หลังจากที่นำอาหารไปให้กงเหล่ยแล้ว ไต้ฝูหรงก็กลับมาจัดการล้างถ้วยชามที่เหล่าทหารกินและเอามาแช่ไว้ นางทำงานเหล่านี้ได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไหนแต่ไรนางก็ทำงานพวกนี้มาหลายปีจนชินมือไปเสียแล้ว จึงนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
เซียวเย่ยืนมองไต้ฝูหรงอยู่ไม่ไกลด้วยความสนใจ เขาไม่ได้ชมชอบนางฉันท์ชู้สาวอันใดเทือกนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าสตรีที่ทรหดและทำงานหยาบเช่นนี้ได้โดยไม่่บ่นสักคำนั้นช่างหาได้ยากยิ่ง
"ศิษย์น้องเล็ก เจ้ามองอันใดอยู่หรือ?"
เซียวเย่สะดุ้งคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมอง ก็พบว่าเป็นเฉิงซาน ศิษย์พี่รองของเขานั่นเอง
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมาตั้งแต่เล็ก
กงเหล่ยเป็นบุตรของเซี่ยอ๋อง มีฐานะสูงศักดิ์กว่าพวกเขา แต่กลับไม่เคยถือตัว เฉิงซานเป็นหลานชายของท่านเฉิงซุน ส่วนเขาและหลัวเยี่ยเป็นเด็กกำพร้าที่เซี่ยอ๋องเก็บมาเลี้ยงดูและสอนทุกอย่างให้ ในใจของเขานั้น อดีตเซี่ยอ๋องเปรียบดั่งบิดา ส่วนกงเหล่ย เฉิงซาน และหลัวเยี่ยก็เปรียบดั่งพี่ชาย พวกเขาสี่คนเติบโตมาพร้อมกันในจวนอ๋อง จึงรักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดพวกเขาก็ผ่านมันมาร่วมกัน จนมีวันนี้
"ศิษย์พี่รอง เหตุใดจึงมาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้เล่า ข้าตกใจหมด!"
เฉิงซานเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นมากอดคอเซียวเย่พลางเอ่ยถาม
"เจ้ามองอันใดอยู่กัน?"
เซียวเย่ทำท่าทางพยักพเยิดไปทางไต้ฝูหรง เฉิงซานเมื่อได้มองเห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับดวงตาทอประกายทันที
"ในค่ายทหารเรามีหญิงงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?"
"อย่าได้คิดเกาะแกะนางเชียว นั่นน่ะ เป็นสตรีของศิษย์พี่ใหญ่กง"
"สตรีของศิษย์พี่ใหญ่กงหรือ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาสนใจสตรี?"
"ข้าก็ไม่รู้ แต่เขาตาถึงใช้ได้เลย ข้าว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา นางไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป ไม่อ่อนแอ ทำงานหนักได้ น่าชื่นชมจริงๆ หากเป็นพี่สะใภ้ของพวกเราจริงๆ ข้าก็ยอมรับได้"
เฉิงซานเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นตบหัวเซียวเย่คราหนึ่ง
"เพ้อเจ้ออันใดกัน ศิษย์พี่ใหญ่น่ะหรือจะแต่งภรรยา เขาเอาแต่สนใจการออกรบจนไม่มีเวลาสนใจสตรีเลยด้วยซ้ำ ยามนี้ช่วงล่างคงตายด้านไปแล้วกระมัง"
"ท่านตบหัวข้า ข้าจะฟ้องพี่ใหญ่ ฟ้องเรื่องที่ท่านกล่าวหาว่าช่วงล่างของเขาตายด้านด้วย!"
"ไปฟ้องเลย เด็กเปรต!"
