ร่างสันทัดของชายสูงวัยอายุประมาณเจ็ดสิบปี ก้มคำนับให้กับหญิงสาว เมื่อเจ้าสัวฟ่านเต๋อหมิงเรียกมาที่เรือนทิศเหนือซึ่งหมายถึงบ้านพักโซนจีนคลาสิกนั่นเอง กงฟูหัว มีรูปร่างสันทัดเฉกเช่นชาวจีนทั่วไปในยุค 90 ซึ่งแตกต่างไปจากชาวจีนในยุคปัจจุบันซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ คนรุ่นใหม่ในยุค 2000 จะมีความสูงโดยเฉลี่ยร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรขึ้นไปทั้งสิ้น จนไปถึงสองเมตรมากหรือน้อยกว่านั้นไม่มากเท่าใดนัก
“ฟูหัว... เปิดเรือนตะวันออกพาคุณหนูเดินชมให้ทั่วเลยนะ จะได้รู้ว่าตระกูลฟ่านของตัวเองมีอะไรเก็บรักษาเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่โบราณบ้าง ต่อไปในภายภาคหน้ามีลูกสอนลูกมีหลานก็สอนหลานได้” ท่านเจ้าสัวบอกกับคนรับใช้เก่าแก่ “ได้ขอรับนายท่าน เรื่องพาเดินชมไม่มีปัญหาแต่กลัวว่าคุณหนูจะเดินไม่ไหวน่ะสิขอรับ” ฟูหัวตอบกลับไป “โอ้โห! ที่เรือนตะวันออกกว้างขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณปู่” ริณรณีย์ถามออกไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย “กว้างหรือไม่ก็ลองเดินดู แต่ส่วนใหญ่คงจะกลัวกับความเก่าแก่กับของโบราณเสียมากกว่า” ท่านเจ้าสัวบอกลูกสาวสุดที่รัก “คุณหนูอยากจะชมส่วนไหนของบ้านก่อนล่ะขอรับ” ฟูหัวเอ่ยถามคุณหนูคนงาม หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ก่อนจะตาลุกวาวขึ้นมาทันที “อยากดูดอกโบตั๋นที่คุณปู่ปลูกตั้งแต่วันแรกที่ชิงเชียงเกิดเป็นอันดับแรกก่อนเลยค่ะ” เธอตอบกลับไปทันทีเมื่อใจสั่งมาให้คิดเช่นนั้น “ได้เลยขอรับคุณหนู แต่ถ้าจะให้ดีต้องเตรียมร่มและน้ำดื่มพร้อมของว่างไปด้วย เพราะสวนดอกโบตั๋นมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร” ริณรณีย์นั่งทำตาปริบๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น “สวนดอกโบตั๋นกว้างขนาดนั้นเลยเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไป “ก็กินพื้นที่หลายไร่ขอรับ เพราะในอดีตบริเวณแถบนี้เป็นอุทยานหลวงของพระราชวังเสียนหยางทั้งสิ้น กินพื้นที่โดยรอบก็ยี่สิบกิโลเห็นจะได้” “อ่อ! อย่างนั้นเหรอคะ... เหมือนที่คุณพ่อบอกเมื่อคืนเลย” ท่านเจ้าสัวคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อลูกสาวของท่านกล่าวออกมาเช่น นั้น “แล้วใครยกเมฆมาเล่านิทานก่อนนอนเป็นตุเป็นตะให้ฟังเล่า ทุกสิ่งที่พ่อบอกล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น... จริงไหมแม่” ประโยคสุดท้ายหันไปขอเสียงร่วมกับภรรยาคู่ชีวิต “ใช่ค่ะ... ถ้าอยากรู้รายละเอียดต่างๆ ก็ต้องเดินสำรวจด้วยตัวเองนะยายหนู แม่ปล่อยเต็มที่เลย และจะยิ่งดีไปกว่านี้ถ้าหากลูกไม่ต้องทำงานให้กับบริษัทฯ แต่มาดูแลทรัพย์สินและบริหารสินทรัพย์ให้มันงอกเงยขึ้นมา พ่อกับแม่จะดีใจมากเลยล่ะ” คุณวิลาสินีไม่วายเอ่ยความประสงค์ของนางออกมา “เอาอีกแล้ว วกเข้ามาเรื่องเดิมตลอด... คุณปู่ไปกันเถอะค่ะ ชิงเชียงอยากเดินดูรอบบ้านตระกูลฟ่านแล้ว” หญิงสาวตัดบทสนทนาทันที