เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุด จนพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัวฟู่ลี่อิ๋งก็ยังมิถึงจุดหมายปลายทาง บ่าวสองคนที่เดินตามหลัง ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า โชคดีที่บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนวุ่นวาย คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวจึงดูเหมือนจะไม่ได้ยิน สิ่งที่พวกนางสองคนก่นด่า
“ดูสิ ปกตินางเคยเดินที่ไหนกัน” เสี่ยวเยว่กอดอกบ่นอยู่เบื้องหลัง นางต้องเสียไปเวลาตลอดช่วงเช้า เพื่อเอามาใช้กับการเดินตามหลังสตรีร้ายกาจต้อย ๆ
“เจ้าอย่าพูดไปสิ เกิดนางได้ยินขึ้นมาเดี๋ยวก็หันมาลงไม้ลงมือกับเราพอดี” เสี่ยวถิงบอกให้สหายอย่างส่งเสียงดังไปมากกว่านี้
“นางไม่ได้ยินหรอก หากนางได้ยินก็คงหันมาตบตีพวกเราสองคนไปแล้ว” เสี่ยวเยว่เอ่ย
“หรือที่จริงนางได้ยิน แต่เหนื่อยเกินกว่าจะหันมาตบตีพวกเราสองคนกลางตลาด” เสี่ยวถิงเสริม
“ไม่ใช่ว่าหลังจากกลับไปแล้ว พวกเราสองคนโดนเฆี่ยนหลังลายหรอกนะ”
จู่ ๆ ทั้งสองคนก็คิดอะไรดี ๆ ได้ในเมื่อนี่เป็นโอกาสทอง ก็ขอใช้เวลานี้ให้คุ้มค่า สาวใช้สองนางกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ไม่ให้ผู้ใดได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเร็วในการเดินของพวกตนให้ช้าลงจนกระทั่งหยุดเดินและปล่อยให้คุณหนูตัวแสบเดินลิ่วไปอยู่ผู้เดียว
กระทั่งแผ่นหลังแบบบางของฟู่ลี่อิ๋งแสนร้ายกาจหายลับไปกับฝูงชน พวกนางจึงเดินตบมือด้วยความสบายใจ พร้อมกับเข้าไปนั่งดื่มน้ำชาที่ร้านข้างทาง
ไม่ใช่ว่าฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้ยินในสิ่งที่ทั้งสองคนกล่าวนินทานางลับหลัง แต่นางคร้านจะหันไปตบตีด่าทอ กลับจวนโหวเมื่อไหร่ค่อยลงโทษก็ไม่เสียหาย เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางคือการไปให้ถึงศาลเจ้าท้ายตลาดเสียที
“เสี่ยวถิง ขอน้ำให้ข้าหน่อย” คนตัวเล็กยื่นมือส่งไปด้านหลังเพื่อรับถุงหนังสำหรับใส่น้ำดื่ม
แต่ยื่นออกไปอยู่นานดันมีแต่ความว่างเปล่า นางจึงหันกลับไปตั้งใจจะเอาเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไร้เงาของหญิงรับใช้และองครักษ์ประจำกาย
คนพวกนั้นหายไปหมดแล้ว!!
เท่ากับว่าในเวลานี้ฟู่ลี่อิ๋งกำลังอยู่เพียงลำพังในตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน นางไม่เคยออกมานอกจวนโหวเพียงลำพัง ความรู้สึกจึงเต็มไปด้วยความหวั่นใจและกังวลใจ ระยะทางจากตรงนี้เพื่อกลับจวนและไปให้ถึงศาลเจ้า เมื่อคำนวณแล้วออกมาไม่ห่างกันมากนัก
อย่างน้อย ๆ ก็ไปให้ถึงที่นั่นดูดวง ทำนายฝันให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยนั่งรถม้ารับจ้างกลับจวนโหวก็ยังไม่สาย
นางไม่น่านึกอยากเป็นคนดียกรถม้าให้กับฟู่เหยาเหยา คิดได้ในตอนนี้ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว ในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงค่อย ๆ หอบสังขารร่างกายอันอ่อนแอไปให้ถึงศาลเจ้าท้ายตลาดให้จงได้ หากเป็นคนปกติทั่วไป จากจุดนี้คงใช้เวลาไม่ถึงสองก้านธูป
แต่นางกลับใช้เวลาเดินยาวนานถึงเกือบหนึ่งชั่วยาม
เมื่อได้มาเดินเช่นนี้ทำให้นางได้เห็นคุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั่วไป บ้างร่ำรวย บ้างเร่ร่อน บ้างยากจน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงชีวิตของตนเอง ใช่แล้ว ใครใช้ให้พวกเขาไร้วาสนา เกิดมาต่ำต้อยกันเล่า
“พี่สาว” จู่ ๆ เด็กชายมอมแมมผู้หนึ่งก็วิ่งมากระตุกชายกระโปรงของนาง
ฟู่ลี่อิ๋งขมวดคิ้วในใจนึกรังเกียจแต่เมื่อพิจารณาดูให้ถ้วนถี่เด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมมผู้นี้ผอมบางยิ่งนัก เขาน่าสงสารมากกว่าน่ารังเกียจ
“มีเรื่องใด” ในใจอยากจะเดินต่อ แต่ก็อยากรู้เหตุผลที่หนุ่มน้อยผู้นี้กล้าใช้มือสกปรกนั่นจับกระโปรงผ้าไหมราคาแพงของนาง
“ข้าหิวเหลือเกินขอรับ” เด็กชายทำหน้าเศร้า แม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดก็แทบจะไม่มี
“แล้วเหตุใดถึงไม่กินล่ะ แม่ของเจ้าไม่หาข้าวหาปลาให้กินหรือ ที่บ้านไม่มีคนรับใช้หรืออย่างไร” ฟู่ลี่อิ๋งพูดออกไปตามความคิดของนาง ตอนหลังถึงได้มาคิดได้ว่า ข้าวซักถ้วยยังหากินไม่ได้จะเอาปัญญาที่ไหนไปจ้างคนรับใช้
“ข้าน้อยเป็นเด็กกำพร้า ตอนนี้พลัดหลงกับครอบครัวขอรับ ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว” เด็กน้อยยืนโซเซอ่อนแรง
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเขาจะเชื่อเจ้า” ถึงจะอยากเชื่อแต่สภาพของเด็กน้อยผู้นี้เข้าขั้นยาจก เหตุการณ์น่าจะเป็นอย่างที่เขากล่าวจริง ๆ
ฟู่ลี่อิ๋งที่สุขสบายมาทั้งชีวิตไม่รู้ว่าอดข้าวจนอ่อนแรงเป็นความรู้สึกอย่งไร
“จริง ๆ นะขอรับ อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้กินข้าวสักมื้อ พอข้ามีแรงจะได้ออกตามหาครอบครัว” เขาทำหน้าจ๋อยเพราะรู้ว่าใครได้เห็นเขาในสภาพเช่นนี้ย่อมไม่เชื่อ ว่าเขาพลัดหลงกับครอบครัวจริง ๆ
เจ้าของใบหน้าสวยหวานกลอกตาไปมา หากเดินไปแค่อีกไม่กี่ตรอกก็ถึงศาลเจ้า นางบึนปากอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมจูงมือสกปรกของเด็กชายเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เสี่ยวเอ้อ เห็นสตรีใบหน้างดงามเดินเข้ามาด้านในก็รีบกุลีกุจอเข้ามารับรองบริการ ถึงแม้จะรังเกียจเด็กชายที่เดินตามเข้ามาแค่ไหนก็ตาม ‘ไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวบ้านไหนถึงได้งดงามเช่นนี้’