คนทั้งสองทะเลาะและวิ่งไล่ตีกันเหมือนเด็กๆ ไต้ฝูหรงเมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าไปมองแต่ทว่าไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
ในขณะที่นางกำลังล้างจานอยู่นั้น ก็มีนายทหารผู้หนึ่งมาบอกนางว่ากงเหล่ยต้องการพบนาง หญิงสาวรีบเช็ดไม้เช็ดมือให้สะอาดและเดินตามทหารผู้นั้นไปทันที เมื่อเข้ามาในกระโจมก็พบว่านอกจากกงเหล่ยแล้ว ยังมีท่านเฉิงซุนและชายชราอีกผู้หนึ่งที่สะพายล่วมยายืนอยู่ในกระโจมด้วย นางเดินเข้ามาและทำความเคารพพวกเขา พลางมองไปที่กงเหล่ย
ไม่รู้เพราะเหตุใด กงเหล่ยจึงรู้สึกว่าไม่อยากจะสบตาไต้ฝูหรงสักเท่าใด แววตาของนางคล้ายจะมีบางอย่างที่ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบราวกับเต้าหู้
เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"มาแล้วหรือ นี่คือท่านหมอเทวดาจ้าว เขาเป็นท่านหมอประจำตัวของข้า"
ไต้ฝูหรงยิ้มให้ท่านหมอจ้าวคราหนึ่ง กงเหล่ยที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยกับท่านหมอจ้าว
“ท่านหมอจ้าว ข้าเคยได้ยินท่านเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เคยรักษาคนใบ้ผู้หนึ่งจนหายเป็นปกติ นางก็เป็นใบ้เช่นกัน ท่านลองรักษานางดูหน่อย"
ไต้ฝูหรงหันไปมองกงเหล่ยทันที นางไม่คิดว่าเขาจะให้ท่านหมอประจำตัวช่วยรักษาอาการป่วยของนาง
ในใจของนางพลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาหลายส่วน แววตาที่มองเขาก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก
กงเหล่ยถึงกับชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกว่าตนเองวางมือไม้ไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ ชายหนุ่มหันรีหันขวาง ท่าทีดูแปลกประหลาดจนท่านเฉิงซุนลอบขบขัน
กงเหล่ยพยายามควบคุมสติตน ก่อนจะเอ่ยกับไต้ฝูหรงด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ
"ไต้ฝูหรง เจ้าแจ้งอาการของเจ้าให้ท่านหมอเทวดาจ้าวทราบ ดูว่าจะมีแนวทางรักษาเช่นไรได้บ้าง ส่วนข้าจะไปจัดการเรื่องทหาร อีกไม่นานต้องนำทัพออกรบ เจ้าก็รักษาตัวไป ระหว่างนี้ไม่ต้องทำสิ่งใด รอข้ากลับมาก็พอ"
นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองเขาเดินจากไป
ท่านหมอจ้าวมองสตรีน้อยตรงหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอาการของนาง ไต้ฝูหรงพูดไม่ได้ จึงให้ท่านเฉิงซุนช่วยเป็นล่ามสนทนาให้ ท่านหมอจ้าวเมื่อได้ทราบว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้เป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิดก็ดีใจมาก
"เช่นนี้นับว่าดียิ่ง การรักษาย่อมง่ายขึ้น หากเป็นใบ้แต่กำเนิดข้ายังหนักใจว่าอาจจะรักษาไม่ได้ แต่เจ้าเป็นใบ้เพราะป่วยทางใจ ฝังเข็มสักสามวัน ดื่มยาสักสองสามเทียบ อาการก็ดีขึ้นแล้ว"
ไต้ฝูหรงเมื่อได้ยินก็ยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ ท่านเฉิงซุนเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้
หวังว่าการที่เขาช่วยไต้ฝูหรงสนทนากับท่านหมอจ้าวในวันนี้ิ จะทำให้เกิดผลบุญส่งไปถึงน้องสาวของเขาที่อยู่บนสวรรค์ ขอให้ชาติหน้านางเกิดมามีเสียงที่ไพเราะกว่าสตรีใดในใต้หล้าแห่งนี้
เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจแล้ว ท่านหมอจ้าวก็เริ่มฝังเข็มเพื่อทำการรักษาให้ไต้ฝูหรงทันที อีกทั้งยังรักษาควบคู่ไปกับการดื่มยาต้ม วันแรกที่ฝังเข็มไต้ฝูหรงกระอักโลหิตออกมาไม่น้อย แต่ท่านหมอจ้าวบอกว่าเช่นนี้ดียิ่ง จะได้เอาเลือดไม่ดีภายในออกมาให้หมด ทำให้ภายในปลอดโปร่งโล่งสบาย ลมปราณภายในคงที่ และยังเป็นผลดีต่อการรักษาอีกด้วย
ในขณะที่ไต้ฝูหรงรักษาตัว กงเหล่ยก็นำทัพออกรบกับแคว้นเว่ยในเวลาเดียวกัน
