คริสต์ศักราช 2015
ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมพัดพลิ้วต้องกับกระแสลมแรง พร้อมกลิ่นหอมรัญจวนจิตของหมู่มวลดอกไม้หอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางดอกไม้หลากสี รูปร่างแลให้ชวนมองน่าหลงใหล มองเลยไปปรากฏประตูที่มีลวดลายสะท้อนอารยธรรมของชนชาติจีน ทว่าสถาปัตย-กรรมดังกล่าวกลับมิใช่สมัยใหม่แต่แลดูคล้ายสมัยโบราณเสียนี่กระไร ประตูตรงหน้าปิดสนิทถูกฉาบด้วยสีแดง พร้อมแผ่นป้ายชื่อขนาดใหญ่วางตั้งเหนือไว้บนขอบประตูเบื้องบน เขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณระบุว่า เฉี่ยนเก้อลากุง แปลว่า “ตำหนักจันทรา” “ชิงเชียง! ชิงเชียงจ๋า” เสียงทุ้มละมุนกระซิบแผ่วเพรียกหาเจ้าของนามดังกล่าว ใบหน้าละมุนสวยคมเซ็กซี่รับกับผมสีดำขลับขึ้นเป็นมันเงางดงามประดุจดั่งเช่นชาวเอเชียหากแต่มีเลือดผสมสองชาติคือไทยและจีน ดวงหน้าเริ่มส่ายไปมาเมื่อได้ยินเสียงเพรียกหานั้นราวกับว่าเสียงดังกล่าวอยู่แนบชิดริมหูของเธอก็ว่าได้ “จ๋า!” เสียงหวานตอบเสียงเพรียกหาปริศนานั้นกลับไปทั้งๆ ที่กำลังหลับสนิท “ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” เสียงเพรียกหานั้นยังคงกล่าวกับเธอ “ไม่รู้” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่วเบาทั้งๆ ที่ยังคงหลับสนิทอยู่เช่นเดิม ทันใดนั้นเอง “พรึ่บ!” ดวงตากลมโตคู่สวยพลันเปิดขึ้นมาทันใดครั้นเมื่อรู้สึกตัว ร่างระหงลุกพรวดพราดมาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิจากที่นอนอันหนานุ่มพลางสังเกตไปรอบๆ ห้องของเธออย่างละเอียด “โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็ฝันไปนี่เอง” หญิงสาวเกิดอาการเซ็งขึ้นมาทันทีเมื่อล่วงรู้ว่าเสียงที่เธอได้ยินนั้นมาจากความฝันของเธออีกแล้ว “เฮ้อ!” เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ทำไมเราถึงฝันว่าได้ยินคนเรียกชื่อบ่อยจังเลยนะ ได้ยินแต่เสียงแต่ไม่เคยฝันเห็นตัวตนคนเรียกสักที ฝันซ้ำๆ กันแบบนี้มาไม่รู้กี่ปีแล้ว จนจำเสียงคนเรียกได้ดีเลย” หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในใจ “กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!” เสียงโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแผดเสียงกึกก้องขึ้นมาทันที เล่นเอาร่างระหงที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ในขณะนั้นสะดุ้งจนสุดตัว “โอ๊ย! ตกใจหมดเลย เที่ยงคืนกว่าแล้วใครกันนะโทรมาป่านนี้” สาวเจ้าบ่นพึมพำพร้อมมือเรียวสวยเอื้อมหยิบโทรศัพท์ออกจากแป้นตัวเครื่องนำมาแนบหูของเธอ “ริณรนีย์พูดสายค่ะ” เสียงหวานตอบกลับไป “ยายหนู” ปลายสายตอบกลับมาและนั่นทำให้หญิงสาวดีใจอย่างยิ่งยวดที่ได้ยินเสียงดังกล่าว “คุณแม่! ดีใจจังเลยค่ะที่คุณแม่โทรมา ริณคิดถึงคุณแม่กับคุณพ่อจังเลยค่ะ” หญิงสาวบอกตามความรู้สึกของเธอกลับไปทำให้เสียงปลายสายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อะไรกันจ๊ะยายหนู แม่กับพ่อเพิ่งจะบินกลับมาจากเยี่ยมหนูนะลูก เพิ่งห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แล้วนี่แม่กวนหนูหรือเปล่า ทางนั้นคงดึกมากแล้วกระมัง แต่ก็อยากบอกหนูว่าพ่อกับแม่เดินทางถึงบ้านเราที่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่ต้องห่วง” ใบหน้าสวยยิ้มหวานออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าคุณแม่ไม่โทรมาริณก็จะเป็นฝ่ายโทรไปเองค่ะ คุณวิลาสินีเจ้าขา” หญิงสาวบอกกลับไปตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่ พร้อมนึกอะไรบางอย่างที่อยากจะถามมารดาของเธอ “เอ่อ คุณแม่คะ ริณขอถามอะไรหน่อยจะได้ไหม” “จะถามอะไรแม่อย่างนั้นเหรอลูก... มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เสียงของคนเป็นแม่เอ่ยตอบปลายสายกลับมาแฝงเร้นความสงสัย “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ แค่เพียงความสงสัยเรื่องชื่อจีนของริณเท่านั้นค่ะ” “อ่อ... นึกว่าเรื่องอะไร ทำไมถึงสงสัยชื่อจีนของลูกขึ้นมาล่ะ” “คุณพ่อคุณแม่บอกว่า ริณมีชื่อในภาษาจีนว่า ชิงเชียง ชื่อนี้คุณชวดสั่งเอาไว้ว่าให้ตั้งชื่อสำหรับลูกหลานที่เกิดเป็นผู้หญิง แล้วตระกูลฟ่านของคุณพ่อที่จีนแผ่นดินใหญ่มีใครใช้ชื่อนี้เหมือนริณบ้างคะคุณแม่” หญิงสาวบอกรายละเอียดในสิ่งที่เธอต้องการรู้และสงสัยมานาน “ไม่มีจ้ะ” คำตอบสั้นๆ กระชับรวบรัดของมารดาทำให้ดวงตากลมโตของเจ้าหล่อนเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลัน “อะไรนะคะ! ไม่เคยมีใครใช้ชื่อนี้เลยอย่างนั้นเลยเหรอ... เป็นไปได้ยังไง” หญิงสาวพึมพำไปตามสายโทรศัพท์ “เป็นไปแล้วจ้ะยายหนู ตระกูลฟ่านของคุณพ่อมีแต่ลูกชายสืบเชื้อสายมาแต่โบราณนับรุ่นต่อรุ่น และไม่เคยมีลูกสาวเกิดขึ้นภายในตระกูลแม้แต่คนเดียว เพราะในสมัยโบราณส่วนใหญ่จะอายุไม่ยืน สงครามในสมัยก่อนทำให้ผู้ชายต้องออกรบทำศึกสงคราม จนกระทั่งมาถึงรุ่นคุณพ่อ คุณย่าท่านก็มีแต่ลูกชายถึงเก้าคน พี่น้องแต่ละคนก็มีแต่ลูกชายจนกระทั่งคุณพ่อแต่งงานกับแม่และมีหนูเกิดมานี่แหละจ้ะ” เสียงของคุณวิลาสินีอธิบายกลับมา หญิงสาวนั่งทำตาปริบๆ เมื่อได้ยินที่มาซึ่งเป็นชื่อจีนของเธอ “ถ้าเช่นนั้นชื่อจีนบวกกับแซ่ของคุณพ่อ ริณก็จะมีชื่อในภาษาจีนว่า ฟ่านชิงเชียง... อือหือ ฟังแล้วเพราะจังเลยค่ะคุณแม่” หญิงสาวทบทวนชื่อภาษาจีนของเธอด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ได้เพราะอย่างเดียว ความหมายของชื่อก็ลงตัวและดีมากด้วยนะลูก” คุณวิลาสินีบอกลูกสาว “อย่างนั้นเหรอคะ แล้วแปลออกมาหมายความว่าอะไรคะคุณแม่” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “แปลว่า งดงามและสง่างามจ้ะ ชื่อนี้ใช้สำหรับผู้หญิงที่มีรูปโฉมงดงาม และริณของแม่ก็เหมาะสมกับชื่อนี้จริงๆ” คนเป็นแม่กล่าวชื่นชมบุตรสาวของเธอ “แต่ถ้าจะให้ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองต้องขึ้นคานนะลูก เรียนหนังสืออยู่ที่อังกฤษตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เรียนจะจบปริญญาตรีแล้วก็ยังจะเรียนต่อระดับปริญญาโทและเอกอีก อายุก็จะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะลูก เมื่อไรจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนพามาให้แม่กับพ่อได้รู้จักบ้าง เอาแต่เรียนหนังสืออย่างเดียวจากสาวจะกลายเป็นป้าแล้ว พอถึงตอนนั้นพอแก่ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้ลูกแม่อีกแล้วตอนนั้น” คุณวิลาสินีบ่นกระปอดกระแปดกับการบ้าเรียนของลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ ริณรณีย์ยิ้มแห้งๆ ออกมาเพราะเธอล่วงรู้แก่ใจดีว่าสาเหตุการบ้าเรียนของเธอก็เพราะไม่ต้องการให้คุณพ่อคุณแม่หาคู่ตามประเพณีจีนซึ่งเธอไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย “คุณแม่ไม่ดีใจเหรอคะที่ริณได้เรียนในคณะสถาปัตยจากมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตอนนี้มีบริษัทมาติดต่อลูกสาวของคุณแม่ให้ไปทำงานกับพวกเขาแล้วนะคะ ดูสิ ยังเรียนไม่ทันจบเลยมีงานมารอตรง หน้าแล้ว” “ย่ะ... แม่คนเก่ง... รู้แล้วล่ะว่ามหาวิทยาลัยที่อุตส่าห์ไปเรียนมีชื่อ เสียงและไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน แต่คุณพ่อก็เป็นห่วงเพราะท่านเจ้าสัวแห่งตระกูลฟ่านมีลูกสาวเพียงคนเดียว ยังไงเสียรีบเรียนให้จบจะได้กลับมาหาพ่อกับแม่นะลูก” คุณวิลาสินีไม่วายย้ำกับลูกสาวคนเดียวของนาง “เจ้าค่ะคุณแม่ขา ริณจะรีบเรียนให้จบเร็วๆ ค่ะ อีกห้าปีก็จบแล้วทั้งโทและเอกเลย ทันทีที่จบจะรีบบินกลับเมืองไทยเลยค่ะ” หญิงสาวทำเสียงล้อเลียน “โอ๊ย อีกตั้งห้าปีเลยเหรอยายหนู มาเรียนต่อที่เมืองไทยหรือไม่ก็ไปเรียนต่อที่เมืองจีนก็ได้ กิจการที่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ตั้งมากมาย พ่อกับแม่ก็บินไปบินมาแทบทุกเดือนระหว่างเมืองไทยกับเมืองจีน นี่อะไรไปเรียนอยู่ถึงอังกฤษไกลเสียเหลือเกิน” คนเป็นแม่บ่นเป็นหมีกินผึ้งมิรู้วาย “ก็คุณแม่อย่านั่งนับเดือนนับปีสิคะ ห้าปีแป๊บเดียวเอง อีกอย่างริณไม่อยากให้ใครมาว่าคุณพ่อคุณแม่ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่จากแผ่นดินจีน ท่านเจ้าสัวตฤณ หรืออีกชื่อคือท่านเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงกับคุณวิลาสินี มีความรู้แค่หางอึ่งสังคมไฮโซของคุณแม่จะเอาไปเม้าท์มอย จนสนุกปากว่าริณเป็นพวกประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สวยแบบไม่มีสมอง มีดีแค่มีเงินและเกิดมาเป็นลูกของท่านเจ้าสัวค่ะ” หญิงสาวอธิบายเหตุผลกลับไป และนั่นทำให้คุณวิลาสินีไม่เซ้าซี้ลูกสาวของเธออีกต่อไป “เฮ้อ! ยกเหตุผลมาอธิบายแบบนี้ แม่ก็ต้องยอมแพ้สินะ เอาเถอะแม่กับคุณพ่อจะรอ คิดถึงนะคนดีของแม่ ดึกแล้วนอนเถอะจ้ะ แม่ไม่กวนแล้ว รักริณมากนะลูก” เสียงของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและหวงลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอเป็นยิ่งนัก “ริณรักคุณพ่อคุณแม่มากค่ะ ฝันดีนะคะ” เสียงหวานตอบกลับไปแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงบนแป้นเครื่องรับดั่งเดิม ดวงตาคู่สวยเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างของคอนโด ซึ่งตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเทมส์ ภายนอกอากาศเย็นยะเยืยกเพราะกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวและอีกไม่นานหิมะก็กำลังจะตก ร่างระหงลุกขึ้นจากเตียงนอนช้าๆ ก้าวเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะยืนเอนหลังพิงไปกับกำแพง หญิงสาวเหม่อมองสายน้ำตรงหน้าที่สะท้อนเงาของดวงจันทร์อยู่บนเหนือสายน้ำนั่น “อยากรู้จังเลยว่าเสียงของเขาคนนั้นมาจากไหน เป็นใครกันนะ ได้ยินตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ อายุของฉันก็ยี่สิบแล้วยังได้ยินเสียงเรียกนั้นอยู่เลย และทำไมจะต้องได้ยินเพียงคนเดียวอยากรู้จัง” สาวน้อยคนงามยืนพึมพำและเฝ้าครุ่นคิดถึงเสียงเพรียกหาดังกล่าว พลางเหม่อมองพระจันทร์อยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ดวงตากลมโตได้แต่เหม่อมองพระจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้าด้วยความหวัง ว่าสักวันเธอคงจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าของเสียงเพรียกหานั้น โดยหารู้ไม่ว่า ณ กาลเวลาอันไกลโพ้นในอดีตกาล บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็กำลังแหงนหน้าเหม่อมองพระจันทร์อยู่ในขณะนี้เช่นเดียวกัน ภายในใจของทั้งสองรำพึงออกมาอย่างพร้อมเพรียง “จะมีสักวันไหมที่เราสองคนจะมีโอกาสได้พบกัน สักเพียงครั้งก็ยังดี” เสียงร่ำร้องจากหัวใจในอดีตกาลเปล่งออกมาพร้อมกันกับเสียงเพรียกหาจากหัวใจในยุคปัจจุบันอย่างมิได้นัดหมาย ความรักของทั้งสองถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเงียบๆ ภายในหัวใจของคนทั้งคู่ หากแต่รักนั้นข้ามชาติภพอย่างอัศจรรย์ จะมีสักวันหรือไม่นั้นที่ทั้งสองจะได้มีโอกาสพบกัน หัวใจของทั้งสองได้แต่เฝ้ารอคอยว่าวันนั้นคงเป็นจริงไม่วันใดก็วันหนึ่ง“ไม่เลยยายหนู มีน้อยมากแต่หนึ่งในนั้นมีตระกูลฟ่าน ของเราที่ยังคงเก็บรักษาของโบราณที่ตกทอดกันมาแต่ครั้งอดีต ในบ้านนี้มีของล้ำค่านับหลายพันปีของตระกูลเก็บรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ยุคก่อนแผ่นดินจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก เพราะตระกูลฟ่านของเราในสมัยอดีตกาลเคยเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่านก่อนจะถูกแคว้นเว่ย ฉี และฉิน ตีเอาแคว้นและแบ่งดินแดนถือครอง” “โอ้โห! นี่ตระกูลของคุณพ่อมีประวัติยาวนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนงามกล่าวออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน ก่อนจะรีบเอ่ยถามกลับไปเมื่อนึกถึงโปรเจกต์งานของเธอ “เอ่อคุณพ่อคะ แล้วศิลปะการสร้างสมัยนั้นเป็นแบบไหน อย่างเช่นหน้าตาพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้หรือพระราชวังโบราณในอดีต มีการเก็บรักษาหลงเหลือเอาไว้ไหมคะ” แม่สาวน้อยถามยาวรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อตอบกลับมา “ไม่มีหรอกยายหนู ถ้าศิลปะโบราณอื่นๆ ก็เข้าไปดูได้ตามมิวเซียม สำหรับซีอานก็ที่สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ถ้าเป็นพระราชวังโบราณแล้วละก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย นอกจากพระราชวังต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็เป็นศิลปะที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ แตกต่างจากศิลปะสมัยก่อนจิ๋นซ
ประเทศจีน มณฑลส่านซี ณ เมืองซีอาน ท่าอากาศยานนานาชาติซีอานเสียนหยาง [1] ร่างงามระหงของริณรณีย์หรือฟ่านชิงเชียง กำลังก้าวเดินออกมาจากบริเวณประตูผู้โดยสารขาออกจากสายการบินที่มาจากต่างประเทศ พร้อมด้วยกระเป๋าลากขนาดย่อม ดวงตาคู่สวยกำลังสอดส่ายสายตาคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ในขณะนั้น “ยายหนู!” เสียงที่คุ้นหูมาตั้งแต่เกิดเรียกเธอจากจุดที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ใบหน้าสวยหันกลับไปยังทิศที่เสียงดังกล่าวเรียกหาเธอทันที พร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “คุณแม่!” หญิงสาวตะโกนร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหาร่างอวบอิ่มที่กำลังยืนรอรับลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว แม่สาวน้อยโผเข้าสวมกอดคุณแม่ของเธอพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการใหญ่ “คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ... คุณแม่ขา” คำหวานออดอ้อนออกมาทันที คุณวิลาสินียิ้มแก้มปริเมื่อลูกสาวสุดที่รักหยอดลูกอ้อนทันทีที่มาถึง “จ๋าลูก... รู้แล้วว่ายายหนูของแม่คิดถึง... แหมอะไรกัน คุยโทรศัพท์แทบจะทุกวันยังจะบ่นคิดถึงกันอยู่อีกเหรอ” “ก็ริณคิดถึงนี่คะ... คิดถึง... คิดถึง... ทุกวันทุกคืนเลย” หญิงสาวพร่ำบอกคิดถึงมารดาไม่ขาดปาก ทันใดนั้นเอง “คิดถึง! ข้าคิดถ
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีตกาล พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงแห่งแคว้นฉิน ทรงยืนทอดพระเนตรดอกโบตั๋นหลากสีมากมายภายในพระตำหนักจันทรา ด้วยพระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสเป็นพิเศษ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเยือนอยู่ตลอดเวลาเมื่อทรงหวนคิดคำนึงถึงความฝันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา กลิ่นหอมละมุนจากแก้มเนื้อนวลยังติดอยู่ที่ปลายพระนาสิกอยู่ตลอด เวลา พระเนตรคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความคิดถึงโฉมงามในหัวใจ “ชิงเชียงจ๋า” สุรเสียงรำพึงออกมาเบาๆ พระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสและพระพักตร์หล่อเหลาที่ปรากฏรอยแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้เฮ่าหรานขันทีผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยถวายการรับใช้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อดไม่ได้ที่จะทูลถามเมื่อสังเกตเห็นองค์ชายรองของตนที่วันนี้ทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใสเป็นยิ่งนักผิดกับทุกวันที่ผ่านมา “วันนี้องค์ชายทรงแลดูพระเกษมสำราญ ผิดกับทุกๆ วันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” คำกราบทูลของขันทีคนสนิท ทำให้พระเนตรที่ปิดลงเมื่อครู่ที่ผ่านมาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ พระเนตรคู่สวยยังคงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา “เจ้าสังเกตข้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งถามโดยมิได้ห
หกเดือนผ่านไป ร่างระหงกำลังหลับสนิทท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและอากาศอันหนาวเหน็บ ด้วยภายนอกปรากฏหิมะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั่วบริเวณมีแต่สีขาวโพลนดาษดื่นเต็มไปหมด ภายในห้องนอนมีเครื่องทำความร้อนเพื่อเพิ่มไออุ่นผ่อนคลายความหนาวเหน็บลงไปได้มากเลยทีเดียว จึงทำให้สาวสวยคนงามหลับสนิทอย่างมีความสุข และเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ในฝันนั้นร่างระหงกำลังก้าวเดินอยู่ในท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมโรยรื่นส่งกลิ่นรัญจวนอยู่ตลอดเวลา มือเรียวสวยสัมผัสดอกตูมของดอกไม้งามตรงหน้าด้วยความชื่นชม “หอมจัง!” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “กลิ่นหอมของดอกไม้ใด ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นกายของเจ้าแม้แต่น้อยชิงเชียง” เสียงทุ้มกังวานแทรกดังขึ้น ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กาย ทว่ากลับมิปรากฏผู้ใดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อมองหาเท่าไรก็ไม่พบต้นตอของเสียง “แปลกจังเลย... ได้ยินแต่เสียงแต่ทำไมไม่เห็นตัวคนนะ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำ ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูขนาดใหญ่ ศิลปะการออกแบบอยู่ในยุคสมัยโบราณแลดูเหมือนที่พักอาศัยที่มักเห็นในหนังและตามซีรีส์จีนที่เคยดูผ่านทางทีวี
คริสต์ศักราช 2015ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมพัดพลิ้วต้องกับกระแสลมแรง พร้อมกลิ่นหอมรัญจวนจิตของหมู่มวลดอกไม้หอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางดอกไม้หลากสี รูปร่างแลให้ชวนมองน่าหลงใหล มองเลยไปปรากฏประตูที่มีลวดลายสะท้อนอารยธรรมของชนชาติจีน ทว่าสถาปัตย-กรรมดังกล่าวกลับมิใช่สมัยใหม่แต่แลดูคล้ายสมัยโบราณเสียนี่กระไร ประตูตรงหน้าปิดสนิทถูกฉาบด้วยสีแดง พร้อมแผ่นป้ายชื่อขนาดใหญ่วางตั้งเหนือไว้บนขอบประตูเบื้องบน เขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณระบุว่า เฉี่ยนเก้อลากุง แปลว่า “ตำหนักจันทรา” “ชิงเชียง! ชิงเชียงจ๋า” เสียงทุ้มละมุนกระซิบแผ่วเพรียกหาเจ้าของนามดังกล่าว ใบหน้าละมุนสวยคมเซ็กซี่รับกับผมสีดำขลับขึ้นเป็นมันเงางดงามประดุจดั่งเช่นชาวเอเชียหากแต่มีเลือดผสมสองชาติคือไทยและจีน ดวงหน้าเริ่มส่ายไปมาเมื่อได้ยินเสียงเพรียกหานั้นราวกับว่าเสียงดังกล่าวอยู่แนบชิดริมหูของเธอก็ว่าได้ “จ๋า!” เสียงหวานตอบเสียงเพรียกหาปริศนานั้นกลับไปทั้งๆ ที่กำลังหลับสนิท “ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” เสียงเพรียกหานั้นยังคงกล่าวกับเธอ
แคว้นฉิน ณ เมืองหลวงเสียนหยาง ตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุง (ตำหนักจันทรา) ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ภายในพระราชวังหลวงกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนเวรยาม ทหารรักษาการณ์ผลัดใหม่ต่างเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนเวรยามเพื่อคอยถวายอารักขา เจ้าผู้ครองแคว้นและเชื้อพระวงศ์ซึ่งประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงเมืองเสียนหยาง ทหารยามต่างทยอยแยกย้ายไปตามแต่ละตำหนักทั้งด้านนอกและด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นรัญจวนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุงหรือตำหนักจันทรา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายรอง พระนาม ฉินเสวี้ยนกง โอรสองค์ที่สองของฉินมู่กงซึ่งประสูติจากเหยี่ยนฮองเฮา ในยามนี้ทั่วพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นกำลังส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วบริเวณ ประตูพระตำหนักปิดสนิทด้วยเวลานี้คือยามวิกาล ภายในห้องพระบรรทม องค์ชายรองซึ่งมีพระชันษาก้าวเข้าสู่ปีที่ยี่สิบ กำลังบรรทมอยู่ภายในตำหนักดังกล่าว “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” กระแสลมอ่อนๆ พัดพลิ้วไหวไปมาจนเหล่าดอกโบตั๋นเอนไหวลู่ลม และเสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผาถูกแขวนไว้ตรงหน้าพระตำหนักเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมดังก้องกังวานอยู่เป็น