Share

ตอนที่ 9 เรือนโบราณ 1.2

last update Last Updated: 2025-08-05 21:06:57

บริเวณตำหนักจันทรา

 ปลายเท้าเรียวสวยซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวพาร่างงามระหงก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้า ช่วงขาเรียวยาวค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดหินทีละขั้น สายตามองตรงไปที่สิ่งก่อสร้างตาไม่กะพริบก่อนจะหยุดยืนมองมิก้าวเดินต่อไปอีก เมื่อเธอก้าวขึ้นบันไดมาถึงขั้นสุดท้ายพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจน

“เหมือน... เหมือนที่ฝันเห็นไม่มีผิดเพี้ยนเลย เป็นไปได้ยังไงกันนี่... นี่เราฝันไปหรือเปล่า” เธอพูดพร้อมใช้นิ้วเรียวหยิกเข้าที่ต้นแขนตัวเองอย่างแรง

           “โอะ... โอ๊ยยย! ไม่ฝันแฮะ... เราไม่ได้หลับ กำลังตื่นอยู่ ตำหนักจันทรามีอยู่จริงๆ สถานที่ที่เราฝันเห็นมาตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในบ้านของตัวเองที่ประเทศจีน ไม่อยากจะเชื่อเลย” หญิงสาวรำพึงรำพัน 

ดวงตาจ้องไปที่ป้ายชื่อขนาดใหญ่ติดอยู่เหนือขอบประตู แลดูเก่าแก่แต่ยังคงสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ เท้าทั้งสองรีบก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 

 ทันใดนั้นเอง

           “เหวออออ!!!” หญิงสาวสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้น จนทำให้ร่างงามเซซัดเซซ้ายไปมา

           “หมับ!” หากแต่มิทันจะล้มหัวคะมำลงกับพื้นพลันมีมือหนารวบเอวบางของเธอเอาไว้ทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที 

           ร่างอรชรตกอยู่ในวงแขนอันแข็งแกร่ง ร่างน้อยๆ ห้อยศีรษะไปมาอยู่เช่นนั้นเกือบจะล้มลงไปกับพื้นดินอย่างฉิวเฉียดเลยทีเดียว

           “โอ๊ยยย! เกือบไปแล้วเชียว” หญิงสาวพึมพำเบาๆ พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

           “เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าชิงเชียง” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยกับเธออยู่ทางเบื้องหลัง และนั่นเป็นเหตุให้ร่างอรชรหันกลับไปมองต้นเสียงที่พูดกับเธอทันทีเมื่อเจ้าหล่อนจดจำเสียงดังกล่าวได้เป็นอย่างดี พร้อมกับดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นคนที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ

           “คุณ!” ริณรณีย์เอ่ยสรรพนามของบุคคลตรงหน้าได้เพียงแค่นั้น 

สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของผู้ชายตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นในระยะใกล้ชิดอีกเป็นครั้งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกัน

           “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า... บอกข้าสิ” เสียงที่แฝงเร้นด้วยอำนาจเอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

           “มะ... ไม่... ไม่เจ็บ... ไม่เจ็บเลยค่ะ” คนงามตอบกลับไปอึกๆ อักๆ 

ดวงตากลมโตยังคงมองใบหน้าหล่อคมดั่งดาราหนังเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ฝันไป แต่แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมา

           “คุณหนู... คุณหนูขอรับ... คุณหนูชิงเชียง!!!” เสียงของคุณปู่ฟูหัวตะโกนร้องเรียกหาเธอ

           ร่างอรชรที่ยืนเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศในท่าคล้ายกำลังถูกประคองจากทางด้านหลังกลับล้มหัวคะมำลงไปที่พื้นดินทันที

           “อั้ยย่ะ! อั้ยย่ะ! ตุ้บ!”เธอเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจพร้อมร่างระหงเซถลาลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นตามด้วยเสียงร้องโอดโอย

           “อู๊ยยย... เจ็บจัง...” คนงามบ่นกระปอดกระแปดพร้อมกับร่างสันทัดของชายชรามาเห็นคุณหนูของตนล้มหัวคะมำลงไปกับพื้นเข้าให้พอดี