พร้อมลุกจากเก้าอี้รับประทานอาหารเตรียมตัวเดินสำรวจบ้านของตัวเอง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น คุณปู่จะพาชิงเชียงเดินไหวเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของท่านเจ้าสัวและคุณวิลาสินีดังออกมาพร้อมกัน ใบหน้างามงอง้ำขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น “ชิงเชียงพูดอะไรผิดไปเหรอคะ ก็เป็นห่วงคุณปู่กลัวจะเดินไม่ไหว หนูผิดด้วยเหรอ” หญิงสาวตัดพ้อต่อว่า “ไม่ผิดหรอกยายหนู แต่ที่หัวเราะเพราะพ่อกับแม่อดขำไม่ได้ที่หนูกลัวคุณปู่เดินไม่ไหวน่ะสิ” คุณวิลาสินีบอกกับบุตรสาว “เอ้า! ก็ชิงเชียงเป็นห่วงจริงๆ ค่ะ คุณปู่อายุมากแล้วเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาทำยังไง เอาคนติดตามไปเพิ่มอีกหนึ่งคนดีกว่าไหมคะ” หญิงสาวพูดพร้อมหันกลับไปมองคุณปู่สูงวัยที่ยืนยิ้มอยู่ตลอดเวลา “ไม่ต้องไปหาใครคอยเดินตามหรอกเพราะจะทำให้เป็นภาระกับคุณปู่ เพราะคนคอยเดินตามจะเป็นลมก่อนแน่นอน คุณปู่อายุมากถึงเจ็ดสิบก็จริง แต่แข็งแรงกว่าคนหนุ่มอายุยี่สิบอีกนะไม่เคยเจ็บป่วยและไม่มีโรคประจำตัวด้วย” คนงามอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคุณพ่อของเธอกล่าวเช่นนั้น “โอ้โห! แข็งแรงจังเลยค่ะ หาน้อยมากเลยที่อายุขนาดนี้แล้วจะไม่เจ็บป่วยและมีโรคประจำตัว... ว่าแต่มียาดีอะไรเหรอคะคุณปู่” ประโยคสุดท้ายริณรณีย์ไม่วายถามกระเซ้าตามนิสัยขี้เล่นของเธอ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของคุณปู่ฟูหัว “ไม่มียาดีหรอกขอรับคุณหนู แค่ทำจิตใจให้แจ่มใสไม่เคร่งเครียดกับชีวิต ออกกำลังเบาๆ ยามเช้าและเย็นอยู่เป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงเท่านี้ร่างกายของทุกคนก็ไม่มีโรคภัยแล้วขอรับ คุณหนูจะไปหรือยังขอรับ... สายกว่านี้อาจจะไม่สามารถเดินชมได้ทั่วพื้นที่โดยรอบ” “ไปเลยค่ะ... ชิงเชียงก็อยากไปชมดอกโบตั๋นแล้ว” หญิงสาวพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งในโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมเสียงของท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นตามหลัง “เที่ยวให้สนุกนะยายหนู” “เจ้าค่ะท่านเจ้าสัว” คนงามตอบกลับไปเสียงทะเล้นพร้อมก้าวเดินตรงไปหาคุณปู่ฟูหัวทันที คุณปู่หัวเราะเบาๆ พลางก้าวเดินนำหน้าก่อนจะหยุดยืนพร้อมผายมือของตนให้คุณหนูชิงเชียงก้าวเดินนำหน้าตนออกไปจากเรือนทิศเหนือ มุ่งหน้าไปที่เรือนโบราณทางตะวันออก ดวงตากลมโตของสาวน้อยคนงามสังเกตไปทั่วบริเวณอย่างตื่นตาตื่นใจพร้อมก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าอันเป็นทิศที่ตั้งของเรือนโบราณ กำแพงฝั่งตะวันออก สาวน้อยคนงามเอียงคอมองพร้อมเอามือไพล่หลัง เมื่อเห็นกำแพงขนาดใหญ่ตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดวงตาคู่สวยมองสิ่งก่อสร้างในอดีตตาไม่กะพริบด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด ทั้งศิลปะการสร้างก็แตกต่างจากยุคสมัยใหม่ แต่กลับคล้ายศิลปะการออกแบบใกล้เคียงกับกำแพงเมืองจีนในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ “เพิ่งจะรู้ว่าภายในบ้านมีกำแพงทั้งสูงและใหญ่อยู่ภายในบริเวณนี้ด้วย ราวกับว่าแยกฝั่งทิศเหนือเป็นยุคสมัยใหม่และฝั่งตะวันออกเป็นยุคโบราณ เขามีเหตุผลอะไรถึงสร้างกำแพงนี้ขึ้นมาคะคุณปู่” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวหันกลับไปถามชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ใบหน้าที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนาน คลี่ยิ้มออกมาบางๆ พลางมองตรงไปที่กำแพงดังกล่าว “ถ้าเหตุผลของคนสมัยโบราณก็ไม่มีอะไรมากหรอกขอรับคุณหนู เพราะหลังกำแพงนี้ไปในอดีตเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน ซึ่งในเขตพระราชฐานชั้นในเมื่อเข้าสู่ที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ใดจะมีกำแพงแบบนี้แสดงอาณาเขต และดอกโบตั๋นที่กำลังจะพาคุณหนูไปเยี่ยมชมก็อยู่หลังกำแพงนี้แหละขอรับ นับตั้งแต่กำแพงนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งในนั้นมีอายุไล่เลี่ยกับกำแพงเมืองจีนที่สร้างขึ้นในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้เลยทีเดียว” “ฮะ! อายุไล่เลี่ยกับกำแพงเมืองจีนเลยเหรอคะคุณปู่” หญิงสาวอุทานออกมาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง “ตกใจถึงขนาดนี้เลยเหรอขอรับคุณหนู” ชายชราถามกลับไปพร้อมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ริณรณีย์พยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินคุณปู่อธิบายให้ฟังเช่นนั้น “ตกใจและแปลกใจไปพร้อมกันเลยค่ะ... ว่าแต่ทำไมบ้านตระกูลฟ่านถึงมีสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณอยู่ภายในพื้นที่ ทางการจีนไม่ล่วงรู้เหรอคะ ปกติถ้ามีวัตถุโบราณและมีสิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณจะถูกเวนคืนพื้นที่ทั้งหมดเพราะถือได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสมบัติของชาติ หลังจากนั้นนักโบราณคดีก็จะเข้ามาสำรวจพื้นที่เพื่อขุดค้นต่อไป” คำถามของหญิงสาวทำให้กงฟูหัวใช้ความคิดอยู่เพียงครู่ก่อนจะตอบกลับไปตามความเป็นจริง “ที่เป็นเช่นนี้มีเหตุผลมาจากคำสั่งของบรรพบุรุษตระกูลฟ่านขอรับคุณหนูว่าพื้นที่แห่งนี้ในรัศมียี่สิบกิโลเมตรเป็นของตระกูลฟ่านทั้งหมด ที่คุณหนูเห็นบ้านเรือน ตึกสูงมากมายในแถบนี้ล้วนเป็นกรรมสิทธ์ของตระกูลฟ่านทั้งสิ้น ก่อนหน้านั้นตระกูลฟ่านก็มีที่ดินอยู่ในอาณาเขตบริเวณสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เมื่อมีการขุดพบ ทางการก็ได้ขอเวนคืนพื้นที่จากเจ้าของที่ดินโดยรอบทั้งหมด ซึ่งตระกูลฟ่านในช่วงรุ่นคุณปู่ของคุณหนูก็ได้คืนพื้นที่แถบนั้นไปทั้งหมดโดยไม่รับค่าเวนคืนกับทางการจีนเลยนะขอรับ” หญิงสาวยืนฟังพร้อมคิดตามก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้น “ถ้างั้นที่คุณปู่ยอมมอบที่ดินแถบนั้นให้ทางการจีนไปโดยไม่รับค่าเวนคืนเพราะต้องการรักษาพื้นที่ทางนี้เอาไว้ใช่ไหมคะ” กงฟูหัวพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับ “ถูกต้องแล้วขอรับ พื้นที่แถบนี้ทั้งหมดเคยเป็นพระราชวังหลวงสมัยเสียนหยางเป็นราชธานีในยุคที่ยังเป็นเพียงแคว้นฉินก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้จะรวมแผ่นดิน ว่ากันว่าพระราชวังหลวงของแคว้นฉินใหญ่โตอลังการมาก เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้สามารถรวมแผ่นดินจีนได้ นอกจากจะสร้างกำแพงเมืองจีนและสุสานของพระองค์แล้ว ยังทรงมีรับสั่งให้สร้างพระราชวังหลวงใหม่ ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่าพระราชวังหลวงแห่งนี้มีชื่อว่า อาฝางกงขอรับ” “อาฝางกง... อาฝางกง” หญิงสาวทวนชื่อพระราชวังหลวงในตำนานออกมาเบาๆ “พระราชวังนี้ใช่ไหมคะคุณปู่ที่ถูกเผาหลังจากหมดยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ และต้องใช้เวลาถึงสามเดือนถึงจะเผาหมด” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ ชายชราพยักหน้าขึ้นลงพร้อมเอ่ยขึ้น “ใช่แล้วขอรับ และจุดเริ่มต้นของพระราชวังอาฝางกงก็อยู่ในเขตพื้นที่โดยรอบที่ตระกูลฟ่านถือครองทั้งหมด ว่ากันว่าเพียงแค่บางส่วนเท่า นั้น เพราะส่วนถือครองที่มีแต่สิ่งปลูกสร้างละลานตาในปัจจุบันนี้เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน บริเวณพื้นที่บ้านของตระกูลฟ่านนี้ ในอดีตคืออุทยานดอกโบตั๋น ตั้งแต่ประตูด้านหน้าทางเข้าบ้านจนถึงบ้านฝั่งทางทิศเหนือเป็นตำหนักกลางของเหล่านางกำนัล แต่ถ้าหลังกำแพงนี้ไปจะเป็นอุทยานดอกบัว ตำหนักกลางน้ำ และตำหนักจันทรา” ชื่อสุดท้ายทำให้ริณรณีย์ชะงักงันขึ้นมาทันที “อะ... อะไรนะคะคุณปู่ มีชื่อตำหนักจันทราด้วยเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปเสียงเบาหวิว แต่ถึงกระนั้นชายชราก็หูดีเสียนี่กระไรกลับได้ยินคำถามของเธอชัดเจนเลยทีเดียว “ใช่แล้วขอรับ เชื่อกันว่าเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองแคว้นฉินพระ องค์หนึ่ง ตั้งแต่สมัยยังเป็นองค์ชาย แต่พอได้เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นกลับไม่ย้ายไปตำหนักสุริยัน ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับสำหรับฉินอ๋อง พระองค์ไม่ยอมย้ายพระตำหนักทรงประทับอยู่ที่ตำหนักจันทราจนถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ” “แปล๊บบบ!!!” จู่ๆ หัวใจปวดแปลบรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที เหตุใดหนอเมื่อได้ยินเรื่องเล่านี้แล้วภายในหัวใจของริณรณีย์จึงรู้สึกร้าวรานชอบกลนัก “ทำ... ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะคุณปู่ ทรงมีเหตุผลอะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปเสียงแผ่ว “มีเรื่องเล่าต่อๆ มาว่าเหตุผลที่ไม่ยอมย้ายพระตำหนักก็เพราะทรงเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่รอคอยนั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพระองค์กำลังรอคอยอะไร และสิ่งที่น่าแปลกก็คือทรงเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่มีฮองเฮาและไม่มีรัชทายาท” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทำไมพระองค์ถึงไม่มีล่ะคะคุณปู่” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ ชายชรายืนนิ่งไปชั่วขณะคล้ายกำลังทบทวนความทรงจำของตัวเองก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป “เท่าที่ฟังมาจำได้ว่า รู้สึกมีแต่พระสนมที่รับไว้เป็นบรรณาการจากแคว้นอื่นๆ ขอรับ อีกอย่างทรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นเพียงแค่ยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง ส่วนจะมีรัชทายาทหรือเปล่าก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ที่ได้ยินมาจากตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาบ้างก็บอกว่ามี...บ้างก็บอกว่าไม่มี” “ยี่สิบกว่าๆ ก็ตายแล้วอย่างนั้นเหรอ... ทำไมถึงได้ตายเร็วจัง” หญิงสาวถามกลับไปเสียงสั่น ความรู้สึกหลากหลายยากจะอธิบายได้ประเดประดังเข้ามาทันที “ผู้ชายในสมัยโบราณมีหน้าที่ออกรบทำศึกเพื่อปกป้องแผ่นดินและเพื่อขยายอาณาเขตการปกครอง ส่วนใหญ่จะพากันตายในสนามรบด้วยกันทั้งสิ้น หากมีครอบครัวแล้วภรรยาก็ต้องกลายเป็นม่ายลูกต้องกำพร้าพ่อ เป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่พอมาถึงปัจจุบันการตายจากศึกสงครามก็ยังเกิดขึ้นแต่ไม่เหมือนในสมัยโบราณหรอกครับคุณหนู” กงฟูหัวกล่าวพร้อมก้าวเดินนำหน้าตรงไปยังกำแพงเบื้องหน้า พร้อมดึงกุญแจที่ห้อยอยู่บั้นเอวก่อนจะไขประตูที่ล็อกคล้องเอาไว้พลางผลักประตูทั้งสองบานเปิดออกกว้างจนเผยให้เห็นภายใน “โอ้โห!!!” ริณรณีย์อุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นภาพหลังประตู “เชิญข้างในเลยครับคุณหนู นี่ก็คือสวนดอกโบตั๋นขอรับ” ชายชราบอกกับเธอ ร่างงามระหงค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปข้างหน้าก่อนจะก้าวข้ามผ่านธรณีประตูมาหยุดยืนภายในเขตเรือนตะวันออกซึ่งตรงหน้ามีแต่ดอกโบตั๋นหลากสีละลานตาเต็มไปหมด กลิ่นหอมรัญจวนฟุ้งกระจายตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ “หอมจังเลยค่ะคุณปู่ น้ำหอมแบรนด์ดังยังสู้ไม่ได้เลย นี่เหรอคะดอกโบตั๋นแต่ เอ... ชิงเชียงเคยได้ยินมาว่าดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้มงคลประจำราชวงค์ถัง แล้วในสมัยที่ยังเป็นแคว้นฉินทำไมถึงมีดอกไม้นี้มาปลูกในเขตพระราชวังเสียนหยางด้วยล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เมื่อก่อนดอกโบตั๋นใช้เป็นยารักษาโรคหืดและโรคชักรวมไปถึงรักษาโรคระดูผิดปกติของผู้หญิงในสมัยโบราณได้ขอรับ แต่เพราะกลิ่นที่หอมและสีที่สวยในยุคต่อๆ มาจึงกลายมาเป็นดอกไม้ของชนชั้นสูง และหากบ้านไหนปลูกดอกโบตั๋นไว้หน้าบ้านแล้วละก็ มีความเชื่อกันว่าจะได้พบกับเนื้อคู่และรักแท้ด้วยนะขอรับ ซึ่งบริเวณส่วนนี้จะเป็นสวนดอกโบตั๋น ด้านขวาเป็นอุทยานดอกบัวและถัดไปเป็นตำหนักกลางน้ำ ส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับอุทยานดอกโบตั๋นที่คุณหนูกำลังยืนอยู่คือตำหนักจันทรา” หญิงสาวละสายตาที่กำลังชื่นชมเหล่าดอกโบตั๋นที่อยู่ตรงหน้าทันที เมื่อได้ยินชื่อตำหนักจันทรา ดวงตากลมโตคู่สวยหันกลับไปมองสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงข้ามสวนดอกโบตั๋นโดยพลัน สองเท้าก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “อยากเห็น... อยากเห็นตำหนักจันทรา อยากรู้ว่าจะเหมือนที่ฝันเห็นหรือเปล่า” เธอพูดออกมาเบาๆ พลางก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้าทันที ท่ามกลางเสียงเรียกร้องเรียกของคุณปู่ฟูหัว “คุณหนู! คุณหนูจะไปไหนขอรับ” “ไปตำหนักจันทรา” เธอตอบกลับมาเสียงเบา “คุณหนูอยากไปที่ตำหนักจันทราอย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวขอดูก่อนนะขอรับว่าได้เอาลูกกุญแจสำหรับไขปลดล็อกโซ่หน้าประตูอยู่ในพวงนี้ด้วยหรือเปล่า” ชายชรากล่าวพร้อมรีบยกพวงกุญแจที่อยู่ในมือค้นหาลูกกุญแจดังกล่าวทันที “คุณปู่หาไปก่อนก็แล้วกันนะคะ ชิงเชียงขอเดินไปก่อนล่วงหน้า อยากจะดูตำหนักจันทราใกล้ๆ” หญิงสาวตอบกลับไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย “รอเดี๋ยวเดียวขอรับคุณหนู อย่าเดินไปคนเดียวตำหนักนั้นไม่ได้เปิดมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายถูกเปิดเข้าไปทำความสะอาดวันที่คุณหนูเกิดและหลังจากนั้นก็ไม่สามารถเปิดได้อีกเลย ไม่ว่าจะพยายามเปิดเท่าไรก็ไม่ออก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร” ชายชราอธิบายพลางค้นหากุญแจจ้าละหวั่น “ไม่เป็นไรค่ะคุณปู่ ชิงเชียงขอดูแค่หน้าประตูก็ได้” หญิงสาวพูดพร้อมก้าวเดินตรงไปยังสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าโดยมิฟังคำทัดทานจากผู้สูงวัยอีกเลย “คุณหนูขอรับอย่าเดินไปคนเดียว รอก่อนขอรับ! คุณหนู!”แคว้นฉินบัดนี้ข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทฉินเสวียนกงแห่งแคว้นฉิน พระโอรสองค์ใหญ่ของฉินอ๋อง เจ้าผู้ครองแคว้น แพร่สะพัดข่าวร้ายดั่งกล่าวไปทั่วทุกสารทิศ ชาวเมืองฉินต่างไว้ทุกข์และอาลัยในการสิ้นพระชนม์ให้ กับองค์รัชทายาทกันทุกครัวเรือน ภายในพระราชวังหลวงแห่งเมืองเสียนหยางล้วนแล้วมีแต่เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทุกพื้นที่ เสียงร่ำไห้แทบขาดใจในการจากไปอย่างไม่คาดฝันขององค์รัชทายาท ด้วยฝีมือนักฆ่าที่แอบลักลอบปะปนเข้ามาในพระราชวังหลวง เสียงสะอื้นจากพระชายาทั้งสี่และเหล่าพระสนมยี่สิบกว่าพระองค์ รวมไปถึงพระโอรสและพระธิดาต่างร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเลยทีเดียว พระสนมหลายพระองค์กำลังตั้งพระครรภ์ใกล้มีพระประสูติกาล กลับต้องกำพร้าพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก ฉินอ๋องทรงประกาศยกเลิกงานพิธีเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของพระองค์ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า ซึ่งเคยจัดอย่างต่อเนื่องมาทุกปี เนื่องด้วยแคว้นฉินอยู่ในระหว่างไว้อาลัยให้กับองค์รัชทายาทผู้ล่วงลับ จึงยกเลิกงานมงคลทุกชนิดไปก่อนเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้นจะม