ด้านไต้ฝูหรงนั้นตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยและมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางเดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนเพื่อรอฟังข่าวของกงเหล่ยเกาฮ่องเต้หนีหัวซุกหัวซุนด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่่ว่าจะหนีไปทางไหนก็มีแต่เหล่าทหารไล่ล่าเขา เกาฮ่องเต้ถึงกับก้าวขาไม่ออก ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันนี้เดิมทีเขาสะกดวิญญาณของกงอวี้ไปแล้ว และไม่เชื่อว่ากงเหล่ยจะสามารถสังหารตนได้แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคิดผิดเกาฮ่องเต้เริ่มลนลานด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สนใจคำเตือนของทหาร วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมป้องกัน สุดท้ายเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าที่กำลังยื่นดาบพาดบนลำคอของเขา เกาฮ่องเต้ก็ถึงกับก้าวขาไม่ออก"เจ้า!""ไม่ได้พบกันานเลยนะ ท่านลุงเกา!"เกาฮ่องเต้มือไม้สั่นเทิ้มไปหมด เมื่อนึกถึงศีรษะของเกาข่ายบุตรชายอันเป็นที่รักซึ่งถูกกงเหล่ยสังหาร เขาก็กัดฟันกรอด"ข้าจะฆ่าเจ้า เอาหัวเจ้ามาเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของบุตรชายข้า!"กงเหล่ยเมื่อได้ฟังกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา เกาฮ่องเต้ที่เห็นอย่างนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง กงเหล่ยยกมือขึ้นส่งสัญญาณ หลัวเยี่ยก็พุ่งเข้าจัดการสังหารทหารและแม่ทัพใหญ่ของเกาฮ่องเต้ตกตายไปจนหมด เกาฮ่องเต้ร้องคำรา
สงครามจบสิ้นลง ทหารของเกาข่ายล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้นไม่เหลือซาก ครั้งนี้กงเหล่ยไม่ได้ใจดีเฉกเช่นครั้งก่อน ที่จะเก็บทหารจงรักภักดีกลับใจเอาไว้ใช้งาน อย่างไรทหารพวกนั้นก็ถูกเกาฮ่องเต้ฝึกฝนมานานหลายสิบปี ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่มีใจภักดี เขาจึงไม่คิดจะเก็บเอาไว้แม้เพียงคนเดียวแคว้นเซี่ยตอนนี้กลับสู่ความสงบเฉิงซานและหลัวเยี่ยนั้นได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ทว่าเซียวเย่กลับได้รับบาดเจ็บที่แขนเป็นแผลใหญ่ กว่าจะห้ามเลือดได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน โชคดีที่เขาไม่ได้เสียแขนไป ไต้ฝูหรงและท่านหมอจ้าวสลับกันช่วยดูแลเขา เซียวเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อย เขาเอ่ยขอบคุณท่านหมอจ้าว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไต้ฝูหรง"ศิษย์น้องเล็ก ข้าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าไปดูศิษย์ใหญ่กงเถอะ หากเจ้ายังไม่ไปอีก พี่ใหญ่กงคงได้ตามมากระทืบข้าซ้ำแน่ ข้ายังไม่อยากถูกเขากระทืบจนตายหรอกนะ สตรีในหอนางโลมยังรอข้าอยู่"ไต้ฝูหรงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้นางจะแต่งงานกับกงเหล่ยแล้ว แต่เซียวเย่ยังคงยืนยันที่จะเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็ก นางเองก็ไม่ถือสาอันใด อย่างไรสำหรับนางแล้ว เขานับว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับนางเมื่อทุกคนปลอดภัยไร้กัง
ไต้ฝูหรงตกใจจนแทบสิ้นสติ นางหันมองซ้ายขวาตอนนี้มีแต่ห่าธนูที่พุ่งเข้ามาหมายจะสังหารพวกนาง แต่ยามนี้ไม่อาจปล่อยให้ท่านเฉิงซุนอยู่ที่นี่ต่อได้ โลหิตของเขาไหลออกมามากเกินไป ต้องหาทางผ่าเอาลูกธนูออกและห้ามเลือดโดยเร็วที่สุด!ไต้ฝูหรงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจประคองท่านเฉิงซุนขึ้นมาและพาเขาเดินฝ่าลูกธนูออกไปโดยมีเหล่าทหารที่ยังรอดชีวิตคอยคุ้มกัน ท่านเฉิงซุนยังไม่ได้หมดสติ เขาจ้องมองสตรีข้างกายที่ประคองตนเดินฝ่าลูกธนูอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย"นะ นายหญิง ปล่อยข้าเอาไว้บนนี้เถอะขอรับ! "ไต้ฝูหรงเม้มริมฝีปากแน่น นางพาเฉิงซุนลงมาด้านล่างได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่เขาจะหมดสติไป พลันได้ยินเสียงของนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"ข้าไม่มีวันทิ้งท่าน พวกเราถ้าอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน กงเหล่ยยังอยู่ข้างนอก เขาเคารพท่านดั่งบิดา ข้าเองก็เช่นกัน เฉิงซานหลานของท่านและแม่ทัพทุกคนก็ยังรอให้ท่านต้อนรับพวกเขากลับเข้าเมืองหลังจากพวกเรารบชนะ หากท่านตาย ข้าคงไม่อาจมองหน้าพวกเขาได้ ท่านจะต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีทางยอมให้ท่านตายเด็ดขาด!"ท่านเฉิงซุนยิ้มอย่างอ่อ
เสียงต่อสู้ดงกึกก้องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ยามนี้กองทัพแคว้นเซี่ยกำลังสู้รบกับกองทัพของเกาข่ายอย่างไม่กลัวตาย พวกเขาใช้สมุนไพรพิษที่ไต้ฝูหรงมอบให้นำไปอาบย้อมบนอาวุธ ก่อนจะเข้าห่ำหั่นกับศัตรู กงเหล่ยควบม้าห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารทั้งสองฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลามีโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง ขับเน้นให้ใบหน้าเย็นชาของเขาดูดุดันขึ้นไปอีกหลายเท่าวิธีของไต้ฝูหรงนั้นใช้ได้ผล ทหารของฝ่ายตรงข้ามเพียงถูกพิษนั้นเข้าสู่โลหิตไม่นานก็ค่อยๆอ่อนแรงและล้มตายลงไปในที่สุด เพียงไม่นานกำลังทหารของเกาข่ายก็ลดลงไปมากกว่าครึ่งเกาข่ายมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก เห็นๆอยู่ว่าแรกเริ่มนั้นเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แท้ๆ แต่แล้วเหตุใดสถาณการณ์จึงพลิกผันเช่นนี้เล่าชายหนุ่มกัดฟันกรอด พลางมองไปเบื้องหน้า "ห้ามถอย ต้องตัดหัวกงเหล่ยและสังหารทหารแคว้นเซี่ยให้จงได้!"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พลางกำมือแน่น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงที่ใด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ทหารแคว้นเซี่ยจึงใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตา หรือว่าพวกมันกลัวตาย หากว่าเจ้าน
ไต้ฝูหรงมุ่งหน้ามายังภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดบนเขา ห่างจากเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยมาไม่ไกลมากนัก ฮูหยินผู้เฒ่าให้เหล่าทหารติดตามมาพร้อมสาวใช้อีกหลายคน ไม่นานรถม้าก็หยุดลง ไต้ฝูหรงจึงรีบลงจากรถม้าพร้อมกับเอ่ยกำชับสาวใช้และทหาร"พวกเจ้าคงจำลักษณะของสมุนไพรที่ข้าบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว รีบเก็บมาให้มากหน่อย ยิ่งมากยิ่งดี เข้าใจหรือไม่"เหล่าสาวใช้และเหล่าทหารต่างพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไปเก็บสมุนไพรตามที่เจ้านายของตนสั่ง ไต้ฝูหรงเองก็เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหลายอย่างมาเพิ่มเช่นเดียวกัน นางสะพายกระบุงไว้บนหลังตน และเก็บสมุนไพรอย่างรวดเร็ว เหล่าสาวใช้และทหารต่างมองนางด้วยสายตาที่ตกตะลึง นายหญิงของพวกเขายามปกติดูบอบบางและน่าทะนุถนอมยิ่ง แต่ในยามนี้กลับดูแข็งแรงและว่องไวมาก แรกเริ่มพวกเขาต้องขึ้นลงเขาเพื่อหาสมุนไพรจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อได้เห็นว่านายหญิงยังไม่บ่นสักคำ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย พวกเขาจึงมีแรงใจมากยิ่งขึ้นใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บสุมนไพรที่ต้องการได้สำเร็จ ไต้ฝูหรงยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเดินทางกลับจวน จากนั้นจึงจัดการล้างทำความส
กงเหล่ยรีบเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะ ก่อนจะมุ่งหน้ามายังค่ายทหารในช่วงกลางดึก เมื่อมาถึงก็พบว่าตอนนี้เหล่าทหารต่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว สีหน้าทุกคนมีความมุ่งมั่นปรากฏชัดบนใบหน้า ไม่มีความเกรงกลัวใดใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความฮึกเหริมและพร้อมออกรบเพื่อปกป้องแว่นแคว้น กงเหล่ยยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหาร ในมือถือดาบเอาไว้ แววตาฉายแววมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งเกาฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยแคว้นเซี่ยไป อีกทั้งยังไม่มีทางยอมให้คนตระกูลกงเหลือหนทางรอด ศึกครานี้หนักหนาไม่น้อย อีกทั้งอาจจะต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมไม่อาจถอย หลายปีที่หลบซ่อนตัวเขาได้ซ่องสุมกำลังทหารลับเอาไว้ร่วมหลายแสนนาย ยามนี้ถึงเวลาที่จะต้องเรียกออกมาใช้งานแล้ว"ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านมันไปได้ ขอให้พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า เชื่อมั่นในตัวเอง ช่วยกันปกป้องแว่นแคว้นและขจัดคนชั่วไปให้หมดจากแผ่นดินนี้เสีย!"ทันทีที่กงเหล่ยเอ่ยจบเหล่าทหารต่างชูดาบขึ้นสูง พลางตะโกนกู่ร้องก้องแผ่นดินแคว้นเป่ยและแคว้นฉีบุกประชิดชายแดน อีกทั้งยังยึดเมืองด่านหน้าสำคัญต่างๆของแคว้นเซี่ยไปได้หลายเมือง และ