           “คุณหนู!” ร่างสันทัดตรงดิ่งเข้าไปประคองร่างอรชรให้ลุกขึ้นจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว

           “บอกแล้วว่าอย่าเดินมาตามลำพัง บริเวณนี้ไม่ได้เทพื้นปูน คงสภาพเมื่อครั้งอดีตไว้ทุกประการ พื้นดินแถวนี้จึงไม่เรียบเตียนเหมือนเรือนฝั่งเหนือ ดูสิขอรับ หกล้มมีแผลถลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณปู่ฟูหัวบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคุณหนูคนสวยกำลังมองหน้าตนเองตาไม่ระพริบ

           “คุณปู่คะ... เมื่อกี้เห็นใครอยู่กับชิงเชียงไหม เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ สูงสักประมาณร้อยเก้าสิบน่าจะได้ เมื่อกี้เขารับชิงเชียงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้น”

           คำกล่าวของคุณหนูคนงามทำให้ชายชราขมวดคิ้วขาวเข้าหากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น

           “คุณหนูเห็นผู้ชายอยู่ในบริเวณนี้อย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะมีผู้ชายเล็ดลอดเข้ามา เพราะกำแพงด้านนอกที่ล้อมบ้านตระกูลฟ่าน ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันขโมยอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน จะมีก็แค่บ่าวไพร่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นวัยกลางคนและแก่ชราเหมือนกระผมนี่แหละ และที่สำคัญเรือนโบราณฝั่งตะวันออกมีผู้ชายแค่คนเดียวก็คือกระผมนะ”

           คนสวยนิ่งงันไปเลยทีเดียวเมื่อได้ยินชายชราที่คอยดูแลบ้านตระกูลฟ่านมานานนับหลายสิบปีอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

           “เอื๊อก!!!” ชิงเชียงค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ 

               “แล้วเมื่อกี้ทำไมเราถึงได้เห็นเขาคนนั้น เราตาฝาดไปเองอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ... ไม่สิก็เห็นชัดๆ เต็มสองตาเลย” เธอบ่นพึมพำอยู่คนเดียวท่ามกลางสายตาของชายชรา

           “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ จู่ๆ ก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียวว่าตาฝาดแต่เห็นชัดๆ ฟังแล้วงง” ผู้สูงวัยถามกลับไปด้วยความสงสัยทำให้ใบหน้าสวยค่อยๆ ฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมา

           “ปะ... เปล่า... ค่ะคุณปู่ ชิงเชียงแค่บ่นให้กับตัวเองว่าคงตาฝาดเห็นอะไรก็เท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมค่อยๆ ลากขาเรียวเพื่อชันเข่าขึ้น

 แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อรองเท้าผ้าใบของเธอสัมผัสถูกกับอะไรบางอย่างจากพื้นดิน ปลายเท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวค่อยๆ กวาดดินและใบไม้ออก ก่อนจะเห็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากเหนือพื้นดิน คล้ายมีของบางอย่างถูกฝังอยู่ด้านล่าง 

 ร่างงามรีบลุกขึ้นนั่งพลางใช้มือเรียวค่อยๆ กวาดใบไม้และดินออกไปจนหมดจนเห็นชิ้นส่วนที่โผล่ขึ้นมาจากเหนือดินตรงหน้า คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ

           “อะไรเนี่ย มีลวดลายด้วย เครื่องปั้นดินเผาอย่างนั้นเหรอ” ครั้นคิดได้เช่นนั้น ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้างขึ้นมาทันใดก่อนจะรีบมองหาอุปกรณ์ที่สามารถขุดลงไปในดินได้

           “มีอะไรเหรอครับคุณหนู” ฟูหัวเอ่ยถามพร้อมก้มลงสังเกตพื้นดินตรงหน้า

           “มีอะไรฝังอยู่ในดินตรงขาของชิงเชียงค่ะคุณปู่ มีอะไรขุดไหมคะ... อยากรู้ว่ามันคืออะไร” หญิงสาวบอกความต้องการของเธอกลับไปทันที

           “อ่อ... มีครับ มีชุดทำสวนอยู่ที่ห้องเก็บของติดกับกำแพง คุณหนูรอสักครู่ เดี๋ยวกระผมจะไปเอามาให้... แล้วอย่าเพิ่งเดินไปไหนนะขอรับ เดี๋ยวจะหกล้มหรือโดนอะไรขึ้นมาอีก” ชายชราเอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน

           “ค่ะคุณปู่ ชิงเชียงจะไม่เดินไปไหนเลยค่ะ จะรออยู่ตรงนี้แหละ” หญิงสาวชูสองนิ้วให้สัญญา

           ชายชราได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมลุกขึ้นยืน พลางรีบก้าวเดินกลับไปทางเดิมเพื่อนำเครื่องมือทำสวนมาให้คุณหนูของตน

           ชิงเชียงก้มลงมองวัตถุที่โผล่พ้นมาจากพื้นดิน พลางใช้มือเรียวค่อยๆ เกลี่ยดินบริเวณนั้นออกจนเผยให้เห็นรูปร่างคร่าวๆ ของวัตถุตรงหน้า

           “มีลวดลายแกะสลักด้วย หน้าตาคล้ายมังกรเลย” ดวงตากลมโตจดๆ จ้องๆ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ

           เพียงครู่ร่างสันทัดของชายชราก็กลับมาพร้อมกับเสียมยาวและเสียมสั้นอย่างละอัน พลางทรุดนั่งลงกับพื้นดินตรงหน้า

           “คุณหนูลุกออกจากบริเวณนี้ก่อนขอรับ... เดี๋ยวเศษดินจะเปื้อนเสื้อ ผ้าเอาได้” ชายชราบอกคุณหนูของตน

           คุณหนูคนงามลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่าง่ายพลางถอยออกมายืนห่างๆ เฝ้ามองคุณปู่ฟูหัวใช้เสียมยาวลงมือขุดสิ่งที่ฝังอยู่ในดินตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

           เพียงไม่นานหน้าดินตรงหน้าเธอถูกขุดลงไปอยู่ในระดับลึกเท่าข้อ ศอก เผยให้เห็นสิ่งที่คล้ายเครื่องปั้นดินเผามีลวดลายสลักเป็นมังกร รูปร่างคล้ายระฆังซึ่งทำมาจากดินเผา ก่อนจะถูกมือเหี่ยวย่นของคุณปู่หยิบขึ้นมาพร้อมชูขึ้นเหนือพื้นด้วยความแปลกใจ 

           “กระดิ่งลม!” เสียงของหญิงสาวและชายชราเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน 

           “ทำไมถึงมีกระดิ่งลมมาฝังไว้ในดินแบบนี้ล่ะคะคุณปู่... แปลกจัง” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ มือเรียวสวยค่อยๆ ยื่นไปรับจากชายชราก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณารูปร่างอย่างละเอียด

           “คิดว่าคงจะเป็นกระดิ่งลมที่แขวนไว้เพื่อสังเกตทิศทางลมในสมัยโบราณมากกว่าจะใช้เป็นฮวงจุ้ยนะขอรับ” ชายชราเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมาจากรูปพรรณสัณฐานที่เพิ่งขุดพบ และนั่นทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทันที

           “ทำไมคุณปู่ถึงมั่นใจว่าเป็นกระดิ่งลมเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมแทนที่จะใช้เป็นฮวงจุ้ยล่ะคะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าไอ้เจ้านี่อยู่ในสมัยโบราณ” คนงามถามกลับไปด้วยความสงสัย

           กงฟูหัวคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อคุณหนูคนสวยเอ่ยถามเช่นนั้น

           “สังเกตไม่ยากหรอกคุณหนูชิงเชียง สิ่งของที่ทำขึ้นในสมัยโบราณยุคก่อนรวมแผ่นดินหรือหลังแผ่นดิน สังเกตจากเครื่องใช้ต่างๆ นี่แหละ ถ้ายุคก่อนรวมแผ่นดินเครื่องใช้มักจะทำจากดินเผา ไม้ เปลือกหอย ทองแดงและทอง จากที่สังเกตกระดิ่งลมนี้ทำมาจากดินเผาแกะสลักลวดลายเป็นมังกร แสดงว่าเป็นเครื่องใช้ภายในราชวงศ์ก่อนรวมแผ่นดิน กระดิ่งลมในสมัยนั้นจึงไม่ได้นำมาใช้เพื่อศาสตร์ฮวงจุ้ยแต่ใช้เพื่อคอยสังเกตทิศทางลม”

           คำอธิบายอย่างละเอียดของคุณปู่ทำให้คนงามยืนอึ้งไปทันที 

           “โอ้โห! คนปู่จับสังเกตและล่วงรู้อายุของชิ้นนี้เลยเหรอคะ เท่ากับว่ากระดิ่งลมที่อยู่ในมือของชิงเชียงมีอายุเก่าแก่ตั้งสามพันกว่าปีเลยอย่างนั้นเหรอ”

           ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับสิ่งที่คุณหนูคนสวยกล่าวออกมา

           “คุณหนูส่งกระดิ่งลมมาเถอะขอรับ เดี๋ยวจะเอาไปทำความสะอาดและจะได้นำไปเก็บไว้ในห้องวัตถุโบราณที่เรือนตะวันออก” ชายชรากล่าวพร้อมเอื้อมมือหมายจะรับสิ่งที่อยู่ในมือของคุณหนู 

           หากแต่หญิงสาวเบี่ยงตัวหนีอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยขึ้น

               “ชิงเชียงขอเก็บเอาไปศึกษาก่อนนะคะคุณปู่ ส่วนเรื่องทำความสะอาดเดี๋ยวจะทำเอง ศึกษาเสร็จแล้วจะเอามาคืนให้ค่ะ อยากรู้ว่าลวดลายมังกรที่แกะสลักมีลักษณะยังไงบ้าง” หญิงสาวบอกความต้องการของเธอออกไป

           “เอาแบบนั้นก็ได้ขอรับ คุณหนูศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อไรก็บอกได้เลยตลอดเวลา จะได้ให้เด็กๆ ลงบันทึกในรายการวัตถุโบราณที่ขุดพบในบริเวณบ้านทำเป็นบัญชีให้นายท่านได้รู้”

           “โอ้โห! ถึงขนาดต้องทำรายการบัญชี แสดงว่าภายในบริเวณนี้ขุดเจอของโบราณอยู่บ่อยๆ อย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

           “ก็ขุดพบบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้านับรวมระยะเวลาอันยาว นานที่ผ่านมา ก็มากพอสมควร” กงฟูหัวตอบกลับไปตามความเป็นจริง

           หญิงสาวเอียงคอมองทันทีครั้นมีความรู้สึกสงสัยอย่างยิ่งยวด

           “วัตถุโบราณขุดเจอภายในบ้านมากขนาดนี้ น่าแปลกมากเลยนะคะที่รักษามาได้นับรุ่นต่อรุ่นมาอย่างยาวนานแบบนี้ไม่อยากจะเชื่อเลย”

           “การให้สัจจะและความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ผู้นำทุกรุ่นของตระกูลฟ่านให้ปฏิญาณเอาไว้เมื่อถูกมอบหมายให้เป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่ชาวจีนทุกคนยึดถือและปฏิบัติมาอย่างยาวนานนับหลายพันปีและตระกูลฟ่านก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่รักษาสัจจะยิ่งชีพเลยขอรับ”

           ชิงเชียงพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อเธอเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสตรงหน้าอธิบาย ก่อนจะได้ยินชายชราเอ่ยขึ้น

           “นี่ก็ใกล้เที่ยงวันแล้ว คุณหนูหิวหรือยังขอรับ จะได้โทรบอกให้บ่าวไพร่จัดอาหารกลางวันพร้อมของว่างเตรียมไว้รอ คุณหนูกลับไปจะได้ทานเลย”

           หญิงสาวยืนครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้นมาทันที

           “จัดอาหารและของว่างเยอะๆ เอามาทานกลางวันในนี้ดีกว่าค่ะ ชิงเชียงขี้เกียจเดินกลับไปกลับมา นั่งทานกับพื้นในที่ร่มๆ และชมดอกโบตั๋นไปด้วย คงจะฟินน่าดูเลย” หญิงสาวพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำท่าฟินอยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของผู้สูงวัย

           “เดี๋ยวจะโทรสั่งบ่าวไพร่ให้จัดการตามที่สั่งทุกอย่าง คุณหนูอยู่คนเดียวสักครู่นะ เดี๋ยวจะเดินกลับไปดูความเรียบร้อยไม่เกินครึ่งชั่วโมงอาหารกลางวันเตรียมพร้อมเสิร์ฟให้คุณหนู ณ ตำหนักจันทราขอรับ”

           “คร้า... ขอบคุณค่ะคุณปู่” หญิงสาวลากเสียงยาวพร้อมรับคำ 

           ชายชรายิ้มบางๆ พลางหันหลังกลับเดินตรงไปทางบ้านฝั่งทางทิศเหนือเพื่อเตรียมอาหารกลางวันโดยมีดวงตากลมโตคู่สวยของชิงเชียงมองตามหลังจนลับสายตา

           ร่างงามค่อยๆ หันกลับไปมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้า ก่อนจะมองเลยไปตรงชายคาประตูที่มีชานยื่นออกมา พร้อมสังเกตเห็นมีไม้รูปร่างคล้ายตะขออยู่ตรงซ้ายขวาของประตู ราวกับว่าใช้แขวนอะไรบางอย่าง

           “เอาแขวนไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกันอยู่สูงดี คนโบราณเขาชอบแขวนกระดิ่งลมเพื่อสังเกตทิศทางลมและยังเสริมเป็นฮวงจุ้ยที่ดีให้กับบ้านอีกด้วย อยากฟังเสียงเหมือนกันว่าพอกระทบกับลมแล้วเสียงจะดังออกมาแบบไหน”

ริณรณีย์พูดพร้อมยกกระดิ่งลมที่อยู่ในมือของเธอขึ้นไปแขวนกับตะขอซึ่งยื่นออกมาจากชายคาของประตูโดยไม่รู้เลยว่าเป็นตำแหน่งเดียวกันกับกระดิ่งลมที่ถูกแคว้นเอาไว้ในอดีตกาลเช่นเดียวกัน

           ทันใดนั้นเอง

           “ฟิ้วววว!!!!” สายลมอ่อนๆ บังเกิดขึ้นโดยพลัน

           “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!”

 กระดิ่งลมที่เพิ่งนำมาแขวนที่ชานระเบียงหน้าประตูพลิ้วไหวไปมาครั้นเมื่อต้องสายลมพาดผ่าน ส่งเสียงกังวานไพเราะเสนาะหูขึ้นมาทันใด และรวมไปถึงกลิ่นหอมรัญจวนของเหล่าดอกโบตั๋นพลันฟุ้งกระจายตลบอบอวลขึ้นมาทันที พร้อมกับไอขาวคล้ายสายหมอกค่อยๆ ปรากฏขึ้นทันใด ก่อนจะเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ และบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของริณรณีย์

 โซ่ขนาดใหญ่ที่คล้องประตูตรงหน้าตำหนักเมื่อครู่ พลันเลือนหายไปชั่วพริบตา

 “แอ๊ดด!!!” เสียงประตูตรงหน้าที่ปิดตายมาเป็นเวลานานพลันดังขึ้นทันใด

 ประตูที่ถูกปิดตายมานานกว่ายี่สิบเอ็ดปีค่อยๆ เปิดออกกว้างอย่างช้าๆ ทั้งๆ ที่กงฟูหัวบอกว่าไม่สามารถเปิดออกได้มานานมากแล้ว เบื้องหน้าประตูเปิดออกด้วยตัวเองเผยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในท่ามกลางอาการตกตะลึงของสาวเจ้า

 “โอ้โห! ข้างในนี้สวยจัง... ทำไมคุณปู่ถึงบอกว่าถูกปิดตายล่ะ สภาพแบบนี้มีคนอยู่ชัดๆ และต้องคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาแน่ๆ สะอาดสะอ้านซะขนาดนี้” เธอกล่าวชื่นชมไม่ขาดปาก 

 เท้าที่ยืนอยู่นอกเขตประตูค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อก้าวข้ามธรณีประตูพาร่างงามแทรกสายหมอกที่กำลังปกคลุมไปทั่วบริเวณเข้าไปข้างใน โดยมิรู้ตัวเลยว่ากำลังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นกับชีวิตของเธอ 

 เพราะทันทีที่กระดิ่งลมถูกนำมาแขวนไว้ที่เดิมตรงหน้าประตูตำหนักจันทรา มิติแห่งกาลเวลาจากแรงรักแรงคิดถึงของบุรุษในอดีตกาลและทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยดำรงอยู่ในอดีตและในปัจจุบันได้กลับมาอยู่ในจุดเดียวกัน ส่งผลให้ประตูตำหนักจันทราเกิดมิติห้วงเวลาของยุคอดีตกาลบังเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

 “ชิงเชียง!!!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 33 สาหัสสากรรจ์ 1.4

    แคว้นฉินบัดนี้ข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทฉินเสวียนกงแห่งแคว้นฉิน พระโอรสองค์ใหญ่ของฉินอ๋อง เจ้าผู้ครองแคว้น แพร่สะพัดข่าวร้ายดั่งกล่าวไปทั่วทุกสารทิศ ชาวเมืองฉินต่างไว้ทุกข์และอาลัยในการสิ้นพระชนม์ให้ กับองค์รัชทายาทกันทุกครัวเรือน ภายในพระราชวังหลวงแห่งเมืองเสียนหยางล้วนแล้วมีแต่เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทุกพื้นที่ เสียงร่ำไห้แทบขาดใจในการจากไปอย่างไม่คาดฝันขององค์รัชทายาท ด้วยฝีมือนักฆ่าที่แอบลักลอบปะปนเข้ามาในพระราชวังหลวง เสียงสะอื้นจากพระชายาทั้งสี่และเหล่าพระสนมยี่สิบกว่าพระองค์ รวมไปถึงพระโอรสและพระธิดาต่างร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเลยทีเดียว พระสนมหลายพระองค์กำลังตั้งพระครรภ์ใกล้มีพระประสูติกาล กลับต้องกำพร้าพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก ฉินอ๋องทรงประกาศยกเลิกงานพิธีเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของพระองค์ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า ซึ่งเคยจัดอย่างต่อเนื่องมาทุกปี เนื่องด้วยแคว้นฉินอยู่ในระหว่างไว้อาลัยให้กับองค์รัชทายาทผู้ล่วงลับ จึงยกเลิกงานมงคลทุกชนิดไปก่อนเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้นจะม

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 32 สาหัสสากรรจ์ 1.3

    ยุคอดีต แค้วนฟ่าน ภายในพระราชวังหลวงเสวี่ยหลง (พระราชวังมังกรหิมะ) แคว้นฟ่าน ตั้งอยู่ทางทิศทิศเหนือติดกับทะเลเหลือง มีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับแคว้นเว่ยและทิศตะวันตกติดกับติดกับแคว้นเหยี่ยน ส่วนทิศเหนือและทิศตะวันออกติดกับมองโกเลียเช่นเดียวกับแคว้นเหยี่ยน จึงทำให้ทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกันมาอย่างช้านาน ถ้อยทีถ้อยอาศัยเพราะต่างเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากแคว้นอื่นๆ ด้วยกันทั้งคู่ เจ้าผู้ครองแคว้น มีพระนามว่าฟ่านซานกง พระนามเดิมก่อนขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นคือเฉิงเหลย มีพระราชโอรสและพระราชธิดาซึ่งประสูติจากอู๋ฮองเฮาพระนามเดิมคืออู๋หยู่เหยียนด้วยกันห้าพระองค์ เป็นพระโอรสสี่พระองค์และมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น องค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองแคว้นต่อจากฟ่านอ๋องมีพระนามว่าองค์ชายยิงเจีย ในเวลานี้ข่าวสารจากแคว้นฉินได้แพร่สะพัดมาไกลถึงแคว้นฟ่านแล้ว สายข่าวที่ส่งไปแทร

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 31 สาหัสสากรรจ์ 1.2

    ในขณะเดียวกันท่านเจ้าสัวกำลังเดินตรงไปยังห้องนิรภัยที่เก็บวัตถุโบราณล้ำค่าของตระกูลฟ่าน ซึ่งทำขึ้นเพื่อป้องกันมิให้โจรเข้ามาขโมยสมบัติล้ำค่าของตระกูลฟ่าน ซึ่งตกทอดมาอย่างยาวนานนับรุ่นต่อรุ่น ผู้นำตระกูลฟ่านรุ่นก่อนจะเก็บเอาไว้ที่เรือนตะวันออก พอมาถึงรุ่นปัจจุบันซึ่งฟ่านเต๋อหมิงเป็นผู้นำตระกูล จึงมีคำสั่งให้เจาะทะลุเชื่อมต่อกับเรือนฝั่งทางทิศเหนือจนถึงห้องหนังสือซึ่งท่านเจ้าสัวใช้เป็นห้องทำงาน และทางเข้าจะมีทางเดียวเท่านั้นคือภายในห้องหนังสือนั่นเอง โดยห้องนิรภัยดังกล่าวถูกออกแบบไว้หลังตู้หนังสือนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อเก็บวัตถุโบราณเหล่านั้นให้ปลอดภัยจากสายตาและผู้คนร่างสูงใหญ่ของฟ่านเต๋อหมิงบัดนี้มาอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัวของตน ทั้งห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงเท่าเพดานห้อง ภายในนั้นมีหนังสือนานาชนิดรวมแล้วเป็นพันเล่มเลยทีเดียว ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าชั้นหนังสือซึ่งเก็บเฉพาะหนังสือโบราณเท่านั้นมีตู้กระจกนิรภัยป้องกันคนหยิบหรือขโมยโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะสแกนลายนิ้วมือด้วยหัวแม่มือเพื่อเปิดบานกระจกดังกล่าว“ติ๊ด!” เสียงสัญญาณสแกน

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 30 สาหัสสากรรจ์ 1.1

    ยุคปัจจุบัน บริเวณหน้าพระตำหนักจันทรา ร่างงามของชิงเชียงบัดนี้ได้กลับคืนสู่ยุคปัจจุบัน ชิงเชียงในฉลองพระองค์ของราชสำนักจากแคว้นฉินในสมัยโบราณเต็มพระยศสมกับเป็นองค์หญิงจากแคว้นฟ่านคู่อภิเษกขององค์ชายอิ๋งไค่หรือฉินเสวี้ยนกงผู้ปราดเปรื่อง เมื่อสมัยสามพันกว่าปีก่อน หญิงสาวนอนหายใจรวยริน ด้วยถูกพิษหมื่นบุปผาที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ผสมกับบาดแผลที่เกิดจากมีดสั้นปักอยู่กลางหลังของเธอจนมิดด้าม เลือดแดงฉานยังคงไหลนองไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แสงไฟจากสปอร์ตไลต์เริ่มทำงานขึ้นมาทันใด ด้วยเวลานี้ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มมืดลงไปทุกขณะ พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้วกำลังเข้าสู่ยามค่ำในห้วงเวลาของยุคปัจจุบัน แสงสว่างจากสปอร์ตไลต์สาดแสงไปทั่วบริเวณจนสามารถเห็นทุกอย่างในค่ำคืน ทีมค้นหาได้พากันกลับไปหมดแล้ว เพราะตลอดสามนที่ผ่านมาทั้งตำรวจและทีมค้นหาที่ท่านเจ้าสัวจ้างมาเป็นพิเศษช่วยเสริมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ต่างพากันค้นหาคุณหนูคนงามของตระกูลฟ่าน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีหยุดหย่อน

