หกเดือนผ่านไป
ร่างระหงกำลังหลับสนิทท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและอากาศอันหนาวเหน็บ ด้วยภายนอกปรากฏหิมะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั่วบริเวณมีแต่สีขาวโพลนดาษดื่นเต็มไปหมด ภายในห้องนอนมีเครื่องทำความร้อนเพื่อเพิ่มไออุ่นผ่อนคลายความหนาวเหน็บลงไปได้มากเลยทีเดียว จึงทำให้สาวสวยคนงามหลับสนิทอย่างมีความสุข และเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน
ในฝันนั้นร่างระหงกำลังก้าวเดินอยู่ในท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมโรยรื่นส่งกลิ่นรัญจวนอยู่ตลอดเวลา มือเรียวสวยสัมผัสดอกตูมของดอกไม้งามตรงหน้าด้วยความชื่นชม “หอมจัง!” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “กลิ่นหอมของดอกไม้ใด ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นกายของเจ้าแม้แต่น้อยชิงเชียง” เสียงทุ้มกังวานแทรกดังขึ้น ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กาย ทว่ากลับมิปรากฏผู้ใดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อมองหาเท่าไรก็ไม่พบต้นตอของเสียง “แปลกจังเลย... ได้ยินแต่เสียงแต่ทำไมไม่เห็นตัวคนนะ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำ ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูขนาดใหญ่ ศิลปะการออกแบบอยู่ในยุคสมัยโบราณแลดูเหมือนที่พักอาศัยที่มักเห็นในหนังและตามซีรีส์จีนที่เคยดูผ่านทางทีวี เหนือประตูมีป้ายชื่อขนาดใหญ่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งนั้นคือสถานที่ใด “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผากระทบเข้าหากันดังก้องกังวานอยู่ชายระเบียงเมื่อสัมผัสกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดมาผสมกับกลิ่นหอมรัญจวนของดอกไม้หลากสีที่ขึ้นอยู่ดาษดื่นโดยรอบ ใบหน้าสวยแหงนหน้ามองป้ายชื่อขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงเหนือขอบประตูพร้อมเอ่ยขึ้น “ตำหนักจันทรา” เสียงหวานอ่านป้ายชื่อดังกล่าวออกมาเบาๆ “ชื่อแบบนี้เป็นที่พักระดับเชื้อพระวงศ์อย่างนั้นเหรอ... แล้วเป็นของใครกันนะ” เธอส่งเสียงพึมพำด้วยความสงสัยพลางยืนเอามือไพล่หลังเอียงคอไปมาพร้อมมองป้ายชื่อตำหนักตรงหน้ากำลังครุ่นคิดตามว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของใครกันหนอ ทันใดนั้นเอง “ตำหนักของข้าเอง เจ้าลืมแล้วอย่างนั้นเหรอว่าที่นี่คือตำหนักของข้าและเจ้า” เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นอยู่ด้านหลังของเธอ “เฮือก!” ร่างระหงสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อท่อนแขนแข็งแกร่งสอดเข้ารวบเอวคอดกิ่วทางด้านหลังของเธอพร้อมดึงร่างบางแนบชิดติดเรือนกายใหญ่ของเขา พลางซุกไซ้ใบหน้าลงบนลำคอขาวผ่องด้วยความโหยหาและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ ท่ามกลางอาการตกใจของสาวเจ้า “ปล่อยฉันนะ! คุณเป็นใคร” หญิงสาวเอ่ยพร้อมพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกกกอดแบบประชิดถึงเนื้อถึงตัวตัวเช่นนี้โดยที่เธอไม่ทันได้ระวัง“ชู่ววววว! ข้าเองชิงเชียง” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของสาวเจ้าและนั่นทำให้ร่างระหงหยุดชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยบอกกับเธอ
“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน” เสียงทุ้มกังวานยังเพียรเฝ้าบอกอยู่เช่นนั้น และนั่นทำให้หญิงสาวเกิดอาการประหม่าทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น “อะ... เอ่อ... ปล่อยเถอะนะคะ กอดเอาไว้แบบนี้รู้สึกอึดอัด แล้วที่นี่คือตำหนักอยู่ส่วนไหนของวังอะไรอย่างนั้นเหรอคะ” เธอบอกกับคนร่างใหญ่ที่กำลังกกกอดด้วยแรงเสน่หาอยู่ในขณะนี้ พร้อมถามในสิ่งที่กำลังสงสัย “เจ้าอยู่ในตำหนักจันทราของข้า ที่ซึ่งเจ้ากำลังยืนอยู่ในเวลานี้คือพระราชวังเสียนหยางแห่งแคว้นฉิน” “หา!” เสียงหวานอุทานออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ยังมิทันจะกล่าวสิ่งใดเสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของเธออีกครา “ชิงเชียงจ๋า...” เสียงนุ่มเรียกชื่อของเธอพร้อมประทับริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนแก้มนวลทันใด “เฮือกกกก!!!” ร่างระหงสะดุ้งจนสุดตัวจนหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ บริเวณ ร่างงามค่อยๆ ลุกจากที่นอนขึ้น มาช้าๆ เมื่อล่วงรู้ว่าอยู่ในห้องนอนของตัวเอง มือเรียวสวยยกขึ้นลูบไล้แก้มนวลของเธอไปมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเขินอาย “คนบ้า! คราวนี้แอบหอมแก้มกันทางด้านหลังกันเลยเหรอ ขโมยหอมในฝันแบบนี้ก็มีด้วย อ๊ายยยย” หญิงสาวรู้สึกขวยเขินอย่างบอกไม่ถูก พลางซุกใบหน้าลงบนหมอนหนุนเมื่อถูกบุรุษที่อยู่ในความฝันแอบหอมแก้มโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “ใจเต้นระรัวเลย อย่าทำแบบนี้บ่อยนะ หัวใจจะวาย หน้าก็ไม่เคยเห็นสักที ได้ยินแต่เสียง นี่ฉันเป็นอะไรไป ทำไมถึงรู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ด้วยนะ” รินรณีย์รำพึงรำพัน ใบหน้ายังคงซุกอยู่กับหมอนหนุนบิดไปบิดมาอยู่เช่นนั้นกับเตียงนอน แต่แล้วเหมือนสาวเจ้าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้างามรีบผละออกจากหมอนหนุนเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะมองออกไปทางหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้มและอึมครึม สายตามองไปทางนาฬิกาที่ตั้งอยู่โต๊ะข้างเตียงทันที “หา! เจ็ดโมงแล้วเหรอ! ตายแล้วฉัน! ไปทำงานสายแล้ว!!!” คนงามแผดเสียงก้องออกมาทันใด ร่างระหงกระโดดจากเตียงนอนวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ณ บริษัท John Pawson “อะไรนะคะ! ต้องบินไปที่ประเทศจีนอย่างนั้นเหรอ” ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงติดๆ กัน ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นและก้มลงอ่านเอกสารที่อยู่ในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อบริษัทชั้นนำทางด้านการออกแบบของกรุงลอนดอน ซึ่งเธอเพิ่งเข้าทำงานเป็นพนักงานฝึกหัดหลังจากเรียนจบปริญญาตรีได้เพียงไม่นาน