Share

ตอนที่ 2 ในฝัน 1.1

last update Last Updated: 2025-08-01 23:40:41

แคว้นฉิน

 ณ เมืองหลวงเสียนหยาง

 ตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุง (ตำหนักจันทรา)

 ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ภายในพระราชวังหลวงกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนเวรยาม ทหารรักษาการณ์ผลัดใหม่ต่างเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนเวรยามเพื่อคอยถวายอารักขา เจ้าผู้ครองแคว้นและเชื้อพระวงศ์ซึ่งประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงเมืองเสียนหยาง ทหารยามต่างทยอยแยกย้ายไปตามแต่ละตำหนักทั้งด้านนอกและด้านใน

 กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นรัญจวนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุงหรือตำหนักจันทรา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายรอง พระนาม ฉินเสวี้ยนกง โอรสองค์ที่สองของฉินมู่กงซึ่งประสูติจากเหยี่ยนฮองเฮา ในยามนี้ทั่วพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นกำลังส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วบริเวณ

 ประตูพระตำหนักปิดสนิทด้วยเวลานี้คือยามวิกาล ภายในห้องพระบรรทม องค์ชายรองซึ่งมีพระชันษาก้าวเข้าสู่ปีที่ยี่สิบ กำลังบรรทมอยู่ภายในตำหนักดังกล่าว 

 “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!”

 กระแสลมอ่อนๆ พัดพลิ้วไหวไปมาจนเหล่าดอกโบตั๋นเอนไหวลู่ลม และเสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผาถูกแขวนไว้ตรงหน้าพระตำหนักเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมดังก้องกังวานอยู่เป็นระยะๆ ช่วงเวลาดังกล่าว องค์ชายรองเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน

 ตำหนักจันทราที่ปิดสนิท บัดนี้กลับถูกมือเรียวสวยของอิสตรีปริศนากำลังเปิดประตูพระตำหนักจนร่างระหงดังกล่าวก้าวเดินเข้ามาภายใน ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปภายในห้องพระบรรทม

 “จงหยุดเดี๋ยวนี้นะ! นั่นเจ้าเป็นใคร! เข้ามาในตำหนักของข้าทำไมกัน!” สุรเสียงตวาดก้องขึ้นมาทันที ครั้นเมื่อองค์ชายรองทอดพระเนตรร่างระหงของอิสตรีแปลกหน้า จู่ๆ ก็เดินเข้ามาภายในพระตำหนักส่วนพระองค์และมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ขวางกั้นด้วยผ้าม่านสีขาวขุ่น

 หากแต่นางกลับเงียบงัน มิมีเสียงตอบใดๆ เล็ดลอดกลับมาสักเพียงคำ พระเนตรสีนิลคมกล้าทอดพระเนตรร่างงามระหงตรงหน้าพระพักตร์ พลางพยายามเพ่งพิจารณาใบหน้าของนาง ทว่ากลับมิสามารถทอดพระเนตรรูปโฉมได้อย่างชัดเจน จนต้องสะบัดพระเศียรไปมาอย่างแรงเพื่อขับไล่ความง่วงงุน

 “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร! เป็นนางกำนัลใหม่อย่างนั้นรึ!” รับสั่งถามออกไปพร้อมปรับสายพระเนตรหลังหายจากอาการง่วงนอน

 “ฉันไม่ใช่นางกำนัล” เสียงนั้นตอบกลับมาแผ่วเบา

 พระขนงเข้มได้รูปสวยขมวดเข้าหากันเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น

 “พูดจาพิกลนัก พูดอะไรของเจ้า! หากแม้นไม่ใช่นางกำนัลแล้วเข้ามาในตำหนักของข้าทำไม มิหนำซ้ำยังกล้าเดินเข้ามาจนถึงห้องส่วนตัวของข้าอีก มิกลัวหัวของเจ้าจะหลุดออกจากบ่าเช่นนั้นรึ!” รับสั่งตวาดถามกลับไป

 ร่างระหงยืนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

 “ฉันไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด แค่กำลังหาทางกลับบ้านเท่านั้น เอง” เสียงหวานนั้นตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านว่าจะได้รับโทษทัณฑ์ถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด

 “ปัง!” พระหัตถ์หนาตบลงบนแท่นพระบรรทมด้วยทรงพิโรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 “บังอาจ! เจ้าหาญกล้าเจรจากับข้าเยี่ยงนี้เชียวรึ! เห็นชัดว่าเข้ามาในตำหนักของข้าในยามวิกาล ยังจะมาบอกว่าหาทางกลับบ้าน นี่มันคือพระราชวังหลวงเสียนหยาง หาใช่บ้านของเจ้าแต่อย่างใดไม่” รับสั่งพร้อมทรงลุกยืน พร้อมเสด็จลงจากแท่นพระบรรทมอย่างรวดเร็ว 

 พระหัตถ์หนาคว้าดาบที่วางอยู่บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทม กระชากออกจากฝักเผยให้เห็นคมดาบวาววับสะท้อนกับแสงไฟของตะเกียงที่จุดอยู่ พระวรกายสูงใหญ่เสด็จพระดำเนินตรงไปที่ร่างระหงของสตรีปริศนาที่ยืนอยู่หลังม่านสีขาวนั้นทันที ก่อนจะจ่อปลายดาบไปที่ลำคอของนาง

 หากแต่เพียงครู่ดวงเนตรสีนิลกาฬกลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย เมื่อสตรีตรงหน้าพระพักตร์กลับมิได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ปลายดาบของพระองค์กำลังจ่อไปที่คอหอยของนาง

 “เจ้าเป็นใครกันแน่ จะบอกว่าเจ้าเป็นนักฆ่าที่แคว้นอื่นๆ ส่งมาหมายปองชีวิตข้าก็มิเห็นดาบคู่กายแม้แต่น้อย ครั้นดาบของข้าจดจ่ออยู่ที่คอของเจ้า หากแม้นออกแรงลงมือฟันเพียงครั้งเดียว หัวของเจ้าต้องหลุดกระเด็น แต่ดูเจ้ารึ มิตื่นตระหนกแต่อย่างใด นี่เจ้าเป็นใครจงบอกข้ามา! มีชื่อว่ากระไร เหตุใดจึงเข้ามาในตำหนักของข้า!” รับสั่งถามสุรเสียงเอ็ดอึง หากแต่คำตอบที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบงันอยู่เช่นเดิม

 “ว่ายังไง ไม่ได้ยินที่ข้าถามหรอกรึ! เป็นใบ้หรือไง! แต่ไม่ใช่สิ เมื่อครู่ที่ผ่านมาเจ้ายังตอบคำถามของข้าอยู่เลย” องค์ชายรองรับสั่งพึมพำ ก่อนจะได้ยินเสียงหวานนั้นเอ่ยตอบกลับมา

 “ฉันก็เป็นคนเหมือนคุณนั่นแหละ และก็ไม่รู้ว่าเข้ามาในนี้ได้ยังไง แค่กำลังหาทางกลับบ้านก็เท่านั้นเอง” เสียงหวานนั้นยังคงพร่ำบอกอยู่เช่นเดิม

 คำตอบอันแสนพิลึกและนางยังคงตอบพระองค์เหมือนเดิมทำให้องค์ชายฉินเสวี้ยนกงต้องขมวดพระขนงเข้าหากันอีกครา

 “หาทางกลับบ้านอย่างนั้นเหรอ! นี่เจ้าพูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย ข้าบอกแล้วไงว่านี่คือตำหนักของข้า และเจ้ากำลังบุกรุกตำหนักส่วนตัวของข้าอยู่ในขณะนี้ แล้วนี่เจ้าชื่ออะไร!” รับสั่งถามกลับไปอีกครั้ง

 ใบหน้าที่อยู่หลังม่านสีขาวเงยหน้ามองพระองค์ผ่านม่านบังตาดังกล่าวก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

 “ข้าแซ่ฟ่าน ชื่อว่าชิงเชียง เรียกข้าว่าชิงเชียงจ๋าก็ได้” โฉมงามตอบกลับไปสั้นๆ

 “ฟ่านชิงเชียง อย่างนั้นเหรอ นี่เจ้ามาจากตระกูลฟ่าน อย่างนั้นหรือนี่” รับสั่งถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่าน อยู่ทางตะวันออกของแคว้นฉิน พระขนงเข้มขมวดเข้าหากันครั้นทรงทบทวนชื่อของหญิงปริศนาตรงพระพักตร์ 

 “แต่เหตุใดชื่อของเจ้าจึงฟังแลดูพิลึกชอบกลนัก... ชิงเชียงจ๋า” รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัย หากแต่เพียงครู่กลับทรงยืนชะงักงันเมื่อรับสั่งชื่อของนางด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด

 “ฉันชอบให้คุณเรียกชื่อของฉันแบบนี้” เสียงหวานบอกความต้อง การจากส่วนลึกภายในใจ 

 องค์ชายฉินเสวี้ยนกงหรี่พระเนตรลงพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรสตรีปริศนาที่อยู่หลังม่านสีขาวดังกล่าว ภายในพระทัยทรงต้องการทอดพระเนตรโฉมหน้าของนางให้ชัดเจน 

 ทันใดนั้นเองพระหัตถ์หนายกดาบยาวคมกริบตวัดฟันผ้าม่านบางเบาตรงหน้าจนขาดออกจากกันทันที ด้วยความรำคาญพระทัยอย่างยิ่งยวด

 “ฉัวะ!” ผ้าม่านสีขาวลออตาขาดออกจากกันทันใด จนเผยให้เห็นร่างงามระหงยืนอยู่หลังม่านนั้น

 ใบหน้าสวยคม ขับกับเส้นผมสีดำเงางามยาวสลวยเผยให้พระองค์เห็นเพียงแวบเดียวก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา รอยยิ้มละไมส่งยิ้มหวานให้จนองค์ชายรองถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ มีเพียงเส้นผมสีดำสนิทที่ถูกคมของปลายดาบตวัดออกมาจนร่วงหล่นตกอยู่ที่พื้น

 พระวรกายสูงใหญ่ ทรงยืนนิ่งงันไม่ไหวติงราวกับว่าถูกสาป เมื่อได้ทอดพระเนตรรอยยิ้มหวานของหญิงปริศนา ใบหน้างามทอดพระเนตรได้เพียงเลือนราง ก่อนจะทอดพระเนตรพบปอยเส้นผมสีดำสนิทของโฉมงามที่ถูกตัดขาดทิ้งเอาไว้ พระหัตถ์หยิบปอยผมดังกล่าวขึ้นมาทอดพระเนตร

 “ฟ่านชิงเชียง! ชิงเชียง!”

 “เฮือก!” พระวรกายสะดุ้งจนสุดพระองค์ จนหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน

 พระเนตรดำใหญ่กลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะลุกประทับนั่ง

 “ฝันไปอย่างนั้นรึ นี่ข้าฝันเห็นนางในฝันอีกแล้วหรือนี่” รับสั่งพึมพำพร้อมลุกประทับจากแท่นพระบรรทมเสด็จออกจากห้องตรงไปยังประตูพระตำหนัก พร้อมเปิดออกทันที

 กลิ่นหอมของดอกโบตั๋นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เสียงกระดิ่งลมยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ วรองค์งามสง่าพระดำเนินไปหยุดยืนทอดพระเนตรเหล่าดอกโบตั๋นหลากสีมากมาย ก่อนจะเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรพระจันทร์เบื้องบนที่กำลังลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้า

 “เจ้าเป็นใครกันเล่าชิงเชียง เหตุใดข้าจึงฝันถึงแต่เจ้าเช่นนี้มาช้านาน ได้ยินเพียงเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยคำเจรจา หากแต่มิเคยเห็นใบหน้าอันแท้จริงของเจ้าแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มหวานที่ตราตรึงทิ้งเอาไว้ให้ข้าในความฝันเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฝันเห็นเจ้าเช่นนี้อยู่ทุกค่ำคืน รู้บ้างไหมว่าข้าทรมานมากแค่ไหน เจ้าล่วงรู้บ้างหรือไม่ชิงเชียง” องค์ชายรองจากแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่ รำพึงรำพันด้วยความทุกข์ทรมานที่อัดอั้นอยู่ภายในพระทัย

 “ขอเทพจันทราได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ข้าทรมานเหลือเกินยิ่งแล้ว หากแม้นฝันนี้นางในฝันของข้าหาได้มีตัวตนถือกำเนิดอยู่จริงก็ขออย่าให้ข้าได้ฝันถึงนางอีกเลย จงลบเลือนนางออกไปจากหัวใจและความคิดของข้าด้วยเถิด แต่ถ้าหากนางมีตัวตนจริงแล้วไซร้ ก็ขอให้ข้ามีโอกาสได้พบนางสักเพียงครั้งก็ยังดี และขอฝากความคิดถึงของข้านี้ไปให้นางด้วยเถิด ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบา 

 ถ้อยรับสั่งฝากแรงรักและแรงคิดถึงไปกับเทพจันทรา หวังไว้ในหทัยว่าความคิดถึงนั้นจะส่งถึงโฉมงามให้ได้ล่วงรู้ 

 แรงคิดถึงช่างรุนแรงเสียนี่กระไร เมื่อฉินเสวี้ยนกง องค์ชายรองแห่งแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่ มีพระทัยรักผูกพันและมั่นคงต่อนางในฝันมาเป็นเวลานานหลายปี องค์ชายหนุ่มรูปงามฝันถึงนางในฝันตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียงเก้าชันษา

 จวบจนกระทั่งในเวลานี้ทรงเจริญชันษาเข้าสู่ปีที่ยี่สิบนางในฝันนามว่าฟ่านชิงเชียงยังตรึงอยู่ภายในหทัยมาเป็นเวลาถึงสิบเอ็ดปี เวลาอันยาวนานแห่งการรอคอยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เฝ้าคิดถึงแต่นางในฝันมาโดยตลอด

 แม้ว่าฉินอ๋องและพระมารดาเหยี่ยนฮองเฮาจะจัดหาพระสนมและพระชายาให้แก่พระองค์มากมายเพื่อสืบสายพระโลหิต แต่องค์ชายรองก็มิยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับสตรีที่ถูกเลือกเฟ้นมาให้กับพระองค์ ทรงรับไว้เป็นเพียงพระสนมเท่านั้นแต่ไม่เคยเสด็จประทับและเสพสังวาสพระสนมเหล่านั้น 

            จนทำให้องค์ชายฉินเสวี้ยนกงถูกกล่าวขานว่าทรงเย็นชาและไร้หัวใจ ชื่นชมบุรุษมากกว่าอิสตรีเพราะไม่เคยมีรับสั่งให้พระสนมใดถวายงานใกล้ชิดเลยสักคน 

 ทว่าหามีผู้ใดล่วงรู้หัวใจอันแข็งแกร่งขององค์ชายรองนี้แม้แต่น้อย ท่วงท่าที่แลดูเย็นชาจนกล่าวขานว่าทรงไร้หัวใจ กลับเต็มไปด้วยความรักที่มั่นคงมอบให้นางในฝันแต่เพียงผู้เดียว ความคิดถึงเริ่มรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลให้แรงแห่งปรารถนาของหัวใจมอบให้กับหญิงงามที่มีนามว่า ฟ่านชิงเชียง ข้ามกาลเวลานับหลายพันปีเพื่อให้จอมนางนั้นได้ยิน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 73 บทส่งท้าย (อวสาน)

    ยุคปัจจุบันพระตำหนักจันทรา“กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมส่งเสียงก้องกังวานไพเราะเสนาะหูเป็นยิ่งนักดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วบริเวณ จนเข้ามาถึงห้องนอนใหญ่ของฟ่านชิงเชียง ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงและคุณวิลาสินีภรรยาชาวไทยสองสามีภรรยาย้ายมาอยู่ในห้องนอนของลูกสาวเพียงคนเดียวหลังจากที่ได้เห็นการหายตัวไปอย่างน่าอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาคนทั้งคู่ รวมไปถึงอู๋หงฮุยเพื่อนสนิทของท่านเจ้าสัวด้วยเช่นกันนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองได้หายไปในที่ไหนสักแห่งในยุคอดีตย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนของแผ่นดินจีนในสมัยโบราณท่านเจ้าสัวพยายามค้นหาและศึกษาตำราวิชาการมากมายเพื่อให้ได้ล่วงรู้ที่มาที่ไป ของเส้นคู่ขนานที่เชื่อมต่อกับยุคอดีตและยุคปัจจุบัน หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะได้พบหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวอีกสักครั้ง ร่างใหญ่ของท่านเจ้าสัวกำลังนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยู่ที่โต๊ะทำงานของชิงเชียง โดยมีคุณวิลาสินีนั่งถั

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 72 ลิขิตแห่งรัก 1.2

    ห้องทรงพระอักษรรายงานมากมายจากขุนนางน้อยใหญ่วางไว้เต็มโต๊ะทรงพระอักษร ฉินอ๋องรูปงามทรงอ่านรายงานเหล่านั้นทุกตัวอักษรและพิจารณาไปด้วยพร้อมกัน ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นเมื่อขันทีคนสนิทนำกล่องไม้เครื่องประดับมาวางไว้ตรงหน้าพระพักตร์“เจ้าเอาอะไรมาให้ข้ารึ!” รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย“หยกจันทราของฝ่าบาทที่ฟ่านอ๋องส่งกลับคืนมา และกำไลหยกของแคว้นฟ่านที่จะต้องส่งกลับคืนไปทั้งสองสิ่งอยู่ภายในกล่องไม้เครื่องประดับนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ รอเพียงพระราชสาสน์ที่จะส่งไปพร้อมกับคืนกำไลหยกให้แก่องค์หญิงชิงเชียงพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูลภายในหัวใจเจ้าผู้ครองแคว้นฉินในขณะนี้สะดุดกับพระนามองค์หญิงจากแคว้นฟ่านขึ้นมาทันที“ชิงเชียง!” รับสั่งสุรเสียงเบา ก่อนจะปรากฏภาพเลือนรางขึ้น มาในความทรงจำ สตรีร่างงามระหง ผมดำยาวสลวยจนถึงเอวหากแต่ใบหน้ากลับเลือนราง พร้อมเสียงเรียกในมโนจิต“ชิงเชียงจ๋า!” ในภวังค์เรียกโฉมงามเช่นนั้น“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเฮ่าหรานเรียกเจ

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 71 ลิขิตแห่งรัก 1.1

    หนึ่งปีผ่านไปแคว้นฟ่านพระราชวังมังกรหิมะ“แปะ!” หยาดน้ำตาร่วงรินตกลงสู่พื้นด้วยความเศร้าทุกข์ระทมเป็นยิ่งนักใบหน้างามแสนสวยของชิงเชียง ซึ่งบัดนี้คือพระราชธิดาของฟ่านซานกงหรือฟ่านอ๋องและอู๋หยู่เหยี่ยนหรืออู๋ฮองเฮา ทั้งสองพระองค์แท้จริงแล้วคืออดีตชาติของเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงและคุณวิลาสินี ภรรยาชาวไทยนั่นเอง แม้ว่าหญิงสาวจะพลัดพรากบิดาและมารดาในยุคปัจจุบันย้อนกลับมาอยู่ในยุคอดีตก็ตามทว่าในยุคอดีตแห่งนี้เธอได้พบกับบิดาและมารดาอีกครั้งในชาติอดีตของทั้งสองนั่นเอง เรื่องเล่าและตำนานต่างๆ ที่ตระกูลฟ่านเล่าขานกันต่อๆ มา แท้จริงแล้วก็คือเรื่องของเธอนั่นเอง ชิงเชียงกลับมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในแคว้นฟ่านกับบิดาและมารดาในอดีตชาติ ณ พระราชวังมังกรหิมะ อันห่างไกลจากแคว้นอื่นๆ มีเอกภาพและการปกครองที่มีประสิทธิภาพนับตั้งแต่ชิงเชียงได้หวนคืนกลับมา เธอใช้วิชาความรู้ทั้งหมดในยุคปัจจุบันพัฒนาแคว้นที่ห่างไกลเจริญขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งปลูกสร้างมากมายเธอก็ใช้ความรู้ในยุคปัจจุบันมาปรับใช้ ตำหนักน้ำแข็งเป็นผลงานชิ้

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 70 หนีให้ไกลไปสุดหล้า 1.4

    ท่ามกลางสายพระเนตรของฉีอ๋อง ยังทรงยืนหาได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ความลำพองคิดว่าตนมีเครื่องมือทำลายล้างผู้อื่นจึงคิดว่ามีชัยเหนือผู้ใดทั่วหล้า ขวดยาพิษหมื่นบุปผาถูกเก็บเข้าไปไว้ในผ้าคาดเอวของพระองค์ ก่อนจะบังคับม้าที่ทรงประทับอยู่ตรงไปที่เจ้าผู้ครองแคว้นฉิน หมายมุ่งเอาชีวิตเพื่อยึดครองแคว้นอันยิ่งใหญ่และหญิงงามซึ่งเป็นรักแรกพบของพระองค์ให้ตกมาเป็นของตนให้จงได้ในขณะเดียวกันร่างระหงของชิงเชียงอยู่บนหลังม้ากับเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน ทั้งสองต่างช่วยกันไล่ฟาดฟันกองทหารของแคว้นฉีและแคว้นหานที่กำลังดาหน้าเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ โดยมีเยี่ยฉางอยู่บนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง คอยระแวดระวังภัยถวายอารักขาให้กับฉินอ๋องและองค์หญิงของตนทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากกำลังวิ่งตรงมาจากพรมแดนอันเป็นเขตรอยต่อของแคว้นเหยี่ยนและแคว้นฟ่าน ทั้งสองแคว้นส่งกองกำลังทหารมาช่วยเจ้าผู้ครองแคว้นฉินและช่วยพระราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวของฟ่านซ่านกง“ทหารจากแคว้นเหยี่ยนและแคว้นฟ่านมาช่วยแล้วฝ่าบาท!” เยี่ยฉางตะโกนบอกฉินอ๋องด้วยความดีใจพระพักตร์หล่อเหลาแย้มพระโอษฐ์กว้างด้ว

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 69 หนีให้ไกลไปสุดหล้า 1.3

    ณ จุดพรมแดนแคว้นฉี ห้าชีวิตของสี่บุรุษและหนึ่งสตรีกำลังเดินเข้าเขตพรมแดนแคว้นเหยี่ยนเพื่อไปให้ถึงถ้ำหิมะ ซึ่งถ้ำดังกล่าวอยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นฟ่าน ด้วยเช่นกันครึ่งหนึ่ง จึงเป็นจุดนัดพบของทั้งสองแคว้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งกองทหารจากแคว้นฟ่านและกองทหารองครักษ์จากแคว้นฉินของฉินเสวี้ยนกง กำลังรอคอยเจ้าผู้ครองแคว้นและองค์หญิงชิงเชียงจากแคว้นฟ่าน ซึ่งฟ่านซานกงหรือฟ่านอ๋องทรงรอคอยพระราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับองค์รัชทายาท อีกเพียงสี่ชั่วยามก็จะเข้าสู่พรมแดนของแคว้นเหยี่ยน ซึ่งจะทำให้กองทหารของแคว้นฉีติดตามได้ยากลำบากมากขึ้น เพราะทันทีที่พ้นเขาสูงเบื้องหน้าก็จะต้องพบกับหิมะและน้ำแข็งไปทั่วทุกพื้นที่เลยเดียว หญิงสาวในชุดคลุมอย่างมิดชิดทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกกำลังเดินฝ่าความหนาวเหน็บ ท่ามกลางหิมะที่เริ่มโปรยปราย ใบหน้างามเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูและริมฝีปากอวบอิ่มแดงแจ๋ เพราะถูกความเย็นขับออกมาจนคนตัวใหญ่ข้างกายต้องคอยหันกลับมามองใบหน้างามนั้นอยู่ตลอดเวลาจนต้อง

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 67 หนีให้ไกลไปสุดหล้า 1.1

    ภายในคุกหลวง ยามสาม คบไฟพวยพุ่งอยู่ภายในคุกหลวง ถูกมือปริศนาพันด้วยผ้าสีดำจนมิดชิดกำลังโรยผงสีขาวลงบนเปลวเพลิงไปทุกจุดส่งกลิ่นและควันขาวตลบอบอวลไปทั่ว เพียงครู่บรรดาทหารหลวงที่ยืนเฝ้ายามตามจุดที่ได้รับมอบหมายค่อยๆ ยืนโงนเงนไปมาก่อนจะทรุดฮวบลงไปกับพื้นทันที ร่างสันทัดในชุดสีดำทะมึนปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิดด้วยผ้าสีดำสนิทตลอดทั้งศีรษะและใบหน้า เหลือเพียงดวงตาเอาไว้เท่านั้น ครั้นเห็นทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่ในคุกต่างพากันหมดสติเพราะผงหลงลืมอดีตราชองครักษ์ของแคว้นฟ่านในชุดสีดำทะมึนดังกล่าวปรากฏตัวมาพร้อมกับราชองครักษ์ของแคว้นฉินอีกสองนาย ซึ่งเพิ่งหนีรอดไปเมื่อวานได้หวนกลับมาสืบข่าวคราวเจ้าผู้ครองแคว้นของตน จนล่วงรู้แผนการใหม่ล่าสุดขององค์หญิงชิงเชียง ราชองครักษ์ทั้งสามปรากฏตัวขึ้นภายในห้องคุมขังของฉินอ๋องรูปงาม ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปปลดโซ่ตรวนที่ล่ามพระวรกายอยู่ในขณะนั้นให้เป็นอิสระ &

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status