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 29 หัวใจถูกพราก 1.3

    “ชิงเชียง!!!” องค์ชายรองตะโกนเพรียกหาโฉมงามไล่หลัง “อิ๋งไค่!” สุรเสียงของฉินอ๋องรับสั่งอยู่เบื้องหลังของพระโอรส พระองค์หันกลับมาทันทีที่ได้ยินสุรเสียง “พระบิดา!” พระองค์รับสั่งสุรเสียงเต็มไปด้วยความอิดโรย องค์ชายรูปงามในยามนี้ทรงเสียพระโลหิตซ้ำแล้วซ้ำอีก บาดแผลเก่ายังมิทันจางหาย บาดแผลใหม่ก็พลันบังเกิดขึ้น จนเหวอะหวะไปทั่วพระวรกาย ฉลองพระองค์สีขาวเต็มไปด้วยพระโลหิตแดงฉานเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของพระบิดาดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง “ชวีฟู่เป็นเยี่ยงไรบ้าง” ฉินอ๋องรับสั่งหาพระโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งมีพระนามเดิมว่าอิ๋งชวีฟู่ ก่อนจะเหลือบพระเนตรไปที่ศาลากลางน้ำซึ่งองค์ชายใหญ่กำลังทรงยืนอยู่ พระเนตรคมของฉินอ๋องจับอยู่ที่พระโอรสองค์ใหญ่ที่ยืนนิ่งประหนึ่งหินผา ทั่วพระวรกายเขียวคล้ำ พระโลหิตไหลออกตามทวารทั้งเจ็ดสิ้นพระชนม์โดยไม่รู้พระองค์เสียด้วยซ้ำ ในท่าที่ทรงยืนสูดกลิ่นหอมจากดอกเบญจมาศทองคำ ลักษณะดังกล่าวทำให้ล่วงรู้โดยพลันว่า บัด

  • ตำหนักจันทรา ข้ามเวลารักนิรันดร์   ตอนที่ 28 หัวใจถูกพราก 1.2

    ในขณะเดียวกันบนสะพานในเวลานี้กลุ่มนักฆ่ากำลังต่อสู้กับองค์ชายฉินเสวี้ยนกงผู้ปราดเปรื่อง แบบหมาหมู่สิลรุมหนึ่ง นักฆ่าทั้งสิบล้วนถูกส่งมาจากห้าแคว้นใหญ่โดยมีกั๋วปัวชิน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากแคว้นฉี เป็นหัวหน้านักฆ่าที่คัดยอดฝีมือมาจากแคว้นเว่ย แคว้นจ้าว แคว้นหาน แคว้นฉู่มาแคว้นละสองคน และมาจากแคว้นฉีสองคน รวมกั๋วปัวชินด้วยเป็นสิบเอ็ดคน ทั้งนี้เพื่อรับงานปลงพระชนม์องค์ชายทั้งสองของแคว้นฉิน แต่นักฆ่าจากแคว้นหานได้จบชีวิตลงด้วยฝีมือของชิงเชียงไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา จึงเหลือเพียงสิบคนเท่านั้น“ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!” เสียงคมดาบเฉือนเนื้อหนังจนเหวอะหวะองค์ชายรองเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมดาบหลายแห่งบนพระวรกาย แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มนักฆ่าก็พลาดพลั้งเสียทีสังเวยหัวของตนให้แก่คมดาบพระองค์“ฉัวะ! ฉัวะ!” คมดาบฟันลงที่คอของนักฆ่าจากแคว้นเว่ยก่อนตวัดเพียงฉับเดียวหัวขาดกระเด็น ลอยละลิ่วตกลงไปในสระน้ำทันที“ตูมมมม!!!” หัวของนักฆ่าคนดังกล่าวจมดิ่งลงใต้สระน้ำ ท่ามกลางสายตาของบรรดานักฆ่าที่เหลือ&l

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status