กำลังแจ้งข่าวให้หญิงสาวบินไปสมทบกับทีมงานทางประเทศจีน “ถูกต้องแล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ท่าทางคุณจะตกใจก็ไม่ใช่จะดีใจก็ไม่เชิง” หัวหน้างานวัยกลางคนกล่าวกับเธอด้วยความแปลกใจ หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันใดเมื่อได้ยินหัวหน้างานของเธอกล่าวออกมาเช่นนั้น มือเรียวค่อยๆ เก็บเอกสารที่อยู่ในมือไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว “เรนี่ดีใจต่างหากล่ะคะที่ได้ไปประเทศจีน อาการก็เลยออกมาแบบนั้น แต่ที่หัวหน้าเห็นอาการตกใจก็เพราะไม่คิดว่า พนักงานใหม่แถมยังฝึกหัดอยู่ด้วยและทำงานยังไม่ถึงสามเดือนจะได้รับโอกาสให้ได้ทำงานสำคัญๆ แบบนั้นต่างหากล่ะคะ” “อ่อ...” เสียงของหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษลากเสียงยาวเมื่อได้ยินเธอกล่าว พร้อมพยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทีมงานก็ใช้เวลาพอสมควรที่จะต้องคัดเลือกบุคลากรซึ่งมีความรู้ความสามารถกับโปรเจกต์งานชิ้นนี้ แม้ว่าอายุงานของคุณจะเพิ่งเริ่มต้นแต่คุณมีพรสวรรค์ทางด้านการออกแบบประยุกต์ผสมผสาน ซึ่งสอดคล้องกับโจทย์ใหม่ที่ทางการจีนเพิ่งมอบหมายให้บริษัทของเราทำ” หัวหน้างานวัยกลางคนกล่าวพร้อมมองใบหน้าสวยคมตรงหน้าก่อนจะเอ่ยสำทับ “และที่สำคัญคุณก็สามารถพูด อ่าน เขียนภาษาทางการของประเทศจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งช่วยทีมงานทางนั้นได้มากเลยทีเดียว ซึ่งโปรเจกต์งานนี้จะทดสอบความสามารถของคุณโดยตรงและทำให้การเรียนในระดับปริญญาโทที่ได้รับทุนจากบริษัทไป เรียนสำเร็จเร็วกว่ากำหนดอีกด้วยนะ” “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะถามกลับไป “หัวหน้าบอกว่าโจทย์ใหม่ของทางการจีนที่เพิ่งมอบหมายให้บริษัททำคืออะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ หัวหน้างานวัยกลางคนยกมือหนากระดกแว่นสายตาของตนเองขึ้นลง พลางมองใบหน้าสวยคมลูกครึ่งไทยจีนตรงหน้าเขาพร้อมเอ่ยขึ้น “งานนี้คือการออกแบบสร้างพระราชวังโบราณ ที่เมืองซีอานในสมัยโบราณเรียกกว่าเมืองเสียนหยาง นั่นคือโจทย์ใหม่ล่าสุดที่บริษัทของเราได้รับมา” สิ้นเสียงกล่าวสาวน้อยคนงามนั่งนิ่งไปโดยพลัน ภาพในความฝันถึงพระราชวังโบราณที่เธอเห็นจากในฝันมาตั้งแต่เก้าขวบจนถึงวันนี้เข้าปีที่สิบสองแล้วเริ่มผุดขึ้นมาทันที คิ้วเรียวสวยค่อยๆ ขมวดเข้าหากันพร้อมเอ่ยขึ้น “พระราชวังโบราณของจักรพรรดิจิ๋นซีใช่ไหมคะ” เธอถามกลับไปเพื่อความแน่ใจ “ก็ไม่เชิงซะทีเดียว” หัวหน้าของเจ้าหล่อนตอบกลับมา “ก็ไม่เชิงซะทีเดียวอย่างนั้นเหรอคะ... หมายความว่ายังไงเรนี่ไม่เข้าใจ พระราชวังโบราณในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้สถาปัตยกรรมการออกแบบนี้เลย ขนาดพระราชวังต้าหมิงกงของราชวงศ์ถัง ก็จำลองแบบมาจากการวาดรูปของจิตรกรเอกในสมัยโบราณที่ขุดค้นพบ นี่มันโจทย์ที่เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะคะหัวหน้า" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สูงวัยกว่าพร้อมเอ่ยตอบกลับไป “ก็นี่แหละ...ทีมงานจึงต้องคัดเลือกคนที่มีความรู้ทางด้านประวัติ-ศาสตร์และศิลปะประยุกต์ในการออกแบบผสมผสานส่งไปทำงาน และตัวคุณมีทุกอย่างที่ตอบโจทย์ของทางการจีน” คำกล่าวของหัวหน้างานทำให้หญิงสาวนั่งนิ่งงันไปเลยทีเดียว “เรนี่ชอบอ่านหนังสือและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นวิชาโทก็เลยพอทราบบ้างค่ะ แต่ก็ยังต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าเราออกแบบจำลองพระราชวังโบราณโดยไม่มีข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์เป็นหลักฐานการยืนยันและกล่าวอ้างในการทำงาน โปรเจกต์นี้จะไม่มีทางผ่านกับทางการจีนเลยนะคะ เท่าที่ทราบมายังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับโครงสร้างหรือแม้แต่ภาพวาดของพระราชวังโบราณนี้เลย” หญิงสาวรำพึงรำพันพร้อมครุ่นคิดตาม “ที่ผมบอกกับคุณว่าก็ไม่เชิงซะทีเดียว ก็เพราะว่าทางทีมงานได้รับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งมีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นพระราชวังโบราณในอดีตกาล แต่เป็นยุคก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้จะรวบรวมแผ่นดินจีน เห็นข้อมูลบอกว่าอาจจะเป็นที่พำนักของเจ้าผู้ครองแคว้นรัฐฉินในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เท่ากับว่าทางการจีนได้ค้นพบหลักฐานเค้าโครงพระราชวังโบราณที่เก่าแก่กว่ายุคจิ๋นซี” “โอโห!” หญิงสาวส่งเสียงอยู่ในลำคอ ร่างงามนั่งนิ่งไปชั่วขณะ เพียงครู่ใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น “เรนี่รู้สึกตื่นเต้นและดีใจจังเลยค่ะที่มีส่วนร่วมในการทำงานครั้งนี้ แล้วมีกำหนดเดินทางไปประเทศจีนเมื่อไรคะหัวหน้า” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ทันทีที่คุณพร้อม” เสียงของหัวหน้างานตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิดก่อนจะกล่าวสำทับตามติดมา “ทีมงานกำลังรอคุณอยู่ เพราะล่ามที่เราจ้างมาไม่รู้เป็นอะไร ทำงานไม่ทนเอาเสียเลยแต่ละคนทำได้ไม่พออาทิตย์จู่ๆ ก็หายหน้าไม่มาทำงานเสียดื้อๆ จะว่าไปแล้วไม่ใช่อุปนิสัยของชาวจีนแม้แต่น้อยเท่าที่ผมรู้จักมา ชาวจีนส่วนใหญ่เป็นคนมีความรับผิดชอบและทำงานอดทนแต่ตอนนี้ทีมงานกลับต้องปวดหัว และนี่คือเหตุผลที่คุณต้องเดินทางไปทันทีที่พร้อม ตอนนี้การทำงานล่าช้ามากยังไม่สามารถออกแบบหรือจำลองพระราชวังโบราณได้เลย” ใบหน้าสวยพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ฟังรายละเอียดจากหัวหน้างาน “ถ้าเช่นนั้นเรนี่พร้อมเดินทางทันทีค่ะหัวหน้า ขอเวลาเก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนก็ออกเดินทางได้พรุ่งนี้เลยค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป คำกล่าวของหญิงสาวทำให้หัวหน้างานของเธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อลูกน้องสาวของเขาใช้เวลาเตรียมตัวเดินทางรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ “ผมตัดสินใจเลือกไม่ผิดจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลาเตรียมตัวพอสมควรเป็นอาทิตย์เลยกระมัง แต่คุณกลับตรงกันข้าม ถ้าเช่นนั้นก็ดี ผมจะแจ้งให้ทางฝ่ายธุรการจองตั๋วเครื่องบินและจองห้องพักในโรงแรมที่เมืองซีอานให้กับคุณ” “เรื่องที่พักไม่ต้องหรอกค่ะหัวหน้า แค่จองตั๋วเครื่องบินก็พอ” เสียงหวานตอบกลับไป “อ้าวทำไมล่ะ” หัวหน้างานของเธอถามกลับไปด้วยความสงสัย “คุณพ่อของเรนี่มีกิจการที่ประเทศจีน ท่านมีบ้านพักอยู่หลายแห่ง และมีอยู่ที่เมืองซีอานด้วย ถ้าจำไม่ผิดนะคะดังนั้นเรื่องที่พักไม่มีปัญหา จัดการแค่ตั๋วเครื่องบินก็พอแล้วค่ะหัวหน้า” “โอเคเรนี่... เดี๋ยวตั๋วเครื่องบินจะเอาไปให้ที่โต๊ะทำงานของคุณก่อนเลิกงานวันนี้ ขอให้คุณเดินทางด้วยความปลอดภัยและสนุกกับการทำงานของเรา ยินดีมากนะที่ได้คุณร่วมงาน” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เรนี่ต้องขอบคุณมากค่ะที่ไว้ใจและมอบหมายงานสำคัญระดับใหญ่แบบนี้ให้รับผิดชอบ สัญญาค่ะว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง” หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะก้าวออกมาจากห้องทำงานดังกล่าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้านนอก “นี่เราฝันไปหรือเปล่า ได้มีโอกาสออกแบบโปรเจกต์พระราชวังโบราณนครเสียนหยางในอดีตกาล” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพลางครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อเช้าของเธอ “แต่ว่าตำหนักจันทราที่เราฝันเห็นบ่อยๆ ก็อยู่ในพระราชวังเสียนหยางของแค้วนฉิน เสียงของเขาคนนั้นบอกกับเราในความฝัน จะเป็นไปได้เหรอว่าที่เราเห็นในฝันนั้น เป็นศิลปะการออกแบบของคนโบราณในยุคสามพันกว่าปีล่วงเลยมาแล้ว... โอ้โห เล่าให้ใครฟังจะมีคนเชื่อเราบ้างไหมนะ” ริณรณีย์รำพึงรำพัน ร่างระหงค่อยๆ ก้าวเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงความฝันของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะรีบสลัดออกไปอย่างรวดเร็วเตรียมตัวเก็บเอกสารที่จำเป็นในการเดินทางไปประเทศจีน 24ยุคปัจจุบันพระตำหนักจันทรา“กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมส่งเสียงก้องกังวานไพเราะเสนาะหูเป็นยิ่งนักดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วบริเวณ จนเข้ามาถึงห้องนอนใหญ่ของฟ่านชิงเชียง ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงและคุณวิลาสินีภรรยาชาวไทยสองสามีภรรยาย้ายมาอยู่ในห้องนอนของลูกสาวเพียงคนเดียวหลังจากที่ได้เห็นการหายตัวไปอย่างน่าอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาคนทั้งคู่ รวมไปถึงอู๋หงฮุยเพื่อนสนิทของท่านเจ้าสัวด้วยเช่นกันนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองได้หายไปในที่ไหนสักแห่งในยุคอดีตย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนของแผ่นดินจีนในสมัยโบราณท่านเจ้าสัวพยายามค้นหาและศึกษาตำราวิชาการมากมายเพื่อให้ได้ล่วงรู้ที่มาที่ไป ของเส้นคู่ขนานที่เชื่อมต่อกับยุคอดีตและยุคปัจจุบัน หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะได้พบหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวอีกสักครั้ง ร่างใหญ่ของท่านเจ้าสัวกำลังนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยู่ที่โต๊ะทำงานของชิงเชียง โดยมีคุณวิลาสินีนั่งถั
