LOGINผิงถิงจึงเดินมาหาซืออินที่ตัวสั่นเหมือนจะร้องให้ได้ ส่วนฟู่จวินของนางเดินมาหาเพื่อปลอบประโลม
“ซืออิน เจ้าแต่งงานกับหวางเย่หยางจงไปนั้นหล่ะดีแล้ว ถือเสียว่าเจ้าทำคุณให้แผ่นดิน เพราะข้าเองก็ไม่ไว้ใจให้เจ้าแต่งงานกับไท่ฟู่ เขาเองควบคุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมด ไม่รู้วันใดเขาจะก่อกบฏหรือไม่ อีกอย่างหนึ่งหวางเย่หยางจงก็ทรงไม่มีหวางเฟย และยังมาสู่ขอเจ้าด้วยตัวเองถือว่าเขารักเจ้าด้วยใจจริง เจ้าอย่าเสียใจเลยน่ะ” เมื่อกงซุนหม่ากล่าวเช่นนี้ จึงหันกลับมามองฟู่จวินของนางแล้วจึงกล่าว “ฟู่จวิน ข้าจะเป็นหวางเฟยของหวางเย่หยางจง และข้าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” “ขอบใจมากซืออิน” ซืออินจึงโอบกอดฟู่จวินของนางด้วยความรักที่มีต่อบุตรเช่นตน ผิงถิงที่ยืนมองอยู่รู้สึกดีใจที่จบลงด้วยดี นางเองก็รักเจี่ยเจียของนางมากก็ไม่อยากให้เจี่ยเจียแต่งงานกับไท่ฟู่ เพราะเขามีอำนาจในราชสำนักมากจนเกินไป อีกทั้งยังมีกองกำลังเป็นแสนอยู่ในมือ ไม่รู้วันใดเขาอยากจะก่อกบฏขึ้นมา เจี่ยเจียของนางอาจโดนรากแหไปด้วย อีกฟากหนึ่งของพระราชวัง คือหรูเทียนกง ตำหนักของหวางเย่เยี่ยหัวทรงร่ำน้ำจัณฑ์เพียงลำพังในเรือนกลาง ตรงกลางห้องโถง มีนางกำนัลสองนางคอยรินน้ำจัณฑ์ถวาย นางรำหญิงห้าคนคอยร่ายรำ ทว่าทรงเสวยเท่าไหร่ก็ไม่เมาเสียที จึงปาจอกน้ำจัณฑ์ทิ้ง ทำเหล่านางรำต่างหวาดกลัวต่างหลบหนี “สตรีมีมากมาย เหตุใดต้องเป็นเจ้าซืออิน ทำไมข้าถึงชอบเจ้า ทำไมกัน ทำไม” “หวางเย่ ท่านเลิกคิดถึงนางเถิด ยิ่งท่านลืมนางเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีต่อตัวท่าน” บ่าวรับใช้คนสนิทกล่าวด้วยความเป็นห่วง “จื่อลั่ว พรุ่งนี้เจ้าทูลต้าหวางด้วยว่า อีกสามวันข้าจะไปอยู่ชายแดน ขอเวลาข้าสักสองปี ข้าจะตีเมืองเยียนฉือคัง ที่มันริเริ่มก่อกบฏอยู่ในขณะนี้ ข้าจะปราบให้ราบคาบ ส่วนเรื่องก่อกบฏข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ อย่างไรเสียต้าหวางก็คือตี้ติของข้า” (ตี้ติ แปลว่า น้องชาย) “หวางเย่ท่านทำถูกแล้ว ออกเหงื่อหน่อยเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง พระเจ้าค่ะ” พิธีจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ วันนี้หวางเย่หยางจง ทรงมารับเจ้าสาวด้วยตัวเอง มีผิงถิงและสาวใช้จากตำหนักหวางเย่เข้ามาแต่งองค์ อีกทั้งเครื่องประดับ อาภรณ์ ของในพิธีทั้งหลายเหล่านี้ จากตำหนักด้วยกันทั้งสิ้น จวนสกุลกงซุนไม่ได้ซื้อมาแต่อย่างใด “เจี่ยเจีย ท่านงดงามยิ่งนัก สมกับเป็นหวางเฟยของหวางเย่หยางจง เหมือนวิหกคู่พญาราชสีห์” “ผิงถิง เจ้าก็กล่าวเกินไป” “วันนี้ข้ากลัวว่าไท่ฟู่จะมาล่มงานอภิเษกของท่าน ข้าจึงให้ทหารของฟู่จวินมาลาดตะเวนรอบบ้านจนถึงหน้าประตูตำหนัก” “ผิงถิง เจ้านี่รอบครอบจริงๆ” ซืออินเอ่ยกล่าวอีกทั้งเผยยิ้มมองเม่ยเมยของนางด้วยความรักและความเอ็นดูจากคันฉ่องบานใหญ่ตรงหน้า “ข้ามีเจี่ยเจียเพียงคนเดียวเหตุใดข้าจะไม่ห่วงท่าน อีกอย่างไท่ฟู่ชอบท่านขนาดนั้น เกิดว่าชิงตัวเจ้าสาวขึ้นไม่แย่หรือคะ” “ขอบใจเจ้า ข้าเลี้ยงเจ้ามาไม่ผิดคนจริงๆ” “เจี่ยเจีย เข้าพิธีให้สบายใจเถิด ข้าจะคอยดูให้” ใต้เท้ากงซุน หรือกงซุนหม่า ฟู่จวินของซืออินได้มาส่งตัวเจ้าสาว พร้อมกับน้องชายอีกสองคนของนาง และรวมถึงผิงถิงน้องสาวของนาง “ซืออิน เจ้าคือหวางเฟยแล้ว ข้าเลี้ยงเจ้ามาในค่ายทหาร เจ้าอาจมีนิสัยดิบห่ามไม่เกรงกลัวใครมาแต่เล็ก แต่อยู่ในวังเจ้าต้องทำตัวให้ใจเย็น รู้แบ่งรับรู้แบ่งสู้ เข้าใจไหม” กงซุนหม่าเอ่ยขึ้น (หวางเฟย คือ พระชายา) “เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้ฟู่จวินลำบากใจ” “ดีแล้ว ดีแล้ว” ใต้เท้ากงซุนประคองบุตรสาวลุกขึ้นยืน แล้วซืออินหันไปหา ผิงถิงจับมือแล้วเอ่ยบอก “ผิงถิง ต่อจากนี้ไปงานในบ้านคือหน้าที่ของเจ้า อาจจะหนักบ้างเจ้าอย่าได้กังวล พ่อบ้านเหลียงจะคอยช่วยเหลือเจ้า แล้วข้าจะออกจากวังมาหาเจ้าบ่อยๆ” “เจียเจี่ยท่านอย่าได้กังวลไป ข้าทำได้อยู่แล้ว ส่วนออกจากวัง ท่านอย่าออกมาบ่อยนัก เดี๋ยวเจียฟู่จะน้อยใจว่าฟูเหรินไม่รักพระองค์” (เจียฟู่ คือ พี่เขย) “เจ้านี่น่ะ” จบพระราชพิธีไหว้ฟ้าดิน ถึงเพลาส่งตัวเจ้าสาว หวางเฟยรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ไท่ฟู่ไม่มาทำลายพิธีงานแต่งของนางกับหวางเย่หยางจง พระนางดำริว่าเยว่หัวปลงตกแล้วหรือ คนอย่างเขากล้าได้กล้าเสีย ถ้าเขาอยากได้สิ่งใด มีหรือจะไม่ได้ ทำให้พระนางแปลกพระทัยไม่น้อย ทว่าสุรเสียงของหวางเย่หยางจงดังขึ้นทำให้ “ซืออินเจ้าคิดสิ่งใดอยู่หรือ” “เปล่า ไม่มีอะไร” “ซืออิน ข้าดีใจนักที่เจ้าได้เป็นหวางเฟยของข้า ต้าหวางทรงเล่าให้ฟังเมื่อหลายปีที่แล้วว่าสกุลกงซุนชอบล่าสัตว์ยิงธนู เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อนัก แต่เมื่อได้เจอเจ้าเมื่อสามปีที่แล้ว ครั้งนั้นข้าจำได้ว่า ข้าออกไปล่าสัตว์กับต้าหวางองค์ปัจจุบันและไท่ฟู่ ครั้งนั้นข้าได้ยิงหงส์ขาวตัวหนึ่งลงมา แต่ว่าบนตัวหงส์นั้นไม่ได้มีธนูเพียงอันเดียว แต่กลับมีสองอัน ทันใดนั้นข้าได้เห็นสาวน้อยผู้หนึ่งเดินตรงมาหาข้า แล้วเจ้าก็อุ้มหงส์ต่อหน้าต่อตาข้า ทว่าข้ายังตกตะลึงในความงามของเจ้า และข้าจำได้อีกว่าวันนั้นเจ้าสวมอาภรณ์แดงชาด และประดับด้วย...” “ปิ่นหยกลายเมฆา” ไม่ทันที่หวางเย่กล่าวจบ เสียงจากชายผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้หวางเย่เอ่ยถาม ด้วยความตกพระทัย “เจ้าเป็นใคร?” เมื่อทรงตรัสถามเช่นนั้น ชายผู้นั้นจึงเดินออกมาจากมุมมืนของห้องพระบรรทม “ไท่ฟู่” กงซุนหวางเฟยทรงตรัสแผ่วเบา “เกอเกอ ท่านเข้ามาได้อย่างไร” หวางเย่หยางจงเอ่ยถามด้วยความแปลกพระทัย และตกพระทัยยิ่งนัก ทรงรู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์เช่นไร แต่นี่เป็นราชโองการพระองค์ก็ขัดมิได้ อีกทั้งลึกๆ พระองค์ทรงแอบหลงรักหวางเฟยมานานแล้วเช่นกัน “ข้ามาคืนของที่เจ้ามอบให้” ไท่ฟู่ทรงตรัสด้วยสุรเสียงเรียบเฉย แล้วจึงทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายดอกเหมย หวางเฟยทรงรับผ้าผืนนั้นมา อีกทั้งไท่ฟู่จึงเอ่ยขึ้น “ขอให้เจ้าทั้งสองคน มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง รักกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” ไท่ฟู่ตรัสเช่นนั้น แล้วทรงหันองค์ก้าวย่างพระแล้วออกไปทางหน้าบัญชร ทางเดิมที่ไท่ฟู่ปีนขึ้นมา ทิ้งให้หวางเย่และหวางเฟยอยู่เพียงลำพัง หวางเฟยทรงหันไปหาหวางเย่ที่นิ่งสงบ “หม่อมฉันกับไท่ฟู่เป็นแค่คนรักกัน ไม่เคยได้เสียเป็นฟู่เหริน ฟูจวินกัน พระองค์จะเชื่อหม่อมฉันไหมเพคะ” หวางเฟยตรัสเช่นนี้ “ข้าเชื่อเจ้า” ทรงตรัสอย่างมั่นคง ทำให้หวางเฟยทรงแปลกพระทัยอยู่บ้าง ว่าเหตุใดถึงไม่ตรัสถามความหลังของพระองค์และไท่ฟู่ ทว่าหวางเย่ทรงจับพระหัตถ์หวางเฟย แล้วตรัสขึ้นมา “ซืออิน ข้าได้ทิ้งอดีตของเจ้าไปแล้ว เหตุใดต้องรื้อฟื้นอดีตของเขากับเจ้าด้วย เจ้ากับข้าควรอยู่กับปัจจุบันมิดีกว่าหรือ” หวางเย่ทรงตรัสเช่นนี้ หวางเฟยมองพระพักตร์อย่างลืมองค์ มารู้ตัวอีกที ทรงเอนองค์พระนางลง “หวางเย่ ทรงสัญญาได้ไหมว่า ไม่ว่าพระองค์จะทำสิ่งใด จะมีฟูเหรินกี่คนหม่อมฉันไม่ว่าหรือขัดค้านพระองค์ แต่ทรงอย่าทำให้หม่อมฉันเสียใจเป็นอันขาด” หวางเฟยตรัสจริงจัง “หวางเฟย ข้าให้สัญญา ข้าจะดีกับเจ้าและจะเชื่อฟังในสิ่งที่เจ้าพูดทุกคำ” หวางเย่ตรัสเช่นนี้ หวางเฟยจึงปล่อยกายปล่อยใจ แนบชิดสนิทเสน่หา ร่วมรักแต่เราสองหวางโฮ่วลืมพระเนตรขึ้นในยามบ่ายของอีกวัน ทอดพระเนตรโดยรอบทรงรู้ได้ทันทีว่าเป็นพระตำหนักของพระนาง อีกทั้งทรงทอดพระเนตรดอกท้อในอุทยานหลวง ทั้งที่เมื่อก่อนไม่มากขนาดนี้ พระนางพระราชดำริว่าอาจเป็นหลายสิบลี้จนถึงสระน้ำในอุทยานหลวงพระนางได้สดับเสียงของฝีเท้าเข้ามาในตำหนัก จึงหันไปทอดพระเนตรว่าผู้ใดมา จึงลงบรรทมบนพระเขนยอีกครั้ง ไม่สนพระทัยผู้มาเยือน (พระเขนย แปลว่า หมอน)ต้าหวางทรงถือถ้วยพระโอสถตรงมาประทับนั่งบนตั่งพระบรรทม มีพระดำรัสต่อพระนาง“ผิงถิง เจ้าลุกขึ้นมาดื่มยาหน่อยเถิด ก่อนที่ยาจะเย็น” ต้าหวางพระดำรัส แต่หวางโฮ่วทรงนิ่งไม่ไหวติง ต้าหวางทรงส่งถ้วยยาให้เยี่ยลี่ถือเอาไว้ ต้าหวางทรงโบกพระหัตถ์ให้เยี่ยลี่ถอยไป เยี่ยลี่และเหล่าข้าหลวงจึงถอยออกมานอกพระวิสูตร ต้าหวางมีพระดำรัสต่อพระนาง“ผิงถิง ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้า จนไม่น่าให้อภัย ข้าผิดเองที่ไม่ตรองให้ดี เรื่องที่เจ้าส่งกองกำลังส่วนตัวไปตีแคว้นไป๋ เพื่อให้ข้าเป็นใหญ่เหนือใต้หล้า ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้าและแคว้นอวี้ของเรามากแค่ไหน ผิงถิงเราก็อภิเษกมาหลายสิบปี มีลูกด้วยกันถึงสองคนผิงถิง เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่รักเจ้า เจ้าคิดว่าข้ายังหวนนึกถึ
ผิงถิงเดินขึ้นไปบนหอหลินเซียวอย่างง่ายดาย เพราะนางได้ขายผักให้กับที่นี่ในราคาถูก นางโลมหลายคนนางก็รู้จัก นางเดินขึ้นไปยังชั้นไปยังหอคอย เห็นว่าคนข้างล่างมากรอให้กูเหนียงโยนดอกกุหลายมาให้พวกเขา ผิงถิงคิดสนุกอยากลองบ้าง เห็นว่าหญิงสาวสองคนยืนต่อคิว ผิงถิงจึงต่อคิวจากพวกนาง จนถึงคิวของนาง กูเหนียงใบหน้างดงามยื่นดอกกุหลาบด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงกล่าว“กงซุนกูเหนียง ถ้าท่านโยนดอกกุหลาบ ชายใดได้รับอาจเป็นคู่ครองของท่านในอนาคต เพราะกูเหนียงหลายคนที่เคยโยนไปนั้นก็ได้ชายหนุ่มผู้นั้นไปเช่นกัน”ผิงถิงรับไว้หนึ่งดอก แล้วจึงโยนดอกกุหลาบแดงโยนลงไปห่างผู้คนทางทิศเหนือ ชายหนุ่มต่างวิ่งไปไขว่คว้าดอกกุหลาบดอกนั้น ทว่าดอกกุหลาบดอกนั้นกลับตกลงบนมือของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้าเช่นพวกเขา หลังจากนั้นผู้คนจึงกระจายออกจึงรู้ว่าชายผู้นั้นคือไท่ฟู่ ผิงถิงเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ นางหมายให้ลงที่พื้น แต่คนที่รับได้เป็นไท่ฟู่“กงซุนกูเหนียง ท่านโชคดีจัง ผู้ที่รับดอกกุหลาบคือไท่ฟู่ แต่ว่าไท่ฟู่ไม่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้นี่หน่า” กูเหนียงผู้หนึ่งเอ่ยกับผิงถิง ผิงถิงมองลงไปเห็นไท่ฟู่ยืนทอดพระเนตรนางด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ไ
“โชคชะตามักกลั่นแกล้งผู้คน แต่จะทำเช่นไรได้ เมื่อรักลึกซึ้งไปแล้ว ท่ามกลางผู้คนมากมาย โชคดีที่ได้พบพานกัน พริบตานั้นพลันเข้าใจแจ่มชัด รักให้ความกล้า และความหวาดหวั่นที่สยบทุกสิ่งแก่ข้า สามารถทลายขุนเขานที ถล่มสวรรค์ได้ รักเหมือนถือคบเพลิงต้านแรงลม ร้อนลวกเจ็บปวดยิ่งนัก ความรู้สึกทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ขับขานอย่างอ่อนโยน ถึงเกียรติยศอันอ้างว้าง เดือนปีล่วงผ่าน รักลึกซึ้งยากได้ครอบคู่กัน”พระสุรเสียงของหวางโฮ่วที่พระดำรัสออกมาทำให้ผู้ได้ฟังต่างเศร้าใจยิ่งนัก“กงซุนกูเหนียง ท่านดื่มชาก่อนดีหรือไม่ มันเย็นชืดหมดแล้ว” เสียงจากหญิงวัยกลางคนใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าสดใส นางได้ทูลบอกกับหวางโฮ่วที่มีพระพักตร์งดงาม แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว พระนางยังคงงดงามเช่นเดิมหวางโฮ่วทรงยกถ้วยพระสุธารสชาใกล้เย็นชืดขึ้นจรดพระโอษฐ์ เสวยเพียงแค่หนึ่งคำ แล้วจึงวางลงบนจานรองถ้วยกระเบื้อง หญิงวัยกลางคนตรงพระพักตร์หวางโฮ่วเอ่ยขึ้น“กงซุนกูเหนียงท่านรักต้าหวางถึงเพียงนี้ ทำไมท่านถึงไม่ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน”“ข้าอยากอยู่ที่นี่สักพัก” “กงซุนกูเหนียง ในฐานะข้าที่เป็นคนนอกนะ ข้าอยากใ
ต้าหวางลืมพระเนตรขึ้นช้าๆ ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าหวางโฮ่วไม่ได้อยู่บนพระแท่นพระองค์กลับร้อนพระทัยยิ่งนัก ทรงรีบลุกขึ้นไปเปิดพระวิสูตร ทรงเห็นเหล่าข้าหลวงนั่งคุกเข่ารอรับสั่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถาม“หวางโฮ่วไปไหน” ต้าหวางพระราชดำรัสถามเช่นนี้ เหล่าข้าหลวงต่างมองหน้ากันแล้วทูลตอบ“หวางโฮ่วไม่ได้อยู่ร่วมบรรทมกับพระองค์หรือเพคะ”ข้าหลวงกล่าวเช่นนี้ ต้าหวางมีพระราชดำริได้ว่า ได้ต่อว่าหวางโฮ่ว ทั้งที่ไม่เคยทรงต่อว่าพระนางเช่นนี้มาก่อน พระองค์ดำริว่าพระนางคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวังหลวง พระองค์ทรงรับสั่งทันที“ให้ทุกคนหาหวงโฮ่วให้เจอ ถ้าไม่เจอไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้า” ต้าหวางพระราชดำรัสดังลั่น พระองค์ทรงย่างพระบาทออกจากพระตำหนักด้วยความร้อนรน จื่อลั่วเดินมาหาพระองค์แล้วทูลถาม“ต้าหวางมีสิ่งใดหรือพระเจ้าค่ะ ทำไมพระองค์ถึงมีสีพระพักตร์เช่นนี้”“ผิงถิงหายไป” ต้าหวางตรัสเช่นนี้ จื่อลั่วทูลถามต่อ“หวางโฮ่วคงอยู่ในอุทยานหลวงเก็บลูกไม้ก็ได้พระเจ้าค่ะ”“เมื่อคืนข้ามีปากเสียงกับนาง นางคงโกรธข้าคงไปที่ใดที่หนึ่ง เจ้าให้ทหารหานางทั่ววัง ต้องหาให้เจอ”“พระเจ้าค่ะ”ท้องฟ้ามืดครึ้มสายฝนร่วงหล่นลงมาอย่างหนัก
สามวันต่อมาต้าหวางทรงอยู่ประทับด้วยหวางโฮ่ว ในตำหนักของพระนาง หยางเสวี่ยเจิ้นไท่จื่อทรงว่าราชการแทนต้าหวาง โดยไม่ทูลต่อเรื่องให้อดีตแม่ทัพเมิ่งเฮ้าไปทำศึกที่แคว้นไป๋ เรื่องนี้หวางโฮ่วทรงเตรียมการไว้แรมเดือน เมื่อถึงเพลาประจวบเหมาะจึงให้อดีตแม่ทัพเข้าโจมตีทันที ตามรับสั่งของหวางโฮ่ว หวางโฮ่วได้ให้เสี่ยวหวังมหาขันทีของต้าหวางไปตามบ้านของเหล่าขุนนางและข่มขู่พวกเขาห้ามให้ถึงพระกรรณของต้าหวางเป็นอันขาด ถ้ามันผู้ใดเป็นผู้ทูลต่อต้าหวาง มันผู้นั้นต้องตายทั้งโคตร พระเสาวนีย์ของหวางโฮ่วดั่งคำของธิดาสวรรค์ จึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ อีกทั้งพระนางทรงตัดไฟแต่ต้นลม ให้ทหารของเมิ่งเฮ้าส่วนหนึ่งคอยดูขุนนางไว้ไม่ให้ปากโป้งในเรื่องนี้อีกด้วย จนเข้าวันที่สี่ต้าหวางทรงดูแลหวางโฮ่วไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จนพระนางทรงดำริในพระทัยว่า ในสิ่งที่พระนางกระทำลงไปนั้นถูกต้องแล้วหรือ ทรงรู้มาตลอดว่าการของบ้านเมืองไม่เกี่ยวกับฝ่ายใน โดยเฉพาะพระนางทรงเป็นประมุขฝ่ายใน และต้าหวางทรงเอ็นดูพระนางยิ่งกว่าผู้ใด ทำให้พระนางรู้สึกว่าพระองค์ผิดยิ่งนักหวางโฮ่วทรงทอดพระเนตรต้าหวางไปสรงน้ำแล้ว พระนางจึงดำเนินออกมานอกตำหนัก เยี่ยล
หวางโฮ่วทรงนำกริชแกะสลักไม้จันทน์ สลักเป็นตัวอักษรที่ทรงเขียนว่า ‘เยว่หัว’ ตรงด้ามของซู่ฝ่า แล้วจึงใช้พระโอษฐ์ทรงไล่ฝุ่นไม้จนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง พระนางจึงใช้กรรไกรตัดพระเกศาเล็กน้อยจัดใส่พู่กันเรียงทีละเส้นจนออกมาเป็นรูปร่างของแปรงขนที่หนาขึ้น พระนางทรงแย้มพระโอษฐ์ทอดพระเนตรด้วยความพึงพอพระทัยยิ่งนัก แล้วทรงใช้กรรไกรตบแต่งให้เป็นพู่กันสมบูรณ์แบบ ทันใดนั้นเยี่ยลี่ก็ก้าวเดินเข้ามาหาพระนาง (ซู่ฝ่า แปลว่า พู่กัน)“คุณหนู ข้าได้สืบมาแล้วว่า ผู้ที่ใส่ยาพิษในพระสุธารสของต้าหวาง คือนางกำนัลในตำหนักเรา เป็นคนจากแคว้นไป๋เจ้าค่ะ” เยี่ยลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวั่นวิตก หวางโฮ่วทรงวาง แล้วทรงตรัส“จัดการให้เรียบร้อย” หวางโฮ่วทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เรียบเฉย“เจ้าค่ะ” เยี่ยลี่น้อมรับพระเสาวนีย์โดยทันที แล้วพระนางทรงตรัสอีกครั้ง“มีอีกเรื่องหนึ่ง”“รับสั่งมาเถิดเจ้าค่ะ”“เยี่ยลี่ เจ้าบอกแม่ทัพเมิ่งเฮ้าให้จัดการเรื่องนี้ทันที อย่าให้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของต้าหวาง สามวันนี้ต้องทำให้สำเร็จ สามวันเท่านั้น” หวางโฮ่วทรงตรัสเน้นย้ำ“คุณหนู จะทำเช่นไรไม่ให้ต้าหวางทรงทราบเจ้าคะ” เยี่ยลี่เอ่ยด้วยความสงสัย“ด้วยอ







