หกเดือนผ่านไป
ร่างระหงกำลังหลับสนิทท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและอากาศอันหนาวเหน็บ ด้วยภายนอกปรากฏหิมะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั่วบริเวณมีแต่สีขาวโพลนดาษดื่นเต็มไปหมด ภายในห้องนอนมีเครื่องทำความร้อนเพื่อเพิ่มไออุ่นผ่อนคลายความหนาวเหน็บลงไปได้มากเลยทีเดียว จึงทำให้สาวสวยคนงามหลับสนิทอย่างมีความสุข และเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน
ในฝันนั้นร่างระหงกำลังก้าวเดินอยู่ในท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมโรยรื่นส่งกลิ่นรัญจวนอยู่ตลอดเวลา มือเรียวสวยสัมผัสดอกตูมของดอกไม้งามตรงหน้าด้วยความชื่นชม “หอมจัง!” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “กลิ่นหอมของดอกไม้ใด ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นกายของเจ้าแม้แต่น้อยชิงเชียง” เสียงทุ้มกังวานแทรกดังขึ้น ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กาย ทว่ากลับมิปรากฏผู้ใดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อมองหาเท่าไรก็ไม่พบต้นตอของเสียง “แปลกจังเลย... ได้ยินแต่เสียงแต่ทำไมไม่เห็นตัวคนนะ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำ ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูขนาดใหญ่ ศิลปะการออกแบบอยู่ในยุคสมัยโบราณแลดูเหมือนที่พักอาศัยที่มักเห็นในหนังและตามซีรีส์จีนที่เคยดูผ่านทางทีวี เหนือประตูมีป้ายชื่อขนาดใหญ่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งนั้นคือสถานที่ใด “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผากระทบเข้าหากันดังก้องกังวานอยู่ชายระเบียงเมื่อสัมผัสกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดมาผสมกับกลิ่นหอมรัญจวนของดอกไม้หลากสีที่ขึ้นอยู่ดาษดื่นโดยรอบ ใบหน้าสวยแหงนหน้ามองป้ายชื่อขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงเหนือขอบประตูพร้อมเอ่ยขึ้น “ตำหนักจันทรา” เสียงหวานอ่านป้ายชื่อดังกล่าวออกมาเบาๆ “ชื่อแบบนี้เป็นที่พักระดับเชื้อพระวงศ์อย่างนั้นเหรอ... แล้วเป็นของใครกันนะ” เธอส่งเสียงพึมพำด้วยความสงสัยพลางยืนเอามือไพล่หลังเอียงคอไปมาพร้อมมองป้ายชื่อตำหนักตรงหน้ากำลังครุ่นคิดตามว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของใครกันหนอ ทันใดนั้นเอง “ตำหนักของข้าเอง เจ้าลืมแล้วอย่างนั้นเหรอว่าที่นี่คือตำหนักของข้าและเจ้า” เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นอยู่ด้านหลังของเธอ “เฮือก!” ร่างระหงสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อท่อนแขนแข็งแกร่งสอดเข้ารวบเอวคอดกิ่วทางด้านหลังของเธอพร้อมดึงร่างบางแนบชิดติดเรือนกายใหญ่ของเขา พลางซุกไซ้ใบหน้าลงบนลำคอขาวผ่องด้วยความโหยหาและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ ท่ามกลางอาการตกใจของสาวเจ้า “ปล่อยฉันนะ! คุณเป็นใคร” หญิงสาวเอ่ยพร้อมพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกกกอดแบบประชิดถึงเนื้อถึงตัวตัวเช่นนี้โดยที่เธอไม่ทันได้ระวัง“ชู่ววววว! ข้าเองชิงเชียง” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของสาวเจ้าและนั่นทำให้ร่างระหงหยุดชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยบอกกับเธอ
“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน” เสียงทุ้มกังวานยังเพียรเฝ้าบอกอยู่เช่นนั้น และนั่นทำให้หญิงสาวเกิดอาการประหม่าทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น “อะ... เอ่อ... ปล่อยเถอะนะคะ กอดเอาไว้แบบนี้รู้สึกอึดอัด แล้วที่นี่คือตำหนักอยู่ส่วนไหนของวังอะไรอย่างนั้นเหรอคะ” เธอบอกกับคนร่างใหญ่ที่กำลังกกกอดด้วยแรงเสน่หาอยู่ในขณะนี้ พร้อมถามในสิ่งที่กำลังสงสัย “เจ้าอยู่ในตำหนักจันทราของข้า ที่ซึ่งเจ้ากำลังยืนอยู่ในเวลานี้คือพระราชวังเสียนหยางแห่งแคว้นฉิน” “หา!” เสียงหวานอุทานออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ยังมิทันจะกล่าวสิ่งใดเสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของเธออีกครา “ชิงเชียงจ๋า...” เสียงนุ่มเรียกชื่อของเธอพร้อมประทับริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนแก้มนวลทันใด “เฮือกกกก!!!” ร่างระหงสะดุ้งจนสุดตัวจนหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ บริเวณ ร่างงามค่อยๆ ลุกจากที่นอนขึ้น มาช้าๆ เมื่อล่วงรู้ว่าอยู่ในห้องนอนของตัวเอง มือเรียวสวยยกขึ้นลูบไล้แก้มนวลของเธอไปมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเขินอาย “คนบ้า! คราวนี้แอบหอมแก้มกันทางด้านหลังกันเลยเหรอ ขโมยหอมในฝันแบบนี้ก็มีด้วย อ๊ายยยย” หญิงสาวรู้สึกขวยเขินอย่างบอกไม่ถูก พลางซุกใบหน้าลงบนหมอนหนุนเมื่อถูกบุรุษที่อยู่ในความฝันแอบหอมแก้มโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “ใจเต้นระรัวเลย อย่าทำแบบนี้บ่อยนะ หัวใจจะวาย หน้าก็ไม่เคยเห็นสักที ได้ยินแต่เสียง นี่ฉันเป็นอะไรไป ทำไมถึงรู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ด้วยนะ” รินรณีย์รำพึงรำพัน ใบหน้ายังคงซุกอยู่กับหมอนหนุนบิดไปบิดมาอยู่เช่นนั้นกับเตียงนอน แต่แล้วเหมือนสาวเจ้าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้างามรีบผละออกจากหมอนหนุนเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะมองออกไปทางหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้มและอึมครึม สายตามองไปทางนาฬิกาที่ตั้งอยู่โต๊ะข้างเตียงทันที “หา! เจ็ดโมงแล้วเหรอ! ตายแล้วฉัน! ไปทำงานสายแล้ว!!!” คนงามแผดเสียงก้องออกมาทันใด ร่างระหงกระโดดจากเตียงนอนวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ณ บริษัท John Pawson “อะไรนะคะ! ต้องบินไปที่ประเทศจีนอย่างนั้นเหรอ” ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงติดๆ กัน ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นและก้มลงอ่านเอกสารที่อยู่ในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อบริษัทชั้นนำทางด้านการออกแบบของกรุงลอนดอน ซึ่งเธอเพิ่งเข้าทำงานเป็นพนักงานฝึกหัดหลังจากเรียนจบปริญญาตรีได้เพียงไม่นาน กำลังแจ้งข่าวให้หญิงสาวบินไปสมทบกับทีมงานทางประเทศจีน “ถูกต้องแล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ท่าทางคุณจะตกใจก็ไม่ใช่จะดีใจก็ไม่เชิง” หัวหน้างานวัยกลางคนกล่าวกับเธอด้วยความแปลกใจ หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันใดเมื่อได้ยินหัวหน้างานของเธอกล่าวออกมาเช่นนั้น มือเรียวค่อยๆ เก็บเอกสารที่อยู่ในมือไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว “เรนี่ดีใจต่างหากล่ะคะที่ได้ไปประเทศจีน อาการก็เลยออกมาแบบนั้น แต่ที่หัวหน้าเห็นอาการตกใจก็เพราะไม่คิดว่า พนักงานใหม่แถมยังฝึกหัดอยู่ด้วยและทำงานยังไม่ถึงสามเดือนจะได้รับโอกาสให้ได้ทำงานสำคัญๆ แบบนั้นต่างหากล่ะคะ” “อ่อ...” เสียงของหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษลากเสียงยาวเมื่อได้ยินเธอกล่าว พร้อมพยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทีมงานก็ใช้เวลาพอสมควรที่จะต้องคัดเลือกบุคลากรซึ่งมีความรู้ความสามารถกับโปรเจกต์งานชิ้นนี้ แม้ว่าอายุงานของคุณจะเพิ่งเริ่มต้นแต่คุณมีพรสวรรค์ทางด้านการออกแบบประยุกต์ผสมผสาน ซึ่งสอดคล้องกับโจทย์ใหม่ที่ทางการจีนเพิ่งมอบหมายให้บริษัทของเราทำ” หัวหน้างานวัยกลางคนกล่าวพร้อมมองใบหน้าสวยคมตรงหน้าก่อนจะเอ่ยสำทับ “และที่สำคัญคุณก็สามารถพูด อ่าน เขียนภาษาทางการของประเทศจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งช่วยทีมงานทางนั้นได้มากเลยทีเดียว ซึ่งโปรเจกต์งานนี้จะทดสอบความสามารถของคุณโดยตรงและทำให้การเรียนในระดับปริญญาโทที่ได้รับทุนจากบริษัทไป เรียนสำเร็จเร็วกว่ากำหนดอีกด้วยนะ” “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะถามกลับไป “หัวหน้าบอกว่าโจทย์ใหม่ของทางการจีนที่เพิ่งมอบหมายให้บริษัททำคืออะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ หัวหน้างานวัยกลางคนยกมือหนากระดกแว่นสายตาของตนเองขึ้นลง พลางมองใบหน้าสวยคมลูกครึ่งไทยจีนตรงหน้าเขาพร้อมเอ่ยขึ้น “งานนี้คือการออกแบบสร้างพระราชวังโบราณ ที่เมืองซีอานในสมัยโบราณเรียกกว่าเมืองเสียนหยาง นั่นคือโจทย์ใหม่ล่าสุดที่บริษัทของเราได้รับมา” สิ้นเสียงกล่าวสาวน้อยคนงามนั่งนิ่งไปโดยพลัน ภาพในความฝันถึงพระราชวังโบราณที่เธอเห็นจากในฝันมาตั้งแต่เก้าขวบจนถึงวันนี้เข้าปีที่สิบสองแล้วเริ่มผุดขึ้นมาทันที คิ้วเรียวสวยค่อยๆ ขมวดเข้าหากันพร้อมเอ่ยขึ้น “พระราชวังโบราณของจักรพรรดิจิ๋นซีใช่ไหมคะ” เธอถามกลับไปเพื่อความแน่ใจ “ก็ไม่เชิงซะทีเดียว” หัวหน้าของเจ้าหล่อนตอบกลับมา “ก็ไม่เชิงซะทีเดียวอย่างนั้นเหรอคะ... หมายความว่ายังไงเรนี่ไม่เข้าใจ พระราชวังโบราณในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้สถาปัตยกรรมการออกแบบนี้เลย ขนาดพระราชวังต้าหมิงกงของราชวงศ์ถัง ก็จำลองแบบมาจากการวาดรูปของจิตรกรเอกในสมัยโบราณที่ขุดค้นพบ นี่มันโจทย์ที่เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะคะหัวหน้า" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สูงวัยกว่าพร้อมเอ่ยตอบกลับไป “ก็นี่แหละ...ทีมงานจึงต้องคัดเลือกคนที่มีความรู้ทางด้านประวัติ-ศาสตร์และศิลปะประยุกต์ในการออกแบบผสมผสานส่งไปทำงาน และตัวคุณมีทุกอย่างที่ตอบโจทย์ของทางการจีน” คำกล่าวของหัวหน้างานทำให้หญิงสาวนั่งนิ่งงันไปเลยทีเดียว “เรนี่ชอบอ่านหนังสือและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นวิชาโทก็เลยพอทราบบ้างค่ะ แต่ก็ยังต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าเราออกแบบจำลองพระราชวังโบราณโดยไม่มีข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์เป็นหลักฐานการยืนยันและกล่าวอ้างในการทำงาน โปรเจกต์นี้จะไม่มีทางผ่านกับทางการจีนเลยนะคะ เท่าที่ทราบมายังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับโครงสร้างหรือแม้แต่ภาพวาดของพระราชวังโบราณนี้เลย” หญิงสาวรำพึงรำพันพร้อมครุ่นคิดตาม “ที่ผมบอกกับคุณว่าก็ไม่เชิงซะทีเดียว ก็เพราะว่าทางทีมงานได้รับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งมีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นพระราชวังโบราณในอดีตกาล แต่เป็นยุคก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้จะรวบรวมแผ่นดินจีน เห็นข้อมูลบอกว่าอาจจะเป็นที่พำนักของเจ้าผู้ครองแคว้นรัฐฉินในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เท่ากับว่าทางการจีนได้ค้นพบหลักฐานเค้าโครงพระราชวังโบราณที่เก่าแก่กว่ายุคจิ๋นซี” “โอโห!” หญิงสาวส่งเสียงอยู่ในลำคอ ร่างงามนั่งนิ่งไปชั่วขณะ เพียงครู่ใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น “เรนี่รู้สึกตื่นเต้นและดีใจจังเลยค่ะที่มีส่วนร่วมในการทำงานครั้งนี้ แล้วมีกำหนดเดินทางไปประเทศจีนเมื่อไรคะหัวหน้า” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ทันทีที่คุณพร้อม” เสียงของหัวหน้างานตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิดก่อนจะกล่าวสำทับตามติดมา “ทีมงานกำลังรอคุณอยู่ เพราะล่ามที่เราจ้างมาไม่รู้เป็นอะไร ทำงานไม่ทนเอาเสียเลยแต่ละคนทำได้ไม่พออาทิตย์จู่ๆ ก็หายหน้าไม่มาทำงานเสียดื้อๆ จะว่าไปแล้วไม่ใช่อุปนิสัยของชาวจีนแม้แต่น้อยเท่าที่ผมรู้จักมา ชาวจีนส่วนใหญ่เป็นคนมีความรับผิดชอบและทำงานอดทนแต่ตอนนี้ทีมงานกลับต้องปวดหัว และนี่คือเหตุผลที่คุณต้องเดินทางไปทันทีที่พร้อม ตอนนี้การทำงานล่าช้ามากยังไม่สามารถออกแบบหรือจำลองพระราชวังโบราณได้เลย” ใบหน้าสวยพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ฟังรายละเอียดจากหัวหน้างาน “ถ้าเช่นนั้นเรนี่พร้อมเดินทางทันทีค่ะหัวหน้า ขอเวลาเก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนก็ออกเดินทางได้พรุ่งนี้เลยค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป คำกล่าวของหญิงสาวทำให้หัวหน้างานของเธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อลูกน้องสาวของเขาใช้เวลาเตรียมตัวเดินทางรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ “ผมตัดสินใจเลือกไม่ผิดจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลาเตรียมตัวพอสมควรเป็นอาทิตย์เลยกระมัง แต่คุณกลับตรงกันข้าม ถ้าเช่นนั้นก็ดี ผมจะแจ้งให้ทางฝ่ายธุรการจองตั๋วเครื่องบินและจองห้องพักในโรงแรมที่เมืองซีอานให้กับคุณ” “เรื่องที่พักไม่ต้องหรอกค่ะหัวหน้า แค่จองตั๋วเครื่องบินก็พอ” เสียงหวานตอบกลับไป “อ้าวทำไมล่ะ” หัวหน้างานของเธอถามกลับไปด้วยความสงสัย “คุณพ่อของเรนี่มีกิจการที่ประเทศจีน ท่านมีบ้านพักอยู่หลายแห่ง และมีอยู่ที่เมืองซีอานด้วย ถ้าจำไม่ผิดนะคะดังนั้นเรื่องที่พักไม่มีปัญหา จัดการแค่ตั๋วเครื่องบินก็พอแล้วค่ะหัวหน้า” “โอเคเรนี่... เดี๋ยวตั๋วเครื่องบินจะเอาไปให้ที่โต๊ะทำงานของคุณก่อนเลิกงานวันนี้ ขอให้คุณเดินทางด้วยความปลอดภัยและสนุกกับการทำงานของเรา ยินดีมากนะที่ได้คุณร่วมงาน” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เรนี่ต้องขอบคุณมากค่ะที่ไว้ใจและมอบหมายงานสำคัญระดับใหญ่แบบนี้ให้รับผิดชอบ สัญญาค่ะว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง” หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะก้าวออกมาจากห้องทำงานดังกล่าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้านนอก “นี่เราฝันไปหรือเปล่า ได้มีโอกาสออกแบบโปรเจกต์พระราชวังโบราณนครเสียนหยางในอดีตกาล” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพลางครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อเช้าของเธอ “แต่ว่าตำหนักจันทราที่เราฝันเห็นบ่อยๆ ก็อยู่ในพระราชวังเสียนหยางของแค้วนฉิน เสียงของเขาคนนั้นบอกกับเราในความฝัน จะเป็นไปได้เหรอว่าที่เราเห็นในฝันนั้น เป็นศิลปะการออกแบบของคนโบราณในยุคสามพันกว่าปีล่วงเลยมาแล้ว... โอ้โห เล่าให้ใครฟังจะมีคนเชื่อเราบ้างไหมนะ” ริณรณีย์รำพึงรำพัน ร่างระหงค่อยๆ ก้าวเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงความฝันของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะรีบสลัดออกไปอย่างรวดเร็วเตรียมตัวเก็บเอกสารที่จำเป็นในการเดินทางไปประเทศจีน 24“ไม่เลยยายหนู มีน้อยมากแต่หนึ่งในนั้นมีตระกูลฟ่าน ของเราที่ยังคงเก็บรักษาของโบราณที่ตกทอดกันมาแต่ครั้งอดีต ในบ้านนี้มีของล้ำค่านับหลายพันปีของตระกูลเก็บรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ยุคก่อนแผ่นดินจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก เพราะตระกูลฟ่านของเราในสมัยอดีตกาลเคยเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่านก่อนจะถูกแคว้นเว่ย ฉี และฉิน ตีเอาแคว้นและแบ่งดินแดนถือครอง” “โอ้โห! นี่ตระกูลของคุณพ่อมีประวัติยาวนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนงามกล่าวออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน ก่อนจะรีบเอ่ยถามกลับไปเมื่อนึกถึงโปรเจกต์งานของเธอ “เอ่อคุณพ่อคะ แล้วศิลปะการสร้างสมัยนั้นเป็นแบบไหน อย่างเช่นหน้าตาพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้หรือพระราชวังโบราณในอดีต มีการเก็บรักษาหลงเหลือเอาไว้ไหมคะ” แม่สาวน้อยถามยาวรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อตอบกลับมา “ไม่มีหรอกยายหนู ถ้าศิลปะโบราณอื่นๆ ก็เข้าไปดูได้ตามมิวเซียม สำหรับซีอานก็ที่สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ถ้าเป็นพระราชวังโบราณแล้วละก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย นอกจากพระราชวังต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็เป็นศิลปะที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ แตกต่างจากศิลปะสมัยก่อนจิ๋นซ
ประเทศจีน มณฑลส่านซี ณ เมืองซีอาน ท่าอากาศยานนานาชาติซีอานเสียนหยาง [1] ร่างงามระหงของริณรณีย์หรือฟ่านชิงเชียง กำลังก้าวเดินออกมาจากบริเวณประตูผู้โดยสารขาออกจากสายการบินที่มาจากต่างประเทศ พร้อมด้วยกระเป๋าลากขนาดย่อม ดวงตาคู่สวยกำลังสอดส่ายสายตาคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ในขณะนั้น “ยายหนู!” เสียงที่คุ้นหูมาตั้งแต่เกิดเรียกเธอจากจุดที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ใบหน้าสวยหันกลับไปยังทิศที่เสียงดังกล่าวเรียกหาเธอทันที พร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “คุณแม่!” หญิงสาวตะโกนร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหาร่างอวบอิ่มที่กำลังยืนรอรับลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว แม่สาวน้อยโผเข้าสวมกอดคุณแม่ของเธอพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการใหญ่ “คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ... คุณแม่ขา” คำหวานออดอ้อนออกมาทันที คุณวิลาสินียิ้มแก้มปริเมื่อลูกสาวสุดที่รักหยอดลูกอ้อนทันทีที่มาถึง “จ๋าลูก... รู้แล้วว่ายายหนูของแม่คิดถึง... แหมอะไรกัน คุยโทรศัพท์แทบจะทุกวันยังจะบ่นคิดถึงกันอยู่อีกเหรอ” “ก็ริณคิดถึงนี่คะ... คิดถึง... คิดถึง... ทุกวันทุกคืนเลย” หญิงสาวพร่ำบอกคิดถึงมารดาไม่ขาดปาก ทันใดนั้นเอง “คิดถึง! ข้าคิดถ
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีตกาล พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงแห่งแคว้นฉิน ทรงยืนทอดพระเนตรดอกโบตั๋นหลากสีมากมายภายในพระตำหนักจันทรา ด้วยพระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสเป็นพิเศษ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเยือนอยู่ตลอดเวลาเมื่อทรงหวนคิดคำนึงถึงความฝันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา กลิ่นหอมละมุนจากแก้มเนื้อนวลยังติดอยู่ที่ปลายพระนาสิกอยู่ตลอด เวลา พระเนตรคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความคิดถึงโฉมงามในหัวใจ “ชิงเชียงจ๋า” สุรเสียงรำพึงออกมาเบาๆ พระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสและพระพักตร์หล่อเหลาที่ปรากฏรอยแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้เฮ่าหรานขันทีผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยถวายการรับใช้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อดไม่ได้ที่จะทูลถามเมื่อสังเกตเห็นองค์ชายรองของตนที่วันนี้ทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใสเป็นยิ่งนักผิดกับทุกวันที่ผ่านมา “วันนี้องค์ชายทรงแลดูพระเกษมสำราญ ผิดกับทุกๆ วันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” คำกราบทูลของขันทีคนสนิท ทำให้พระเนตรที่ปิดลงเมื่อครู่ที่ผ่านมาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ พระเนตรคู่สวยยังคงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา “เจ้าสังเกตข้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งถามโดยมิได้ห
หกเดือนผ่านไป ร่างระหงกำลังหลับสนิทท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและอากาศอันหนาวเหน็บ ด้วยภายนอกปรากฏหิมะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั่วบริเวณมีแต่สีขาวโพลนดาษดื่นเต็มไปหมด ภายในห้องนอนมีเครื่องทำความร้อนเพื่อเพิ่มไออุ่นผ่อนคลายความหนาวเหน็บลงไปได้มากเลยทีเดียว จึงทำให้สาวสวยคนงามหลับสนิทอย่างมีความสุข และเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ในฝันนั้นร่างระหงกำลังก้าวเดินอยู่ในท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมโรยรื่นส่งกลิ่นรัญจวนอยู่ตลอดเวลา มือเรียวสวยสัมผัสดอกตูมของดอกไม้งามตรงหน้าด้วยความชื่นชม “หอมจัง!” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “กลิ่นหอมของดอกไม้ใด ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นกายของเจ้าแม้แต่น้อยชิงเชียง” เสียงทุ้มกังวานแทรกดังขึ้น ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กาย ทว่ากลับมิปรากฏผู้ใดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อมองหาเท่าไรก็ไม่พบต้นตอของเสียง “แปลกจังเลย... ได้ยินแต่เสียงแต่ทำไมไม่เห็นตัวคนนะ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำ ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูขนาดใหญ่ ศิลปะการออกแบบอยู่ในยุคสมัยโบราณแลดูเหมือนที่พักอาศัยที่มักเห็นในหนังและตามซีรีส์จีนที่เคยดูผ่านทางทีวี
คริสต์ศักราช 2015ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมพัดพลิ้วต้องกับกระแสลมแรง พร้อมกลิ่นหอมรัญจวนจิตของหมู่มวลดอกไม้หอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางดอกไม้หลากสี รูปร่างแลให้ชวนมองน่าหลงใหล มองเลยไปปรากฏประตูที่มีลวดลายสะท้อนอารยธรรมของชนชาติจีน ทว่าสถาปัตย-กรรมดังกล่าวกลับมิใช่สมัยใหม่แต่แลดูคล้ายสมัยโบราณเสียนี่กระไร ประตูตรงหน้าปิดสนิทถูกฉาบด้วยสีแดง พร้อมแผ่นป้ายชื่อขนาดใหญ่วางตั้งเหนือไว้บนขอบประตูเบื้องบน เขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณระบุว่า เฉี่ยนเก้อลากุง แปลว่า “ตำหนักจันทรา” “ชิงเชียง! ชิงเชียงจ๋า” เสียงทุ้มละมุนกระซิบแผ่วเพรียกหาเจ้าของนามดังกล่าว ใบหน้าละมุนสวยคมเซ็กซี่รับกับผมสีดำขลับขึ้นเป็นมันเงางดงามประดุจดั่งเช่นชาวเอเชียหากแต่มีเลือดผสมสองชาติคือไทยและจีน ดวงหน้าเริ่มส่ายไปมาเมื่อได้ยินเสียงเพรียกหานั้นราวกับว่าเสียงดังกล่าวอยู่แนบชิดริมหูของเธอก็ว่าได้ “จ๋า!” เสียงหวานตอบเสียงเพรียกหาปริศนานั้นกลับไปทั้งๆ ที่กำลังหลับสนิท “ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” เสียงเพรียกหานั้นยังคงกล่าวกับเธอ
แคว้นฉิน ณ เมืองหลวงเสียนหยาง ตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุง (ตำหนักจันทรา) ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ภายในพระราชวังหลวงกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนเวรยาม ทหารรักษาการณ์ผลัดใหม่ต่างเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนเวรยามเพื่อคอยถวายอารักขา เจ้าผู้ครองแคว้นและเชื้อพระวงศ์ซึ่งประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงเมืองเสียนหยาง ทหารยามต่างทยอยแยกย้ายไปตามแต่ละตำหนักทั้งด้านนอกและด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นรัญจวนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุงหรือตำหนักจันทรา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายรอง พระนาม ฉินเสวี้ยนกง โอรสองค์ที่สองของฉินมู่กงซึ่งประสูติจากเหยี่ยนฮองเฮา ในยามนี้ทั่วพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นกำลังส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วบริเวณ ประตูพระตำหนักปิดสนิทด้วยเวลานี้คือยามวิกาล ภายในห้องพระบรรทม องค์ชายรองซึ่งมีพระชันษาก้าวเข้าสู่ปีที่ยี่สิบ กำลังบรรทมอยู่ภายในตำหนักดังกล่าว “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” กระแสลมอ่อนๆ พัดพลิ้วไหวไปมาจนเหล่าดอกโบตั๋นเอนไหวลู่ลม และเสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผาถูกแขวนไว้ตรงหน้าพระตำหนักเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมดังก้องกังวานอยู่เป็น