เมื่อเสี่ยวเอ้อยกกะละมังกับผ้าชุบน้ำมาให้ หญิงสาวก็เปลี่ยนไปนั่งที่ฝั่งเดียวกันกับเด็กชาย นางรอให้เขากินดื่มให้เสร็จ จากนั้นก็เริ่มจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับเขา
เว่ยเจี้ยนไคเมื่อเห็นว่าพี่สาวใจดีกับตนมาก ก็เริ่มร้องไห้น้ำตาไหล แต่ก็พยายามสุดชีวิตที่จะกลั้นเอาไว้ เพราะท่านพ่อเคยบอกว่า ‘เป็นลูกผู้ชายอย่าให้สตรีเห็นน้ำตา’ เขายังจำคำนั้นได้ดี
“เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น”
“ข้าน้อยเปล่าขอรับ” เจ้าเด็กน้อยเม้มปากให้เต็มที่เพราะเกรงว่าตัวเองจะส่งเสียงร้องไห้ออกมาแล้วรบกวนพี่สาวคนงาม
“อยากร้องไห้งั้นหรือ หากอยากร้องก็ร้องไปเถอะ ข้าไม่เห็นหรอก” นางเห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กชายแล้วก็นึกขัน
“ข้าเปล่าสักหน่อย ท่านพ่อบอกว่าเป็นลูกผู้ชายห้ามร้องไห้ให้ใครเห็น”
แต่กระนั้นน้ำเสียงของเว่ยเจี้ยนไคก็เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นไปเสียแล้ว เขานั่งเงียบ ๆ ไม่ปริปากสิ่งใดต่อ เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่สาวตรงหน้าเสียใจไปกับเขา
ฟู่ลี่อิ๋งยิ้มอย่างเอ็นดู ระหว่างนั้นก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้เด็กน้อยอย่างใจดี
ผิวของเจ้าเด็กน้อยนวลผ่องขาวละเอียด ใบหน้าก็น่ารักน่าเอ็นดู เห็นทีที่เขาบอกว่าพลัดหลงกับครอบครัวน่าจะเป็นเรื่องจริง คนตัวเล็กกำลังคิดหาวิธีจัดการกับเด็กชายผู้นี้ นางไม่อยากทิ้งเขาไว้ตามลำพังและก็ไม่อยากพาเขากลับจวนโหว งั้นควรจะจัดการกับเด็กน้อยผู้นี้อย่างไรดี
“ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดีนะ” ฟู่ลี่อิ๋งพึมพำ
“ไม่ต้องทำอะไรกับข้าน้อยเลยก็ได้ขอรับ อย่างน้อยไคไคก็ได้กินข้าวแล้ว ตอนนี้ไคไคมีแรงพอจะเดินตามหาครอบครัว พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วง ไคไคไม่อยากรบกวนพี่สาวอีกแล้ว” เด็กน้อยเปลี่ยนสรรพนามแทนตนเองเพราะเริ่มรู้สึกไว้ใจ
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้าเสียหน่อย อย่าสำคัญตัวเองผิดไป” ฟู่ลี่อิ๋งพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ “เอาเถอะ เจ้าไปศาลเจ้ากับข้าก่อน แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปส่งไว้ที่ศาลาว่าการ”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เด็กน้อยก็ยิ้มร่าสิ่งที่เขาพูดออกไป ตัวเขาเองก็มิรู้จะไปตามหาครอบครัวที่ไหน ได้แต่แสร้งแสดงทำเป็นว่าตนนั้นแข็งแกร่ง
เมื่อเด็กน้อยกินอิ่ม ก็ถึงเวลาคิดเงิน ส่วนนางก็ควรจะได้ไปดูดวงเสียที มือเรียวยกมือขึ้นคลำหาถุงเงินของตัวเองแต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า แย่แล้วถุงเงินทั้งหมดนางดันฝากเอาไว้กับเสี่ยวถิงและเสี่ยวเยว่
