัน”พูดจบนิ้วที่แตะอยู่บนเรียวปากนุ่มก็เลื่อนออก แต่เรียวปากหยักร้อนกลับเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ร่างบางเกร็งขึ้นเพราะกลัวว่ารังสิมันต์จะทำรุนแรงเช่นเดิมอีก หากแต่จูบครั้งนี้เป็นจูบที่แสนอ่อนโยน จูบที่คล้ายจะไถ่โทษ จูบที่เว้าวอน จนอาการเกร็งนั้นมลายหายไป และยืนนิ่งให้เขาจูบอยู่เนิ่นนาน“เมี้ยว...”เสียงร้องของเมสซี่ที่ดังขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของทั้งคู่สะดุดลง จันทริกาได้สติจึงรีบผละออกห่างจากการโอบกอดของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวลงไปอุ้มเมสซี่ขึ้นมาแนบอก คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาเข้าถึงตัวได้อีกรังสิมันต์ออกจะเขม่นแมวตัวโปรดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมันรู้งาน และไม่เคยทำตัวเป็นก้างขวางคอ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาขัดจังหวะก็ไม่รู้“ฉันเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าไม่ให้เห็นใครสำคัญกว่าฉัน”“แต่นี่เมสซี่แมวของคุณนะคะ คุณให้อาหารมันหรือยังคะ” จันทริกาถามอย่างพอจะเข้าใจอากัปกิริยาของเมสซี่ดีว่าที
บทที่ 49ร่างสูงเดินดุ่มไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่รีรอ สีหน้าบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปรัชญ์จึงพยักหน้าให้จันทริกาหลบไปก่อน ส่วนเขาเป็นฝ่ายอยู่รับหน้ารังสิมันต์ “แกมาทำอะไรที่บ้านฉัน” รังสิมันต์ถามเสียงห้วนกระด้างอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์“มาหาจันทร์”“มาหาทำไม?”“มาจีบมั้ง” ปรัชญ์ตอบกวนๆ ยิ่งเห็นรังสิมันต์ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจที่ได้ยั่วให้เพื่อนโกรธได้ แต่ดูแค่ตาเดียวก็รู้ว่าที่รังสิมันต์ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะกำลังหึงหรือไม่ก็หวงก้าง“มันใช่เวลาไหม” รังสิมันต์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงโทนเดิม“ทีแกยังเคยคิดจีบเมียฉัน ทำไมฉันจะจีบเมียแกบ้างไม่ได้” ปรัชญ์ยักไหล่และตอบกวนๆ เช่นเดิม ทั้งๆ ที่ในใจแอบหัวเราะคนออกอาการอยู่เงียบๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียฉัน” แม้จะออกอาการว่าหึงหวงปานใด แต่ปากก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ซึ่งนั่นกลับยิ่งเข้าทางปรัชญ์“ไม่ใช่ก็ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกๆ”“แกกำลังจะแต่งงานกับน้องเล็กนะเว้ย เลวให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมไอ้เวร”“หวงก้างว่างั้น”“แกแม่งกวนตีนไม่เลิกว่ะ แล้วแต่แกเถอะไอ้เลวอยากทำอะไรก็ทำ” เมื่อถูกจี้แบบถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก รังสิ
บทที่ 48วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพังรังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้“พี่เล็ก...”เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง “จันทร์...” “ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห