หลังออกมาจากเรือนพักของกงเหล่ยแล้ว ไต้ฝูหรงก็ตรงไปที่ห้องครัวทันที
ที่นี่เป็นเรือนเก่าของเว่ยอ๋องที่ตายไป มีสาวใช้คอยเฝ้าอยู่หลายคน พวกนางล้วนเป็นคนของอดีตพระชายาเว่ยอ๋อง แต่เมื่อเกิดสงครามและต้องการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป พวกนางจึงยอมสวามิภักดิ์รับใช้เซี่ยอ๋อง
ไต้ฝูหรงกำลังเอ่ยถามพวกนางว่าห้องครัวอยู่ทางใด และช่วยเตรียมวัตถุดิบต่างๆให้นางได้หรือไม่ ก็ได้ยินเสียงร้องของเปาเปาดังขึ้น เมื่อนางหันไปมองก็พบว่ามันกำลังวิ่งมาหานาง โดยมีท่านเฉิงซุนเดินตามมาด้วย
ไต้ฝูหรงยิ้มออกมาเล็กน้อย เจ้าเปาเปาตามติดนางแจราวกับนางเป็นมารดาของมัน เมื่อมันเห็นนางก็ร้องให้นางอุ้ม
“เปาเปา เจ้าหิวหรือ ข้ากำลังจะทำอาหาร เลย ไว้ข้าทำเสร็จแล้ว จะไปป้อนอาหารเจ้านะ”
ท่านเฉิงซุนที่เดินเข้ามาปรายตามองสาวใช้เหล่านั้นคราหนึ่ง ก่อนจะให้พวกนางไปเสียและสั่งให้ทหารของแคว้นเซี่ยมาเฝ้าหน้าประตูแทน อีกทั้งยังตำหนิเหล่าทหารที่ปล่อยให้สาวใช้พวกนั้นมายืนอยู่ที่นี่ เขาไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าจะเป็นมือสังหาร ยามนี้ท่านอ๋องกำลังเหนื่อยล้า อาจจะละเลยเรื่องนี้ไปบ้าง พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้ย่อมต้องเป็นหูเป็นตาแทนนายตน
เมื่อเปลี่ยนคนทั้งหมดแล้ว เขาก็ให้คนไปจัดการตรวจสอบโรงครัว เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงให้ไต้ฝูหรงทำอาหารได้ ไต้ฝูหรงเองก็เข้าใจดี อย่างไรที่นี่แม้จะเป็นของกงเหล่ยแล้วแต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้
นางต้มน้ำแกงปลาให้เขา อีกทั้งยังลงมือทำปลาต้มผักกาดดองให้เขาอีกถ้วยหนึ่ง เมื่อทำเสร็จแล้วจึงยกเข้าไปให้เขา เมื่อเข้ามาก็พบว่าตอนนี้กงเหล่ยกำลังนั่งหลับอยู่่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าศีรษะตน ใบหน้าของเขายามหลับนั้นชวนหลงใหลเป็นอย่างมาก ขนตาของชายหนุ่มเป็นแพยาว จมูกโด่งสัน ริมฝีปากหนาแดงระเรื่อ ยิ่งมอง ไต้ฝูหรงก็ยิ่งไม่อาจละสายตาไปได้
เพราะเห็นว่าเขายังหลับ นางจึงไม่อยากจะรบกวน แต่เมื่อครู่นางได้ยินเซียวเย่บอกว่าตั้งแต่มาที่นี่ท่านอ๋องยังไม่ได้กินอาหารเลยสักคำเดียว นางจึงร้อนใจมาก คนเราแม้จะเหนื่อยเพียง
ใดก็ห้ามละเลยการกินอาหารให้ตรงเวลาเป็นอันขาด
ไต้ฝูหรงมีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะยื่นมือน้อยๆไปแตะบนไหล่ของเขาเบาๆ
เพราะกงเหล่ยฝึกยุทธ์จึงทำให้เขามีประสาทสัมผัสที่ว่องไวกว่าผู้อื่น
เขาคว้าจับมือนางอย่างรวดเร็ว แต่เพราะออกแรงมากไปหน่อยทำให้หญิงสาวร่างกายโงนเงนจนจะล้มลงไปบนพื้น กงเหล่ยตกใจเป็นอย่างมากจึงรีีบยกมือขึ้นไปประคองเอวบางของนางอย่างรีบร้อน เพราะไม่ทันระวังทำให้คนทั้งสองล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยกัน กงเหล่ยนอนหงายอยู่บนพื้น ส่วนไต้ฝูหรงก็คล่อมทับอยู่บนกายของเขา อีกทั้งริมฝีปากชมพูระเรื่อของนางยังประทับลงบนแก้มขวาของเขาอย่างไม่ตั้งใจอีกด้วย
คนทั้งสองตัวแข็งทื่อทำอันไม่ถูก ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าขยับ ใบหน้าของคนทั้งสองขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
"ศิษย์พี่ใหญ่กง พวกข้าผ่านมาทางนี้ บังเอิญได้กลิ่นน้ำแกงหอมๆ จึงอยากมามีส่วนร่วมกับท่านเสียหน่อย อีกทั้งเจ้าเปาเปาก็ร้องหาศิษย์น้องเล็กด้วย ให้ตายเถอะ! ได้เสียกันแล้วหรือ!"
อยู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออก เซียวเย่ที่เดินเข้ามาคนแรกพลันเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก แต่ไหนแต่ไรพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องของกงเหล่ยได้เป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะได้มาเห็นภาพเช่นนี้เข้า หนุ่มน้อยยกมือขึ้นทาบบนแผงอกตน ทำท่าทีราวกับสาวน้อยไร้เดียงสา
ด้านหลังยังมีเฉิงซุน เฉิงซานและหลัวเยี่ยเดินตามเข้ามาสมทบอีก พวกเขาที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจนถนัดตาก็ถึงกับลอบซูดปาก ด้านเจ้าเปาเปาหมูป่าน้อยตัวอ้วนกลมที่วิ่งตามเข้ามาเห็นไต้ฝูหรงก็แผดเสียงร้องลั่น พลางจ้องกงเหล่ยเขม็ง
กงเหล่ยถึงกับชะงักไปทันที
อันใดกัน เหตุใดแววตาเจ้าหมูป่าบัดซบนี่จึงมองเขาอย่างอำมหิต ราวกับเขาไปแย่งมารดามันอย่างนั้นเล่า?
ประเดี๋ยวก็จับไปตุ๋นเสียนี่!
ด้านเซียวเย่ก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ศิษย์พี่ใหญ่กง ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมีรสนิยมชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ"
เฉิงซานรีบยกมือขึ้นตบศีรษะของเซียวเย่ทันที ด้านหลัวเยี่ยก็ยกมือขึ้นลูบจมูกตนพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม เรื่องของสตรีนางนี้ทุกคนเล่าให้เขาฟังหมดแล้ว
ด้านท่านเฉิงซุนเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ จึงรีบเอ่ยทันที
"ไสหัวกันออกไปเร็วเข้า อย่ามารบกวนความสำราญของท่านอ๋อง ไปๆ เจ้าเปาเปา เจ้าก็ออกมาด้วย!"
เจ้าเปาเปาหันไปมองท่านเฉิงซุน ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างโอหัง ท่านเฉิงซุนส่งเสียงเหอะพลางด่าทอในใจว่าหมูบัดซบ!
ไม่ออกก็ช่างมันเถอะ มันเป็นหมูอย่างไรก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเล่าข้างนอกไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้คนทั้งหมดจึงเดินออกไปจากเรือน ก่อนไปเซียวเย่หันกลับมามอง ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้กงเหล่ยอย่างชื่นชม
เมื่อคนออกไปหมดแล้ว ไต้ฝูหรงก็รีบลุกพรวดพราดออกมาจากตัวของกงเหล่ย ก่อนจะคุกเข่าลง จากนั้นก็โขกศีรษะลงไปบนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ท่านอ๋องโปรดอภัย ข้าไม่ทันระวังเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินท่านอ๋องเลยนะเจ้าคะ!"
นางเอ่ยจบก็ยกมือสองขึ้นมาโบกไปมาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบลุกไปหยิบผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะและเดินเข้ามาหาเขาพลางใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดแก้มให้เขาอย่างอย่างลนลาน
"ท่านอ๋อง ข้าเช็ดออกให้นะเจ้าคะ แก้มท่าน ไม่เป็นอันใดแล้ว"
กงเหล่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม่นางน้อยเอ๋ย เจ้าจูบแก้มข้าแล้วคิดจะเช็ดให้มันหายไปเช่นนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้เสียที่ไหน!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใด ไต้ฝูหรงก็ยิ่งใจสั่นรุนแรงขึ้นไปอีก นางคิดไปไกลว่าเขาคงจะเกลียดตนเข้าเสียแล้ว จึงรีบคุกเข่าโขกศีรษะอีกหน
"ท่านอ๋อง ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าไล่ข้าไปเลยนะเจ้าคะ ท่านอ๋อง!"
กงเหล่ยถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาประคองนางให้ลุกขึ้น เมื่อคนทั้งสองอยู่ใกล้กันเช่นนี้อีกหนเขาก็เริ่มประหม่า แต่สตรีน้อยตรงหน้ากลับมองเขาตาแป๋ว อยู่ๆใจของชายหนุ่มก็พลันอ่อนยวบอย่างไม่อาจหักห้าม
"ข้าไม่ได้โกรธเจ้าและไม่คิดจะไล่เจ้าด้วย ต่อไปเจ้าห้ามโขกศีรษะตนเช่นนี้อีกเข้าใจหรือไม่ ดูสิ หน้าผากเจ้าแดงไปหมด ข้าจะให้หมอหลวงจ้าวมาตรวจดูอาการของเจ้า"
"ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"
ไต้ฝูหรงไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว นางจึงรีบคว้าเจ้าเปาเปาขึ้นมาอุ้มเอาไว้และคิดจะเดินจากไป แต่กลับได้ยินกงเหล่ยเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"อันใดกัน หากอยากให้ข้าหายโกรธก็ควรจะจูบแก้มข้าอีกข้างสิ!"
ไต้ฝูหรงพลันหันขวับกลับมามองทันที
"ท่านอ๋องว่าอันใดนะเจ้าคะ?"
กงเหล่ยสะดุ้งโหยง ให้ตายเถอะ นี่เขาเผลอเอ่ยวาจาไม่สมควรอันใดออกไปกันเนี่ย!
ชายหนุ่มกระแอมไอออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ไม่มีอันใด ข้าเพียงบอกว่าข้างนอกฝนตกแล้ว มันเย็น เอ่อ หนาว ข้าหนาวมาก หิมะตกหนัก!"
ไต้ฝูหรงเมื่อได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
"แต่ข้างนอกแดดจ้ามาก ไม่มีหิมะเลยนะเจ้าคะ แล้วใบหน้าท่านอ๋องก็มีแต่เหงื่อ เหตุใดจึงบอกว่าหนาวเล่าเจ้าคะ?"
กงเหล่ย "...."
ให้ตายเถอะ เขาคงสติหลุดไปแล้วเป็นแน่!
ด้านไต้ฝูหรงนั้นตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยและมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางเดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนเพื่อรอฟังข่าวของกงเหล่ยเกาฮ่องเต้หนีหัวซุกหัวซุนด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่่ว่าจะหนีไปทางไหนก็มีแต่เหล่าทหารไล่ล่าเขา เกาฮ่องเต้ถึงกับก้าวขาไม่ออก ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันนี้เดิมทีเขาสะกดวิญญาณของกงอวี้ไปแล้ว และไม่เชื่อว่ากงเหล่ยจะสามารถสังหารตนได้แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคิดผิดเกาฮ่องเต้เริ่มลนลานด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สนใจคำเตือนของทหาร วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมป้องกัน สุดท้ายเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าที่กำลังยื่นดาบพาดบนลำคอของเขา เกาฮ่องเต้ก็ถึงกับก้าวขาไม่ออก"เจ้า!""ไม่ได้พบกันานเลยนะ ท่านลุงเกา!"เกาฮ่องเต้มือไม้สั่นเทิ้มไปหมด เมื่อนึกถึงศีรษะของเกาข่ายบุตรชายอันเป็นที่รักซึ่งถูกกงเหล่ยสังหาร เขาก็กัดฟันกรอด"ข้าจะฆ่าเจ้า เอาหัวเจ้ามาเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของบุตรชายข้า!"กงเหล่ยเมื่อได้ฟังกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา เกาฮ่องเต้ที่เห็นอย่างนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง กงเหล่ยยกมือขึ้นส่งสัญญาณ หลัวเยี่ยก็พุ่งเข้าจัดการสังหารทหารและแม่ทัพใหญ่ของเกาฮ่องเต้ตกตายไปจนหมด เกาฮ่องเต้ร้องคำรา
สงครามจบสิ้นลง ทหารของเกาข่ายล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้นไม่เหลือซาก ครั้งนี้กงเหล่ยไม่ได้ใจดีเฉกเช่นครั้งก่อน ที่จะเก็บทหารจงรักภักดีกลับใจเอาไว้ใช้งาน อย่างไรทหารพวกนั้นก็ถูกเกาฮ่องเต้ฝึกฝนมานานหลายสิบปี ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่มีใจภักดี เขาจึงไม่คิดจะเก็บเอาไว้แม้เพียงคนเดียวแคว้นเซี่ยตอนนี้กลับสู่ความสงบเฉิงซานและหลัวเยี่ยนั้นได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ทว่าเซียวเย่กลับได้รับบาดเจ็บที่แขนเป็นแผลใหญ่ กว่าจะห้ามเลือดได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน โชคดีที่เขาไม่ได้เสียแขนไป ไต้ฝูหรงและท่านหมอจ้าวสลับกันช่วยดูแลเขา เซียวเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อย เขาเอ่ยขอบคุณท่านหมอจ้าว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไต้ฝูหรง"ศิษย์น้องเล็ก ข้าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าไปดูศิษย์ใหญ่กงเถอะ หากเจ้ายังไม่ไปอีก พี่ใหญ่กงคงได้ตามมากระทืบข้าซ้ำแน่ ข้ายังไม่อยากถูกเขากระทืบจนตายหรอกนะ สตรีในหอนางโลมยังรอข้าอยู่"ไต้ฝูหรงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้นางจะแต่งงานกับกงเหล่ยแล้ว แต่เซียวเย่ยังคงยืนยันที่จะเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็ก นางเองก็ไม่ถือสาอันใด อย่างไรสำหรับนางแล้ว เขานับว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับนางเมื่อทุกคนปลอดภัยไร้กัง
ไต้ฝูหรงตกใจจนแทบสิ้นสติ นางหันมองซ้ายขวาตอนนี้มีแต่ห่าธนูที่พุ่งเข้ามาหมายจะสังหารพวกนาง แต่ยามนี้ไม่อาจปล่อยให้ท่านเฉิงซุนอยู่ที่นี่ต่อได้ โลหิตของเขาไหลออกมามากเกินไป ต้องหาทางผ่าเอาลูกธนูออกและห้ามเลือดโดยเร็วที่สุด!ไต้ฝูหรงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจประคองท่านเฉิงซุนขึ้นมาและพาเขาเดินฝ่าลูกธนูออกไปโดยมีเหล่าทหารที่ยังรอดชีวิตคอยคุ้มกัน ท่านเฉิงซุนยังไม่ได้หมดสติ เขาจ้องมองสตรีข้างกายที่ประคองตนเดินฝ่าลูกธนูอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย"นะ นายหญิง ปล่อยข้าเอาไว้บนนี้เถอะขอรับ! "ไต้ฝูหรงเม้มริมฝีปากแน่น นางพาเฉิงซุนลงมาด้านล่างได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่เขาจะหมดสติไป พลันได้ยินเสียงของนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"ข้าไม่มีวันทิ้งท่าน พวกเราถ้าอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน กงเหล่ยยังอยู่ข้างนอก เขาเคารพท่านดั่งบิดา ข้าเองก็เช่นกัน เฉิงซานหลานของท่านและแม่ทัพทุกคนก็ยังรอให้ท่านต้อนรับพวกเขากลับเข้าเมืองหลังจากพวกเรารบชนะ หากท่านตาย ข้าคงไม่อาจมองหน้าพวกเขาได้ ท่านจะต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีทางยอมให้ท่านตายเด็ดขาด!"ท่านเฉิงซุนยิ้มอย่างอ่อ
เสียงต่อสู้ดงกึกก้องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ยามนี้กองทัพแคว้นเซี่ยกำลังสู้รบกับกองทัพของเกาข่ายอย่างไม่กลัวตาย พวกเขาใช้สมุนไพรพิษที่ไต้ฝูหรงมอบให้นำไปอาบย้อมบนอาวุธ ก่อนจะเข้าห่ำหั่นกับศัตรู กงเหล่ยควบม้าห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารทั้งสองฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลามีโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง ขับเน้นให้ใบหน้าเย็นชาของเขาดูดุดันขึ้นไปอีกหลายเท่าวิธีของไต้ฝูหรงนั้นใช้ได้ผล ทหารของฝ่ายตรงข้ามเพียงถูกพิษนั้นเข้าสู่โลหิตไม่นานก็ค่อยๆอ่อนแรงและล้มตายลงไปในที่สุด เพียงไม่นานกำลังทหารของเกาข่ายก็ลดลงไปมากกว่าครึ่งเกาข่ายมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก เห็นๆอยู่ว่าแรกเริ่มนั้นเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แท้ๆ แต่แล้วเหตุใดสถาณการณ์จึงพลิกผันเช่นนี้เล่าชายหนุ่มกัดฟันกรอด พลางมองไปเบื้องหน้า "ห้ามถอย ต้องตัดหัวกงเหล่ยและสังหารทหารแคว้นเซี่ยให้จงได้!"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พลางกำมือแน่น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงที่ใด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ทหารแคว้นเซี่ยจึงใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตา หรือว่าพวกมันกลัวตาย หากว่าเจ้าน
ไต้ฝูหรงมุ่งหน้ามายังภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดบนเขา ห่างจากเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยมาไม่ไกลมากนัก ฮูหยินผู้เฒ่าให้เหล่าทหารติดตามมาพร้อมสาวใช้อีกหลายคน ไม่นานรถม้าก็หยุดลง ไต้ฝูหรงจึงรีบลงจากรถม้าพร้อมกับเอ่ยกำชับสาวใช้และทหาร"พวกเจ้าคงจำลักษณะของสมุนไพรที่ข้าบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว รีบเก็บมาให้มากหน่อย ยิ่งมากยิ่งดี เข้าใจหรือไม่"เหล่าสาวใช้และเหล่าทหารต่างพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไปเก็บสมุนไพรตามที่เจ้านายของตนสั่ง ไต้ฝูหรงเองก็เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหลายอย่างมาเพิ่มเช่นเดียวกัน นางสะพายกระบุงไว้บนหลังตน และเก็บสมุนไพรอย่างรวดเร็ว เหล่าสาวใช้และทหารต่างมองนางด้วยสายตาที่ตกตะลึง นายหญิงของพวกเขายามปกติดูบอบบางและน่าทะนุถนอมยิ่ง แต่ในยามนี้กลับดูแข็งแรงและว่องไวมาก แรกเริ่มพวกเขาต้องขึ้นลงเขาเพื่อหาสมุนไพรจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อได้เห็นว่านายหญิงยังไม่บ่นสักคำ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย พวกเขาจึงมีแรงใจมากยิ่งขึ้นใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บสุมนไพรที่ต้องการได้สำเร็จ ไต้ฝูหรงยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเดินทางกลับจวน จากนั้นจึงจัดการล้างทำความส
กงเหล่ยรีบเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะ ก่อนจะมุ่งหน้ามายังค่ายทหารในช่วงกลางดึก เมื่อมาถึงก็พบว่าตอนนี้เหล่าทหารต่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว สีหน้าทุกคนมีความมุ่งมั่นปรากฏชัดบนใบหน้า ไม่มีความเกรงกลัวใดใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความฮึกเหริมและพร้อมออกรบเพื่อปกป้องแว่นแคว้น กงเหล่ยยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหาร ในมือถือดาบเอาไว้ แววตาฉายแววมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งเกาฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยแคว้นเซี่ยไป อีกทั้งยังไม่มีทางยอมให้คนตระกูลกงเหลือหนทางรอด ศึกครานี้หนักหนาไม่น้อย อีกทั้งอาจจะต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมไม่อาจถอย หลายปีที่หลบซ่อนตัวเขาได้ซ่องสุมกำลังทหารลับเอาไว้ร่วมหลายแสนนาย ยามนี้ถึงเวลาที่จะต้องเรียกออกมาใช้งานแล้ว"ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านมันไปได้ ขอให้พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า เชื่อมั่นในตัวเอง ช่วยกันปกป้องแว่นแคว้นและขจัดคนชั่วไปให้หมดจากแผ่นดินนี้เสีย!"ทันทีที่กงเหล่ยเอ่ยจบเหล่าทหารต่างชูดาบขึ้นสูง พลางตะโกนกู่ร้องก้องแผ่นดินแคว้นเป่ยและแคว้นฉีบุกประชิดชายแดน อีกทั้งยังยึดเมืองด่านหน้าสำคัญต่างๆของแคว้นเซี่ยไปได้หลายเมือง และ