“ถุงเงินข้า” ใบหน้าสวยหวานของฟู่ลี่อิ๋งฉายแววเคร่งเครียด นางไม่น่าขี้เกียจและฝากถุงเงินเอาไว้กับบ่าวรับใช้พวกนั้น
เสี่ยวเอ้อ ที่ยืนอยู่รอเก็บเงินอยู่ไม่ห่างเริ่มทำเสียงฟึดฟัด
“แม่นาง ไหนละเงิน คิดจะกินฟรีหรืออย่างไร”
“เปล่าเสียหน่อย ข้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว ไม่เคยกินของผู้ใดแล้วไม่จ่ายเงิน” ฟู่ลี่อิ๋งอวดเบ่งไม่มีหยุด
“เชอะ!! เงินสักแดงยังไม่มี อย่างเจ้าน่ะเหรอเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณหนูใหญ่จวนโหวร่ำรวยขนาดไหน ใช้เงินมือเติบ ไปไหนมาสาวใช้องครักษ์เดินตามกันเป็นขบวน แล้วดูสภาพเจ้ากับเด็กสกปรกผู้นี้สิ” เสี่ยวเอ้อชี้นิ้วไปที่เด็กชาย “หากเจ้าเป็นคุณหนูจวนโหว ข้าก็เป็นเว่ยอ๋องแล้วสิ”
แต่ไหนแต่ไรมา นางเคยแต่ใช้อำนาจข่มผู้อื่นไปทั่ว ทำให้เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยพบเจอใครเสียมารยาทเช่นนี้ ฟู่ลี่อิ๋งทำตัวไม่ถูก ร่างเล็กแบบบางยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ได้แต่จับมือเด็กชายเอาไว้แน่น
“อย่าเสียมารยาทกับข้านะ คอยดูเถอะ หากข้ากลับไปที่จวนเมื่อไหร่ ข้าจะสั่งให้ท่านพ่อจัดการพวกเจ้า” ฟู่ลี่อิ๋งดึงตัวเด็กชายเอามาอยู่เบื้องหลังของตนเชิงปกป้อง ระหว่างนั้นก็ชี้หน้าคนไร้มารยาทด้วยโทสะและเย่อหยิ่ง นางจำหน้าพวกนั้นทีละคน ตั้งใจว่าจะเอาคืนในภายหลัง
“โธ่ ก่อนเจ้าจะวิ่งโร่ไปฟ้องบิดา จัดการเรื่องจ่ายค่าอาหารให้ได้ก่อน หากไม่จ่ายก็อย่าคิดหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่” เสี่ยวเอ้อลูบปากบีบมือ ก่อนจะคิดอะไรดี ๆ ได้ “แต่เจ้าก็งดงามใช่เล่น นานทีข้าจะได้เห็นสาวงามเช่นนี้ จับไปขายหอนางโลมเสียดีกว่า คงจะได้ราคาไม่น้อย”
พูดจบคนของร้านอาหารก็ปรี่เข้ามาจับตัวนางเอาไว้ โดยที่คนทั้งร้านทำแค่เพียงยืนมอง ทำเหมือนกับสิ่งที่พวกนางกำลังเผชิญเป็นเรื่องสนุกบ้างก็ชี้มือชี้ไม้ปรบมือกันอย่างอารมณ์ดี บุรุษบางคนถึงขั้นตะโกนถามว่าจะส่งนางไปที่หอนางโลมใด พวกเขาจะได้ไปเที่ยวบ้าง
ร่างเล็กแบบบางอยู่ในอาการตื่นตระหนกหวาดหวั่น
“อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ” ฟู่ลี่อิ๋งหวีดร้องโวยวาย “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย” ไม่เพียงเท่านั้นนางยังขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ก็มิมีผู้ใดใส่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง
“ปล่อยพี่สาวเดี๋ยวนี้” เด็กชายสำนึกในบุญคุณ หากนางไม่เลี้ยงอาหารเขา ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ จึงวิ่งปรี่เข้ามาช่วยเหลือ แต่แรงเด็กเช่นเขานะหรือจะไปสู้ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ หลายคนได้
“เจ้าเด็กน้อยอย่ามายุ่งหนีไปเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก” ถึงตัวเองจะลำบาก แต่นางก็ยังมีอารมณ์หันไปเป็นห่วงเป็นใยเด็กชายตัวน้อย นางเห็นพวกบุรุษตัวโตใช้เท้าทั้งเตะทั้งเขี่ยเด็กชายอย่างไร้มารยาท จึงรีบไล่ให้เขาไปไกล ๆ
เด็กชายร้องไห้น้ำตาไหลพราก ที่ถูกผู้ใหญ่พวกนั้นเตะเมื่อกี้ทั้งเจ็บทั้งจุก กระทั่งสายตาของเด็กชายหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง เห็นคนคุ้นเคยเดินผ่านไป เด็กน้อยรีบวิ่งออกไปตามคนด้านนอกในทันที
“พี่สาวรอข้าก่อนนะขอรับ ข้าจะไปตามคนมาช่วย”
เว่ยเจิ้งหยางรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ตามนางขึ้นมาด้านบนด้วยกัน นางอายุเท่าไหร่กันแล้ว ได้ยินว่าปีหน้าก็ครบ18 ไม่ใช่สตรีวัยเยาว์อีกต่อไปแล้ว เหตุใดจึงไม่รู้จักระวังเนื้อระวังตัว ซ้ำยังขึ้นมาบนที่เปลี่ยว ๆ เช่นนี้ หากมีผู้ที่คิดไม่ดีขึ้นมา สตรีตัวแค่นั้นจะเอาแรงที่ไหนไปสู้แค่เดินขึ้นภูเขาเตี้ย ๆ แค่นี้นางก็หมดแรงแล้ว ไหนเลยจะไปต่อต้านผู้อื่นได้ แค่เป่าเทียนนางจะเป่าดับหรือเปล่าเถอะแล้วพูดก็พูดนางอายุเลยวัยออกเรือนไปแล้วหลายปี สาเหตุที่ยังไม่แต่งงานคงเพราะนิสัยร้ายกาจของนางกระมังใช้เวลาอยู่ราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ฟู่ลี่อิ๋งก็ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของยอดเขา เจ้าของร่างเล็กแบบบางหันไปมองหน้าบุรุษที่เดินนำหน้านางขึ้นมา ‘เว่ยอ๋องช่างแข็งแรงนัก’ เดินขึ้นมาตั้งหลายร้อยขั้นเหตุใดเขาจึงดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด ผิดกับนางที่แทบจะเป็นลมตายอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะอยากดูดวงนางไม่ขึ้นมาบนนี้ให้เสียเวลาชีวิตหรอกคนตัวเล็กไม่ได้มีสติจะหันไปม
หลังจากที่เขาปล่อยนางลง ฟู่ลี่อิ๋งก็มุ่งหน้าไปที่โต๊ะดูดวงในทันที แต่เมื่อมาถึงก็ต้องพบกับความว่างเปล่า“เกิดอะไรขึ้น หมอดูล่ะ” คนตัวเล็กเกาหัวแกรก ๆ นางอุตส่าห์เสี่ยงตายปีนบันไดขึ้นมาหาเขา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า“เจ้ามาดูดวงกับท่านหมอดูเหรอ” ผู้ดูแลศาลเจ้าเอ่ยทักเมื่อเห็นสตรียืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงจุดที่เคยเป็นร้านหมอดู“เจ้าค่ะ ข้าน้อยมาดูดวง”“แย่จัง ท่านหมอย้ายไปตั้งแผงที่อื่นแล้ว” บุรุษอาวุโสที่น่าจะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าบอกแก่นาง“ตั้งแต่เมื่อไหร่”“ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน”หลายวันก่อนคงไม่ใช่วันที่นางถูกจับตัวหรอกใช่ไหม“ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าท่านหมอดูไปตั้งร้านที่ไหน” นางถาม“บนเขาหลังศาลเจ้า” ผู้ดูแลชี้นิ้วไปยังทางขึ้นเขาดวงตากลมตามองตามนิ้วมือของผู้ดูแลศาลเจ้าที่ชี้ไปทางเชิงเขา บุรุษวัยกลางคนยิ้มแป้นแล้วค่อย ๆ กวาด
เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังฟู่ลี่อิ๋งดันหวนคิดถึงเหตุการณ์ในปีนั้น ในปีที่นางอายุแค่เพียง 9 ขวบ ครอบครัวมีสุขพร้อมหน้า แต่แล้ววันหนึ่งในวันที่อากาศหนาวจัดหิมะโปรยปราย จนทั้งลานบ้านอาบไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะนั่นเป็นวันที่นางได้พบหน้ากับน้องสาวต่างมารดาเป็นครั้งแรก ฟู่ลี่อิ๋งในวัยเด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางเห็นสีหน้าของมารดาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียใจและทุกข์ระทม คงเป็นเพราะไม่ได้คาดคิดว่าสามีที่นางรักสุดหัวใจจะเป็นบุรุษเช่นนั้นนางหวีดร้องโวยวายและทำร้ายฟู่เหยาเหยาจนเลือดตกยางออก ตอนนั้นเอง ที่ฝ่ามือของบิดาฟาดลงมาที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางในวัยแค่เพียง 9 ขวบ ผู้ที่ถูกบิดาทะนุถนอมมาตลอดชีวิตฟู่โหวตบหน้านาง ความเจ็บปวดร้าวลึกไปยังก้นบึ้งของหัวใจ บิดาที่เคยรักนางเป็นที่สุด ผู้ที่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางเลยสักครั้งตั้งแต่นางเกิดมา แต่วันนั้นท่านพ่อเป็นผู้ลงมือตบหน้านาง เพียงเพราะต้องการปกป้องฟู่เหยาเหยาฟู่ลี่อิ๋งจำรอยยิ้ม ของฟู่เหยาเหยาได้ดี นางลอบยิ้มและตั้งใจให้มีแค่เพียงฟู่ลี
ก่อนวันแต่งงาน เว่ยจงหมิงส่งกำไลหยกจักรพรรดิ[1]ไปมอบให้กับว่าที่ไท่จื่อเฟย โดยกำชับให้เป็นมั่นเป็นเหมาะกับลู่เหวิน ว่าให้ส่งให้กับมือของนางโดยเฉพาะ องครักษ์เมื่อได้รับพระบัญชาจากไท่จื่อก็รีบนำสิ่งของไปส่งคนถึงที่แผนการของฟู่เหยาเหยาต่อจากนี้จะมีแค่เพียงเสี่ยวเชี่ยนและองครักษ์หนุ่มที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนใช้ยาปลุกกำหนัดเท่านั้นที่รู้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันสิ่งนี้คงจะเรียกกว่าการแบล็กเมล์ ซึ่งนางเคยทำบ่อย ๆ ตอนที่ยังเป็นดาราชื่อดังแห่งยุคนักการเมืองชื่อดัง ดาราผู้มีชื่อเสียง ผู้กำกับนักร้อง ล้วนแล้วแต่เคยถูกนางกระทำการเช่นนั้นมาแล้วทั้งสิ้น นางรู้ความลับมากมายของคนพวกนั้น แถมยังใช้ความลับเหล่านั้นมาผลักดันให้ตัวเองก้าวขาเข้าสู่แถวหน้าของวงการบันเทิง ไม่มีใครในโลกที่นางจากมาไม่รู้จัก เนี่ยเหยาเหยาสุดยอดนางเอกอันดับหนึ่งแต่แล้ววันหนึ่งคู่อริและคู่ขาของนางต่างก็พากันเอาคืนอย่างสาสม เนี่ยเหยาเหยาในอดีตถูกจับฉีดยาเสพติดเกินขนาดโดยที่นางไม่ได้เต็มใจ ก่อนที่จะได้มาอยู่ในโลกของนิยาย ชื่อเสียงของนางฉาวโฉ่ จากดาราสาวใสซื่อภาพล
นับตั้งแต่วันที่นางได้เข้ามาอยู่ในโลกของนิยาย ฟู่เหยาเหยาก็ตั้งใจจะปฏิวัติเนื้อเรื่องใหม่ นางจะไม่เป็นนางเอกที่ถูกนางร้ายเช่น ฟู่ลี่อิ๋งรังแกทำร้ายเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานตัวละครที่สำคัญก็จะทยอยโผล่หน้าออกมาให้นางเห็นน่าเสียดาย!!ตามเส้นเรื่องของนิยายเรื่องนี้ นางจะเป็นผู้ไปพบกับอ๋องน้อยบุตรชายที่เป็นแก้วตาดวงใจของเว่ยอ๋อง แต่กลายเป็นว่าสตรีนิสัยเสียผู้นั้นเป็นผู้ไปพบเขาเข้าเสียก่อน ร้อยวันพันปีนางไม่เคยได้ย่างก้าวออกจากบ้าน แต่ไฉนเลยวันนี้นางถึงได้ออกไป“คุณหนูเจ้าคะ” หญิงรับใช้ของฟู่เหยาเหยาเข้ามารายงานในสิ่งที่ตนเองทราบ“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”“จริงอย่างที่คุณหนูคาดเดาเอาไว้ไม่ผิด คุณหนูใหญ่ได้ไปพบกับเว่ยอ๋องมาจริง ๆ บุรุษที่พูดคุยกับท่านโหวเมื่อตอนก่อนฟ้ามืดก็เป็นองครักษ์ของเขาเจ้าค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนเล่า“ถึงว่า ข้าถึงไม่เห็นเว่ยอ๋อง” ฟู่เหยาเหยารู้สึกอารมณ์เสีย นี่เป็นครั้งแรกที่การคาดเดาของนางผิดพลาดอุตส่าห์ตั้งใจจะออกไปพบกับเว่ยเจิ้งหยาง ตั้งใจจะทำให้เขาประทับใจ แต่กลายเป็นว่าบุรุษผู้นั้นได้ไปพบกับสตรีเช่นนาง น่าหงุดหงิดเป็นที่สุด“บ่าวยังได้ยินมาอีกว่า คุณหนูใหญ่เกื
เมื่อพาบุตรสาวออกมาพ้นจากจวนพักร้อนของเว่ยอ๋องได้ ฟู่ซิ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาผลักดันให้นางเข้าไปนั่งด้านในรถม้าก่อนจะเริ่มสอบถามชำระความ“ได้ยินพวกบ่าวบอกว่าเจ้าจะไปศาลเจ้า เหตุใดตกเย็นจึงมาตกอยู่กับเว่ยอ๋องได้” เขาถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของนาง“ถ้าลูกพูดไป ท่านพ่อจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ” นางถามให้แน่ใจเสียก่อนว่าบิดาจะเชื่อฟังคำของนางหรือไม่“เกิดเรื่องขนาดนี้แล้ว ก็ต้องเชื่อสิ”“ก็ได้เจ้าค่ะ งั้นลูกจะเล่าทั้งหมด” นางก้มหน้าบีบมือและเริ่มเล่า “ข้าฝันร้าย ฝันว่าตัวเองตายคาคมดาบของบุรุษผู้หนึ่ง ฝันซ้ำ ๆ เหตุการณ์เดิมติดต่อกันมานานหลายเดือน ได้ยินพวกบ่าวเล่าว่าที่ศาลเจ้ามีหมอดูชื่อดังลูกเลยอยากให้เขาทำนายฝันให้”“ฝันร้าย? ตายคาคมดาบ”“เจ้าค่ะ ฝันร้าย ที่ลูกร่างกายอ่อนในช่วงหลังก็เพราะว่าต้องตื่นมากลางดึก พอไม่ได้นอนนาน ๆ เข้าร่างกายก็เหนื่อยล้า”“อืม แล้วทำไมถึงไม่ใช้รถม้า”“ลูกเห็นว่า นางตัวดีก็กำลังจะออกไปตลาดด้วยเช่นกัน ก็เลยเสียสละรถม้าที่เหลืออยู่คันเดียวในจวนให้นาง และตัดสินใจเดินไป” นางตัวดีที่ฟู่ลี่อิ๋งเอ่ยถึงก็คือฟู่เหยาเหยา“อย่างเจ้านะหรือจะเสียสละเป็