“คุณหนูเชิญทางนี้” เขาพาฟู่ลี่อิ๋งและเด็กชายมอมแมมเข้าไปมุมในสุดของร้าน เนื่องด้วยเพราะรังเกียจเด็กชาย
ฟู่ลี่อิ๋งเข้าใจเจตนาของเสี่ยวเอ้อดีจึงมิได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด เพียงแค่เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย นางสั่งอาหารง่าย ๆ สองสามอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารสำหรับเด็กมีรสชาติไม่เผ็ด พร้อมกับขอผ้าชุบน้ำเพื่อนำมาสำหรับชำระล้างใบหน้าเด็กชาย
“พี่สาว ท่านไม่ทานหรือ” เด็กชายเห็นนางทำเพียงแค่จิบชาก็รู้สึกเกรงใจ เนื่องด้วยกังวลว่าตัวเองจะเป็นภาระ
“ข้าไม่อยากกิน ใครจะอยากกินข้าวกับเจ้ากัน เจ้าตัวเหม็นน้อย” อาหารที่อยู่บนโต๊ะล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นางกินไม่ได้ เพราะส่งผลร้ายต่อสุขภาพของนาง แต่สำหรับเด็กล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี จึงได้หาเหตุผลอ้างไปเรื่อย “ว่าแต่เจ้าเด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร” นางเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้เด็กชายเลิกพะวงกับการไม่กินข้าวกับเขา
“ข้าน้อยแซ่เว่ย มีนามว่าเจี้ยนไค” เด็กชายเอ่ย
“งั้นหรือ” ฟู่ลี่อิ๋งตั้งใจฟังเด็กชายพูดเจื้อยแจ้ว
เมื่อพิจารณาให้ดีพบว่าเสื้อผ้าที่เด็กชายสวมใส่ เป็นผ้าไหมอย่างดีคุณภาพแทบไม่ต่างอะไรจากที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางสวมใส่ มีแต่ตระกูลคหบดีเท่านั้น จึงจะมีแพรพรรณแบบนี้ หรือที่เขาบอกว่าพลัดหลงกับครอบครัวจะเป็นเรื่องจริง
เว่ยเจิ้งหยางรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ตามนางขึ้นมาด้านบนด้วยกัน นางอายุเท่าไหร่กันแล้ว ได้ยินว่าปีหน้าก็ครบ18 ไม่ใช่สตรีวัยเยาว์อีกต่อไปแล้ว เหตุใดจึงไม่รู้จักระวังเนื้อระวังตัว ซ้ำยังขึ้นมาบนที่เปลี่ยว ๆ เช่นนี้ หากมีผู้ที่คิดไม่ดีขึ้นมา สตรีตัวแค่นั้นจะเอาแรงที่ไหนไปสู้แค่เดินขึ้นภูเขาเตี้ย ๆ แค่นี้นางก็หมดแรงแล้ว ไหนเลยจะไปต่อต้านผู้อื่นได้ แค่เป่าเทียนนางจะเป่าดับหรือเปล่าเถอะแล้วพูดก็พูดนางอายุเลยวัยออกเรือนไปแล้วหลายปี สาเหตุที่ยังไม่แต่งงานคงเพราะนิสัยร้ายกาจของนางกระมังใช้เวลาอยู่ราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ฟู่ลี่อิ๋งก็ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของยอดเขา เจ้าของร่างเล็กแบบบางหันไปมองหน้าบุรุษที่เดินนำหน้านางขึ้นมา ‘เว่ยอ๋องช่างแข็งแรงนัก’ เดินขึ้นมาตั้งหลายร้อยขั้นเหตุใดเขาจึงดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด ผิดกับนางที่แทบจะเป็นลมตายอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะอยากดูดวงนางไม่ขึ้นมาบนนี้ให้เสียเวลาชีวิตหรอกคนตัวเล็กไม่ได้มีสติจะหันไปม
หลังจากที่เขาปล่อยนางลง ฟู่ลี่อิ๋งก็มุ่งหน้าไปที่โต๊ะดูดวงในทันที แต่เมื่อมาถึงก็ต้องพบกับความว่างเปล่า“เกิดอะไรขึ้น หมอดูล่ะ” คนตัวเล็กเกาหัวแกรก ๆ นางอุตส่าห์เสี่ยงตายปีนบันไดขึ้นมาหาเขา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า“เจ้ามาดูดวงกับท่านหมอดูเหรอ” ผู้ดูแลศาลเจ้าเอ่ยทักเมื่อเห็นสตรียืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงจุดที่เคยเป็นร้านหมอดู“เจ้าค่ะ ข้าน้อยมาดูดวง”“แย่จัง ท่านหมอย้ายไปตั้งแผงที่อื่นแล้ว” บุรุษอาวุโสที่น่าจะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าบอกแก่นาง“ตั้งแต่เมื่อไหร่”“ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน”หลายวันก่อนคงไม่ใช่วันที่นางถูกจับตัวหรอกใช่ไหม“ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าท่านหมอดูไปตั้งร้านที่ไหน” นางถาม“บนเขาหลังศาลเจ้า” ผู้ดูแลชี้นิ้วไปยังทางขึ้นเขาดวงตากลมตามองตามนิ้วมือของผู้ดูแลศาลเจ้าที่ชี้ไปทางเชิงเขา บุรุษวัยกลางคนยิ้มแป้นแล้วค่อย ๆ กวาด
เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังฟู่ลี่อิ๋งดันหวนคิดถึงเหตุการณ์ในปีนั้น ในปีที่นางอายุแค่เพียง 9 ขวบ ครอบครัวมีสุขพร้อมหน้า แต่แล้ววันหนึ่งในวันที่อากาศหนาวจัดหิมะโปรยปราย จนทั้งลานบ้านอาบไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะนั่นเป็นวันที่นางได้พบหน้ากับน้องสาวต่างมารดาเป็นครั้งแรก ฟู่ลี่อิ๋งในวัยเด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางเห็นสีหน้าของมารดาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียใจและทุกข์ระทม คงเป็นเพราะไม่ได้คาดคิดว่าสามีที่นางรักสุดหัวใจจะเป็นบุรุษเช่นนั้นนางหวีดร้องโวยวายและทำร้ายฟู่เหยาเหยาจนเลือดตกยางออก ตอนนั้นเอง ที่ฝ่ามือของบิดาฟาดลงมาที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางในวัยแค่เพียง 9 ขวบ ผู้ที่ถูกบิดาทะนุถนอมมาตลอดชีวิตฟู่โหวตบหน้านาง ความเจ็บปวดร้าวลึกไปยังก้นบึ้งของหัวใจ บิดาที่เคยรักนางเป็นที่สุด ผู้ที่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางเลยสักครั้งตั้งแต่นางเกิดมา แต่วันนั้นท่านพ่อเป็นผู้ลงมือตบหน้านาง เพียงเพราะต้องการปกป้องฟู่เหยาเหยาฟู่ลี่อิ๋งจำรอยยิ้ม ของฟู่เหยาเหยาได้ดี นางลอบยิ้มและตั้งใจให้มีแค่เพียงฟู่ลี
ก่อนวันแต่งงาน เว่ยจงหมิงส่งกำไลหยกจักรพรรดิ[1]ไปมอบให้กับว่าที่ไท่จื่อเฟย โดยกำชับให้เป็นมั่นเป็นเหมาะกับลู่เหวิน ว่าให้ส่งให้กับมือของนางโดยเฉพาะ องครักษ์เมื่อได้รับพระบัญชาจากไท่จื่อก็รีบนำสิ่งของไปส่งคนถึงที่แผนการของฟู่เหยาเหยาต่อจากนี้จะมีแค่เพียงเสี่ยวเชี่ยนและองครักษ์หนุ่มที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนใช้ยาปลุกกำหนัดเท่านั้นที่รู้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันสิ่งนี้คงจะเรียกกว่าการแบล็กเมล์ ซึ่งนางเคยทำบ่อย ๆ ตอนที่ยังเป็นดาราชื่อดังแห่งยุคนักการเมืองชื่อดัง ดาราผู้มีชื่อเสียง ผู้กำกับนักร้อง ล้วนแล้วแต่เคยถูกนางกระทำการเช่นนั้นมาแล้วทั้งสิ้น นางรู้ความลับมากมายของคนพวกนั้น แถมยังใช้ความลับเหล่านั้นมาผลักดันให้ตัวเองก้าวขาเข้าสู่แถวหน้าของวงการบันเทิง ไม่มีใครในโลกที่นางจากมาไม่รู้จัก เนี่ยเหยาเหยาสุดยอดนางเอกอันดับหนึ่งแต่แล้ววันหนึ่งคู่อริและคู่ขาของนางต่างก็พากันเอาคืนอย่างสาสม เนี่ยเหยาเหยาในอดีตถูกจับฉีดยาเสพติดเกินขนาดโดยที่นางไม่ได้เต็มใจ ก่อนที่จะได้มาอยู่ในโลกของนิยาย ชื่อเสียงของนางฉาวโฉ่ จากดาราสาวใสซื่อภาพล
นับตั้งแต่วันที่นางได้เข้ามาอยู่ในโลกของนิยาย ฟู่เหยาเหยาก็ตั้งใจจะปฏิวัติเนื้อเรื่องใหม่ นางจะไม่เป็นนางเอกที่ถูกนางร้ายเช่น ฟู่ลี่อิ๋งรังแกทำร้ายเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานตัวละครที่สำคัญก็จะทยอยโผล่หน้าออกมาให้นางเห็นน่าเสียดาย!!ตามเส้นเรื่องของนิยายเรื่องนี้ นางจะเป็นผู้ไปพบกับอ๋องน้อยบุตรชายที่เป็นแก้วตาดวงใจของเว่ยอ๋อง แต่กลายเป็นว่าสตรีนิสัยเสียผู้นั้นเป็นผู้ไปพบเขาเข้าเสียก่อน ร้อยวันพันปีนางไม่เคยได้ย่างก้าวออกจากบ้าน แต่ไฉนเลยวันนี้นางถึงได้ออกไป“คุณหนูเจ้าคะ” หญิงรับใช้ของฟู่เหยาเหยาเข้ามารายงานในสิ่งที่ตนเองทราบ“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”“จริงอย่างที่คุณหนูคาดเดาเอาไว้ไม่ผิด คุณหนูใหญ่ได้ไปพบกับเว่ยอ๋องมาจริง ๆ บุรุษที่พูดคุยกับท่านโหวเมื่อตอนก่อนฟ้ามืดก็เป็นองครักษ์ของเขาเจ้าค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนเล่า“ถึงว่า ข้าถึงไม่เห็นเว่ยอ๋อง” ฟู่เหยาเหยารู้สึกอารมณ์เสีย นี่เป็นครั้งแรกที่การคาดเดาของนางผิดพลาดอุตส่าห์ตั้งใจจะออกไปพบกับเว่ยเจิ้งหยาง ตั้งใจจะทำให้เขาประทับใจ แต่กลายเป็นว่าบุรุษผู้นั้นได้ไปพบกับสตรีเช่นนาง น่าหงุดหงิดเป็นที่สุด“บ่าวยังได้ยินมาอีกว่า คุณหนูใหญ่เกื
เมื่อพาบุตรสาวออกมาพ้นจากจวนพักร้อนของเว่ยอ๋องได้ ฟู่ซิ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาผลักดันให้นางเข้าไปนั่งด้านในรถม้าก่อนจะเริ่มสอบถามชำระความ“ได้ยินพวกบ่าวบอกว่าเจ้าจะไปศาลเจ้า เหตุใดตกเย็นจึงมาตกอยู่กับเว่ยอ๋องได้” เขาถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของนาง“ถ้าลูกพูดไป ท่านพ่อจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ” นางถามให้แน่ใจเสียก่อนว่าบิดาจะเชื่อฟังคำของนางหรือไม่“เกิดเรื่องขนาดนี้แล้ว ก็ต้องเชื่อสิ”“ก็ได้เจ้าค่ะ งั้นลูกจะเล่าทั้งหมด” นางก้มหน้าบีบมือและเริ่มเล่า “ข้าฝันร้าย ฝันว่าตัวเองตายคาคมดาบของบุรุษผู้หนึ่ง ฝันซ้ำ ๆ เหตุการณ์เดิมติดต่อกันมานานหลายเดือน ได้ยินพวกบ่าวเล่าว่าที่ศาลเจ้ามีหมอดูชื่อดังลูกเลยอยากให้เขาทำนายฝันให้”“ฝันร้าย? ตายคาคมดาบ”“เจ้าค่ะ ฝันร้าย ที่ลูกร่างกายอ่อนในช่วงหลังก็เพราะว่าต้องตื่นมากลางดึก พอไม่ได้นอนนาน ๆ เข้าร่างกายก็เหนื่อยล้า”“อืม แล้วทำไมถึงไม่ใช้รถม้า”“ลูกเห็นว่า นางตัวดีก็กำลังจะออกไปตลาดด้วยเช่นกัน ก็เลยเสียสละรถม้าที่เหลืออยู่คันเดียวในจวนให้นาง และตัดสินใจเดินไป” นางตัวดีที่ฟู่ลี่อิ๋งเอ่ยถึงก็คือฟู่เหยาเหยา“อย่างเจ้านะหรือจะเสียสละเป็