ห้องทรงพระอักษรรายงานมากมายจากขุนนางน้อยใหญ่วางไว้เต็มโต๊ะทรงพระอักษร ฉินอ๋องรูปงามทรงอ่านรายงานเหล่านั้นทุกตัวอักษรและพิจารณาไปด้วยพร้อมกัน ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นเมื่อขันทีคนสนิทนำกล่องไม้เครื่องประดับมาวางไว้ตรงหน้าพระพักตร์“เจ้าเอาอะไรมาให้ข้ารึ!” รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย“หยกจันทราของฝ่าบาทที่ฟ่านอ๋องส่งกลับคืนมา และกำไลหยกของแคว้นฟ่านที่จะต้องส่งกลับคืนไปทั้งสองสิ่งอยู่ภายในกล่องไม้เครื่องประดับนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ รอเพียงพระราชสาสน์ที่จะส่งไปพร้อมกับคืนกำไลหยกให้แก่องค์หญิงชิงเชียงพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูลภายในหัวใจเจ้าผู้ครองแคว้นฉินในขณะนี้สะดุดกับพระนามองค์หญิงจากแคว้นฟ่านขึ้นมาทันที“ชิงเชียง!” รับสั่งสุรเสียงเบา ก่อนจะปรากฏภาพเลือนรางขึ้น มาในความทรงจำ สตรีร่างงามระหง ผมดำยาวสลวยจนถึงเอวหากแต่ใบหน้ากลับเลือนราง พร้อมเสียงเรียกในมโนจิต“ชิงเชียงจ๋า!” ในภวังค์เรียกโฉมงามเช่นนั้น“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเฮ่าหรานเรียกเจ
หนึ่งปีผ่านไปแคว้นฟ่านพระราชวังมังกรหิมะ“แปะ!” หยาดน้ำตาร่วงรินตกลงสู่พื้นด้วยความเศร้าทุกข์ระทมเป็นยิ่งนักใบหน้างามแสนสวยของชิงเชียง ซึ่งบัดนี้คือพระราชธิดาของฟ่านซานกงหรือฟ่านอ๋องและอู๋หยู่เหยี่ยนหรืออู๋ฮองเฮา ทั้งสองพระองค์แท้จริงแล้วคืออดีตชาติของเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงและคุณวิลาสินี ภรรยาชาวไทยนั่นเอง แม้ว่าหญิงสาวจะพลัดพรากบิดาและมารดาในยุคปัจจุบันย้อนกลับมาอยู่ในยุคอดีตก็ตามทว่าในยุคอดีตแห่งนี้เธอได้พบกับบิดาและมารดาอีกครั้งในชาติอดีตของทั้งสองนั่นเอง เรื่องเล่าและตำนานต่างๆ ที่ตระกูลฟ่านเล่าขานกันต่อๆ มา แท้จริงแล้วก็คือเรื่องของเธอนั่นเอง ชิงเชียงกลับมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในแคว้นฟ่านกับบิดาและมารดาในอดีตชาติ ณ พระราชวังมังกรหิมะ อันห่างไกลจากแคว้นอื่นๆ มีเอกภาพและการปกครองที่มีประสิทธิภาพนับตั้งแต่ชิงเชียงได้หวนคืนกลับมา เธอใช้วิชาความรู้ทั้งหมดในยุคปัจจุบันพัฒนาแคว้นที่ห่างไกลเจริญขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งปลูกสร้างมากมายเธอก็ใช้ความรู้ในยุคปัจจุบันมาปรับใช้ ตำหนักน้ำแข็งเป็นผลงานชิ้
ท่ามกลางสายพระเนตรของฉีอ๋อง ยังทรงยืนหาได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ความลำพองคิดว่าตนมีเครื่องมือทำลายล้างผู้อื่นจึงคิดว่ามีชัยเหนือผู้ใดทั่วหล้า ขวดยาพิษหมื่นบุปผาถูกเก็บเข้าไปไว้ในผ้าคาดเอวของพระองค์ ก่อนจะบังคับม้าที่ทรงประทับอยู่ตรงไปที่เจ้าผู้ครองแคว้นฉิน หมายมุ่งเอาชีวิตเพื่อยึดครองแคว้นอันยิ่งใหญ่และหญิงงามซึ่งเป็นรักแรกพบของพระองค์ให้ตกมาเป็นของตนให้จงได้ในขณะเดียวกันร่างระหงของชิงเชียงอยู่บนหลังม้ากับเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน ทั้งสองต่างช่วยกันไล่ฟาดฟันกองทหารของแคว้นฉีและแคว้นหานที่กำลังดาหน้าเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ โดยมีเยี่ยฉางอยู่บนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง คอยระแวดระวังภัยถวายอารักขาให้กับฉินอ๋องและองค์หญิงของตนทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากกำลังวิ่งตรงมาจากพรมแดนอันเป็นเขตรอยต่อของแคว้นเหยี่ยนและแคว้นฟ่าน ทั้งสองแคว้นส่งกองกำลังทหารมาช่วยเจ้าผู้ครองแคว้นฉินและช่วยพระราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวของฟ่านซ่านกง“ทหารจากแคว้นเหยี่ยนและแคว้นฟ่านมาช่วยแล้วฝ่าบาท!” เยี่ยฉางตะโกนบอกฉินอ๋องด้วยความดีใจพระพักตร์หล่อเหลาแย้มพระโอษฐ์กว้างด้ว
ณ จุดพรมแดนแคว้นฉี ห้าชีวิตของสี่บุรุษและหนึ่งสตรีกำลังเดินเข้าเขตพรมแดนแคว้นเหยี่ยนเพื่อไปให้ถึงถ้ำหิมะ ซึ่งถ้ำดังกล่าวอยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นฟ่าน ด้วยเช่นกันครึ่งหนึ่ง จึงเป็นจุดนัดพบของทั้งสองแคว้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งกองทหารจากแคว้นฟ่านและกองทหารองครักษ์จากแคว้นฉินของฉินเสวี้ยนกง กำลังรอคอยเจ้าผู้ครองแคว้นและองค์หญิงชิงเชียงจากแคว้นฟ่าน ซึ่งฟ่านซานกงหรือฟ่านอ๋องทรงรอคอยพระราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับองค์รัชทายาท อีกเพียงสี่ชั่วยามก็จะเข้าสู่พรมแดนของแคว้นเหยี่ยน ซึ่งจะทำให้กองทหารของแคว้นฉีติดตามได้ยากลำบากมากขึ้น เพราะทันทีที่พ้นเขาสูงเบื้องหน้าก็จะต้องพบกับหิมะและน้ำแข็งไปทั่วทุกพื้นที่เลยเดียว หญิงสาวในชุดคลุมอย่างมิดชิดทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกกำลังเดินฝ่าความหนาวเหน็บ ท่ามกลางหิมะที่เริ่มโปรยปราย ใบหน้างามเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูและริมฝีปากอวบอิ่มแดงแจ๋ เพราะถูกความเย็นขับออกมาจนคนตัวใหญ่ข้างกายต้องคอยหันกลับมามองใบหน้างามนั้นอยู่ตลอดเวลาจนต้อง
ภายในคุกหลวง ยามสาม คบไฟพวยพุ่งอยู่ภายในคุกหลวง ถูกมือปริศนาพันด้วยผ้าสีดำจนมิดชิดกำลังโรยผงสีขาวลงบนเปลวเพลิงไปทุกจุดส่งกลิ่นและควันขาวตลบอบอวลไปทั่ว เพียงครู่บรรดาทหารหลวงที่ยืนเฝ้ายามตามจุดที่ได้รับมอบหมายค่อยๆ ยืนโงนเงนไปมาก่อนจะทรุดฮวบลงไปกับพื้นทันที ร่างสันทัดในชุดสีดำทะมึนปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิดด้วยผ้าสีดำสนิทตลอดทั้งศีรษะและใบหน้า เหลือเพียงดวงตาเอาไว้เท่านั้น ครั้นเห็นทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่ในคุกต่างพากันหมดสติเพราะผงหลงลืมอดีตราชองครักษ์ของแคว้นฟ่านในชุดสีดำทะมึนดังกล่าวปรากฏตัวมาพร้อมกับราชองครักษ์ของแคว้นฉินอีกสองนาย ซึ่งเพิ่งหนีรอดไปเมื่อวานได้หวนกลับมาสืบข่าวคราวเจ้าผู้ครองแคว้นของตน จนล่วงรู้แผนการใหม่ล่าสุดขององค์หญิงชิงเชียง ราชองครักษ์ทั้งสามปรากฏตัวขึ้นภายในห้องคุมขังของฉินอ๋องรูปงาม ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปปลดโซ่ตรวนที่ล่ามพระวรกายอยู่ในขณะนั้นให้เป็นอิสระ &