ยุคอดีต แค้วนฟ่าน ภายในพระราชวังหลวงเสวี่ยหลง (พระราชวังมังกรหิมะ) แคว้นฟ่าน ตั้งอยู่ทางทิศทิศเหนือติดกับทะเลเหลือง มีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับแคว้นเว่ยและทิศตะวันตกติดกับติดกับแคว้นเหยี่ยน ส่วนทิศเหนือและทิศตะวันออกติดกับมองโกเลียเช่นเดียวกับแคว้นเหยี่ยน จึงทำให้ทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกันมาอย่างช้านาน ถ้อยทีถ้อยอาศัยเพราะต่างเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากแคว้นอื่นๆ ด้วยกันทั้งคู่ เจ้าผู้ครองแคว้น มีพระนามว่าฟ่านซานกง พระนามเดิมก่อนขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นคือเฉิงเหลย มีพระราชโอรสและพระราชธิดาซึ่งประสูติจากอู๋ฮองเฮาพระนามเดิมคืออู๋หยู่เหยียนด้วยกันห้าพระองค์ เป็นพระโอรสสี่พระองค์และมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น องค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองแคว้นต่อจากฟ่านอ๋องมีพระนามว่าองค์ชายยิงเจีย ในเวลานี้ข่าวสารจากแคว้นฉินได้แพร่สะพัดมาไกลถึงแคว้นฟ่านแล้ว สายข่าวที่ส่งไปแทร
ในขณะเดียวกันท่านเจ้าสัวกำลังเดินตรงไปยังห้องนิรภัยที่เก็บวัตถุโบราณล้ำค่าของตระกูลฟ่าน ซึ่งทำขึ้นเพื่อป้องกันมิให้โจรเข้ามาขโมยสมบัติล้ำค่าของตระกูลฟ่าน ซึ่งตกทอดมาอย่างยาวนานนับรุ่นต่อรุ่น ผู้นำตระกูลฟ่านรุ่นก่อนจะเก็บเอาไว้ที่เรือนตะวันออก พอมาถึงรุ่นปัจจุบันซึ่งฟ่านเต๋อหมิงเป็นผู้นำตระกูล จึงมีคำสั่งให้เจาะทะลุเชื่อมต่อกับเรือนฝั่งทางทิศเหนือจนถึงห้องหนังสือซึ่งท่านเจ้าสัวใช้เป็นห้องทำงาน และทางเข้าจะมีทางเดียวเท่านั้นคือภายในห้องหนังสือนั่นเอง โดยห้องนิรภัยดังกล่าวถูกออกแบบไว้หลังตู้หนังสือนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อเก็บวัตถุโบราณเหล่านั้นให้ปลอดภัยจากสายตาและผู้คนร่างสูงใหญ่ของฟ่านเต๋อหมิงบัดนี้มาอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัวของตน ทั้งห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงเท่าเพดานห้อง ภายในนั้นมีหนังสือนานาชนิดรวมแล้วเป็นพันเล่มเลยทีเดียว ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าชั้นหนังสือซึ่งเก็บเฉพาะหนังสือโบราณเท่านั้นมีตู้กระจกนิรภัยป้องกันคนหยิบหรือขโมยโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะสแกนลายนิ้วมือด้วยหัวแม่มือเพื่อเปิดบานกระจกดังกล่าว“ติ๊ด!” เสียงสัญญาณสแกน
ยุคปัจจุบัน บริเวณหน้าพระตำหนักจันทรา ร่างงามของชิงเชียงบัดนี้ได้กลับคืนสู่ยุคปัจจุบัน ชิงเชียงในฉลองพระองค์ของราชสำนักจากแคว้นฉินในสมัยโบราณเต็มพระยศสมกับเป็นองค์หญิงจากแคว้นฟ่านคู่อภิเษกขององค์ชายอิ๋งไค่หรือฉินเสวี้ยนกงผู้ปราดเปรื่อง เมื่อสมัยสามพันกว่าปีก่อน หญิงสาวนอนหายใจรวยริน ด้วยถูกพิษหมื่นบุปผาที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ผสมกับบาดแผลที่เกิดจากมีดสั้นปักอยู่กลางหลังของเธอจนมิดด้าม เลือดแดงฉานยังคงไหลนองไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แสงไฟจากสปอร์ตไลต์เริ่มทำงานขึ้นมาทันใด ด้วยเวลานี้ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มมืดลงไปทุกขณะ พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้วกำลังเข้าสู่ยามค่ำในห้วงเวลาของยุคปัจจุบัน แสงสว่างจากสปอร์ตไลต์สาดแสงไปทั่วบริเวณจนสามารถเห็นทุกอย่างในค่ำคืน ทีมค้นหาได้พากันกลับไปหมดแล้ว เพราะตลอดสามนที่ผ่านมาทั้งตำรวจและทีมค้นหาที่ท่านเจ้าสัวจ้างมาเป็นพิเศษช่วยเสริมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ต่างพากันค้นหาคุณหนูคนงามของตระกูลฟ่าน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีหยุดหย่อน
“ชิงเชียง!!!” องค์ชายรองตะโกนเพรียกหาโฉมงามไล่หลัง “อิ๋งไค่!” สุรเสียงของฉินอ๋องรับสั่งอยู่เบื้องหลังของพระโอรส พระองค์หันกลับมาทันทีที่ได้ยินสุรเสียง “พระบิดา!” พระองค์รับสั่งสุรเสียงเต็มไปด้วยความอิดโรย องค์ชายรูปงามในยามนี้ทรงเสียพระโลหิตซ้ำแล้วซ้ำอีก บาดแผลเก่ายังมิทันจางหาย บาดแผลใหม่ก็พลันบังเกิดขึ้น จนเหวอะหวะไปทั่วพระวรกาย ฉลองพระองค์สีขาวเต็มไปด้วยพระโลหิตแดงฉานเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของพระบิดาดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง “ชวีฟู่เป็นเยี่ยงไรบ้าง” ฉินอ๋องรับสั่งหาพระโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งมีพระนามเดิมว่าอิ๋งชวีฟู่ ก่อนจะเหลือบพระเนตรไปที่ศาลากลางน้ำซึ่งองค์ชายใหญ่กำลังทรงยืนอยู่ พระเนตรคมของฉินอ๋องจับอยู่ที่พระโอรสองค์ใหญ่ที่ยืนนิ่งประหนึ่งหินผา ทั่วพระวรกายเขียวคล้ำ พระโลหิตไหลออกตามทวารทั้งเจ็ดสิ้นพระชนม์โดยไม่รู้พระองค์เสียด้วยซ้ำ ในท่าที่ทรงยืนสูดกลิ่นหอมจากดอกเบญจมาศทองคำ ลักษณะดังกล่าวทำให้ล่วงรู้โดยพลันว่า บัด
ในขณะเดียวกันบนสะพานในเวลานี้กลุ่มนักฆ่ากำลังต่อสู้กับองค์ชายฉินเสวี้ยนกงผู้ปราดเปรื่อง แบบหมาหมู่สิลรุมหนึ่ง นักฆ่าทั้งสิบล้วนถูกส่งมาจากห้าแคว้นใหญ่โดยมีกั๋วปัวชิน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากแคว้นฉี เป็นหัวหน้านักฆ่าที่คัดยอดฝีมือมาจากแคว้นเว่ย แคว้นจ้าว แคว้นหาน แคว้นฉู่มาแคว้นละสองคน และมาจากแคว้นฉีสองคน รวมกั๋วปัวชินด้วยเป็นสิบเอ็ดคน ทั้งนี้เพื่อรับงานปลงพระชนม์องค์ชายทั้งสองของแคว้นฉิน แต่นักฆ่าจากแคว้นหานได้จบชีวิตลงด้วยฝีมือของชิงเชียงไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา จึงเหลือเพียงสิบคนเท่านั้น“ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!” เสียงคมดาบเฉือนเนื้อหนังจนเหวอะหวะองค์ชายรองเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมดาบหลายแห่งบนพระวรกาย แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มนักฆ่าก็พลาดพลั้งเสียทีสังเวยหัวของตนให้แก่คมดาบพระองค์“ฉัวะ! ฉัวะ!” คมดาบฟันลงที่คอของนักฆ่าจากแคว้นเว่ยก่อนตวัดเพียงฉับเดียวหัวขาดกระเด็น ลอยละลิ่วตกลงไปในสระน้ำทันที“ตูมมมม!!!” หัวของนักฆ่าคนดังกล่าวจมดิ่งลงใต้สระน้ำ ท่ามกลางสายตาของบรรดานักฆ่าที่เหลือ&l