เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ทำให้รังสิมันต์ที่กำลังนั่งมองเมสซี่กินอาหารอยู่ต้องลุกขึ้น แล้วหยิบมันออกมาเพื่อกดรับสาย
“ว่าไงครับศศิ” เสียงทุ้มถามออกไปอย่างคุ้นเคย เพราะหลังจากที่ศศิประภาช่วยเมสซี่ไว้ในวันนั้น ความสนิทสนมระหว่างเขากับศศิประภาก็มากขึ้นเรื่อยๆ วันไหนที่เขาไม่ได้ไปที่บ้านของเธอตามคำเชิญ เธอก็มักจะเป็นฝ่ายโทร.มาหาเขาอยู่เป็นประจำ
“คุณตะวันช่วยศศิด้วย...ฮือๆๆๆ”
ศศิประภาพูดละล่ำละลักและตามมาด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ใจเย็นๆ นะครับศศิ มีอะไรค่อยๆ เล่านะครับ” รังสิมันต์เอ่ยปลอบใจ การร้องไห้ของศศิประภาแบบนั้นทำให้เขาพอจะเดาออกว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอแน่ๆ
“แม่ศศิ แม่ศศิตายแล้ว…”
“คุณสิริมาน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ...ฮือๆ”
“เกิดอะไรขึ้นครับศศิ”
“พ่อของยัยจันทร์ขับรถชนรถสิบล้อ แม่ศศินั่งอยู่ในรถด้วย รถอัดกระแทกจนพังยับเยินหมดเลย แล้วแม่ก็...ฮือๆ” ศศิประภาทั้งเล่าทั้งสะอึกสะอื้น
“แล้วคุณเมธาล่ะครับ”
“ตายแล้วเหมือนกันค่ะ ศศิไม่เหลือใครแล้ว ตอนนี้มืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้วค่ะ คุณตะวันช่วยศศิด้วยนะคะ”
เสียงอ้อนวอนนั้นดังมาตามสายสั่นคลอนหัวใจของรังสิมันต์จนต้องรีบไปยังโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง ห่วงศศิประภา และห่วงเด็กผู้หญิงอีกคนที่ไม่ได้โทร.มาร้องไห้คร่ำครวญ แต่เขารู้ดีว่าเธอเองก็คงเคว้งคว้างและเสียใจไม่ต่างอะไรกับศศิประภา จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและใหญ่หลวงครั้งนี้
งานสวดอภิธรรมศพเมธาและสิริมาจัดขึ้นที่วัดใกล้บ้านเป็นเวลาเจ็ดวัน โดยค่าใช้จ่ายในงานทั้งหมดรังสิมันต์อาสาเป็นคนรับผิดชอบให้ทุกอย่าง ศศิประภานั่งร้องไห้ซบอกเขาอย่างไม่อายใคร ขณะที่จันทริกาทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำและต้อนรับแขกจากที่ทำงานของพ่อและน้าสิริมา รวมทั้งเพื่อนบ้านในละแวกที่คุ้นเคยกันดี
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการสวดอภิธรรม ผู้หญิงสองคนซึ่งเป็นผู้สูญเสียนั่งพนมมือไหว้พระ เช่นเดียวกับแขกคืนอื่นๆ ที่มาร่วมไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์
เสียงพระสวดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเชียบของบรรยากาศ คนฟังสวดส่วนใหญ่ต่างรำลึกถึงคนจากไปด้วยอาการสำรวม แต่รังสิมันต์กลับครุ่นคิดถึงอนาคตของผู้หญิงสองคนที่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คนหนึ่งคือคนที่ช่วยชีวิตแมวของเขา อีกคนคือเด็กสาวที่เก็บกระเป๋าตังค์เขาได้แล้วคืนให้ ตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มกำลังร่ำร้องอยากปกป้องดูแลผู้หญิงทั้งสองคน หากแต่จะทำอย่างไรดีถึงจะมีสิทธิ์ปกป้องดูแล และมั่นใจได้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในสายตาและความดูแลของเขาโดยปราศจากข้อครหาใดๆ จากคนรอบข้าง
ความคิดนั้นจบลงพร้อมๆ กับที่เสียงสวดบทสดท้ายของพระสี่รูป แขกเหรื่อที่มาร่วมงานบางคนทยอยกลับ บ้างก็นั่งรับประทานอาหารที่เจ้าภาพจัดเลี้ยง
“ศศิครับ...” รังสิมันต์หันไปเรียกผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของตน
“คะคุณตะวัน”
“ผมรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป และไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่ผมอยากดูแลศศิกับน้อง ได้โปรด...แต่งงานกับผมนะครับ”
คำพูดนั้นไม่ใช่แค่ศศิประภาที่ได้ยิน หากแต่มันกระทบโสตประสาทของเด็กผู้หญิงอีกคนเข้าอย่างจัง ร่างบางจึงลุกขึ้นแล้วพาตัวเองเดินออกมาเงียบๆ ความอ้างว้างในหัวใจเกิดขึ้นมากกว่าเดิม เธอรู้ดีว่าศศิประภาคงไม่ปฏิเสธคำขอแต่งงานของรังสิมันต์ ในเมื่อศศิประภาแสดงออกตลอดมาว่าชอบเขา และหลังจากนี้ไปเธอคงถูกทิ้งให้อยู่บ้านหลังนั้นอย่างโดดเดี่ยว บ้านที่เธอไม่เคยคิดว่ามันเป็นบ้านของเธอเลย
น้ำตาหยดใสๆ เอ่อล้นขอบตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าหวาดกลัวที่จะต้องอยู่เพียงลำพัง หากแต่หวาดกลัวกับความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกอันมืดมนใบนี้ เฉกเช่นเดียวกับบรรยากาศสีนิลของรัตติกาลที่โอบล้อมตัวเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเด็กดีของพี่”
เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้จันทริกาต้องรีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปหาคนถาม
“เปล่าค่ะ...พี่ตะวันอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่ไม่อยากได้อะไร แค่อยากมาคุยเป็นเพื่อน”
“จันทร์ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงได้มายืนร้องไห้อยู่แบบนี้ล่ะหือ” เสียงที่เอื้อนเอ่ยถามนั้นช่างฟังดูอบอุ่นและห่วงใยเหลือเกิน ทำให้คนฟังสัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง
“จันทร์แค่คิดถึงพ่อน่ะค่ะ” เสียงพูดอู้อี้ขึ้นจมูกเพราะคนพูดกำลังร้องไห้ออกมาอีกอย่างหักห้ามใจไม่ได้
“กลัวด้วยใช่ไหม กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่มีพ่อ”
“กลัวค่ะ...”
“มานี่มา” รังสิมันต์เอ่ยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยกมือขึ้นโอบร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วตวัดเข้ามากอดไว้แนบอก
จันทริกาไม่ได้ขัดขืนแต่ยืนให้เขากอดอยู่เงียบๆ อาจเพราะตอนนี้หัวใจอ้างว้างและหนาวเหน็บ จนรู้สึกว่าอ้อมกอดของรังสิมันต์ช่างอบอุ่นเหลือเกิน...ใช่สินะ...เขาเป็นตะวัน ตะวันที่มีแต่สาดแสงอบอุ่นและมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้มากมาย ในขณะที่เธอคือจันทราซึ่งมีสิทธิ์ทอแสงได้ในบางวันเท่านั้น และแสงของเธอก็แสนจะอ่อนบาง จนมิอาจให้ความอบอุ่นแก่ใครได้แม้แต่ตัวเอง
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา