Share

บทที่ 10

Author: หออักษร
“ฮูหยินเฉิน”

ฉินหมิงเข้ามาภายในจวนตระกูลกวน กล่าวทักทายฮูหยินเฉินอย่างสุภาพ

อันที่จริงตามธรรมเนียมของต้าเฉียน นางเฉินแต่งเข้าตระกูลไหน ก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลนาง ตอนนี้ควรจะเรียกว่าฮูหยินกวน

แต่ตอนนี้ตระกูลกวนท่านนั้นได้พลีชีพในสนามรบไปแล้ว

นางเฉินต้องค้ำจุนตระกูลด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเรียกนางว่าฮูหยินเฉินโดยตรง

“องค์ชายมาที่นี่ในวันนี้ มีธุระหรือเพคะ?”

นางเฉินเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นางเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฉินหมิงมานานแล้ว

รู้ว่านี่คือเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ

แต่เมื่อได้เห็นฉินหมิงในวันนี้ นางก็เริ่มสงสัยข่าวลือเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง

เด็กหนุ่มตรงหน้านางผู้นี้ ดูท่าทางไม่เอาไหน

แม้ว่าจะพยายามแสร้งทำเป็นปกปิด แต่กลิ่นอายของอันธพาลที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ข้าเป็นใหญ่ไม่เกรงกลัวใครก็ยังคงแผ่ซ่านออกมา

นี่คือองค์รัชทายาทผู้ปกครองบ้านเมืองอย่างมีหลักการ และเป็นที่รักของเหล่าขุนนางอย่างนั้นหรือ?

ท่าทางเช่นนี้ ยากที่จะทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบได้

นางเฉินจึงมีอคติต่อองค์ชายที่อาจจะได้มาเป็นลูกเขยของตระกูลกวนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

“ใช่แล้ว แต่เรื่องนี้อาจจะยังบอกท่านไม่ได้ คุณหนูกวนอยู่หรือไม่?”

ฉินหมิงถูมือไปมา เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม

“นาง...”

นางเฉินเหลือบมองไปยังภายในเรือน

นางรู้จักบุตรสาวของตนเองดี

หากยอมพบฉินหมิง กวนเยว่คงจะออกมานานแล้ว

บัดนี้ยังไม่ออกมา ความหมายก็ชัดเจนในตัวมันเอง

“บุตรสาวของข้าช่วงนี้ป่วยเป็นไข้หวัด ไม่สะดวกรับแขกเพคะ”

ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูด ฉินหมิงย่อมฟังออก

เดิมทีวันนี้คิดว่าจะได้พบกับหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาลงมาจุติท่านนั้นเสียหน่อย

เมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจ ฉินหมิงก็ย่อมไม่หน้าด้านเข้าไปหา

เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ กล่องหนึ่งออกมา

“ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร... รบกวนท่านช่วยนำของสิ่งนี้ไปมอบให้นางด้วย”

“นี่คืออะไรหรือ?”

“ของขวัญ”

“ข้าจะนำไปมอบให้บุตรสาวของข้าเอง”

นางเฉินพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกลับรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ไม่พูดเรื่องสู่ขอ ไม่พูดเรื่องแต่งงาน ส่งกล่องเล็ก ๆ กล่องหนึ่งแล้วก็จากไป

การทำการใด ๆ ของฉินอ๋อง ช่างคาดเดาได้ยากเสียจริง

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ...

“ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว ยังมีธุระอีกเล็กน้อย ผู้น้อยขอตัวก่อน”

ฉินหมิงเพิ่งจะจากไป

นางเฉินก็นำกล่องมาถือไว้ในมือแล้วพิจารณา

นางไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น เมื่อบอกว่าเป็นของที่ส่งให้กวนเยว่ นางก็จะไม่แอบเปิดดูเอง

แต่ทันทีที่หยิบกล่องขึ้นมา ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น

“ท่านแม่”

“เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?”

นางเฉินตกใจเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่... ข้าเพิ่งมาเจ้าค่ะ”

กวนเยว่หน้าแดงเล็กน้อย รีบแก้ตัว

นางเฉินจะไม่เข้าใจความคิดของบุตรสาวตนเองได้อย่างไร

หน้าบางถึงเพียงนี้ ทั้งยังใส่ใจคนผู้นั้นถึงขนาดนี้

เด็กสาวเช่นนี้ ในอนาคตเรื่องความรักจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นแน่

“เหตุใดไม่ไปพบเขาด้วยตนเองเล่า?”

“ข้าบอกแล้วว่าเพิ่งมา จะไปพบได้อย่างไรกัน!”

กวนเยว่ทำปากยื่น กล่าวอย่างไม่พอใจ

ในใจรู้สึกโกรธฉินหมิงมากแล้ว

เจ้าหมอนี่ ไม่รู้จักพูดคุยอยู่ในจวนให้นานกว่านี้หน่อย

ไม่แน่ว่าอีกสักพักนางก็อาจจะปรากฏตัวออกมาก็ได้

มีคุณหนูตระกูลไหนที่พอเรียกแล้ว ก็จะออกมาพบคนได้ง่าย ๆ กันเล่า...

“ของเจ้า”

นางเฉินยื่นกล่องให้

“อ้อ”

กวนเยว่พยักหน้า รับกล่องมาเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ

“ไม่เปิดดูหน่อยหรือ?”

“ก็แค่ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีอะไรน่าดูหรอกเจ้าค่ะ”

กวนเยว่เชิดคางขึ้น ส่งเสียงหึ แล้วหันหลังเดินจากไป

แต่ในที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ภายในแขนเสื้อของนาง

มือเล็ก ๆ ขาวเนียนกลับถือกล่องใบเล็กนี้ไว้แน่น

ณ ระเบียงทางเดินหลังเรือน

หญิงสาวกระโดดโลดเต้นเดินไปตามระเบียงทางเดิน

เมื่อเข้าไปในห้อง นางก็ปิดประตูเสียงดังปัง

แล้วรีบร้อนเปิดกล่องใบเล็กในมือออกอย่างใจจดใจจ่อ

วินาทีต่อมา เสียงอุทานด้วยความตกใจก็หลุดออกมาจากปากของนาง!

จากนั้นน้ำตาสองสายก็ไหลรินลงมา

สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้านาง คือตราอาญาสิทธิ์ของค่ายทหารอู่เวย!

ปัง!

กวนเยว่ผลักประตูออก พุ่งออกจากห้องด้วยความเร็วสูงสุด

จวนตระกูลกวนไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่เมื่อวิ่งมาถึงประตู แม้แต่กวนเยว่ที่มีพละกำลังดี ก็ยังหอบหายใจ

“เขาล่ะ?”

“ใครหรือขอรับ คุณหนู”

องครักษ์สองสามคนยืนอยู่ที่ประตู เอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“จะเป็นใครไปได้อีกเล่า ฉินอ๋องน่ะสิ!”

“องค์ชายดูเหมือนจะไปที่ค่ายทหารนอกเมืองแล้วขอรับ”

“ดี”

กวนเยว่ราวกับผีเสื้อที่โบยบิน รีบวิ่งออกจากจวนตระกูลกวน มุ่งหน้าไปยังนอกเมืองทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง

“คุณหนูใหญ่เป็นอะไรไป สองวันก่อนยังแอบด่าองค์ชายอยู่เลยมิใช่หรือ?”

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก ผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งในใจก็คิดถึงเขา ถึงได้เอ่ยปากด่าทอออกมา”

“ใช่แล้ว ภรรยาข้าก็ด่าข้าทุกวันว่าไร้ความสามารถ คิด ๆ ดูแล้ว คงจะรักข้ามาก”

“ของเจ้าน่ะไม่เหมือนกัน นั่นคือโดนด่าจริง ๆ !”

...

ชานเมืองหลวง

ที่นี่มีค่ายทหารอยู่หลายแห่ง

ตำแหน่งที่ตั้งของค่ายทหารอู่เวยค่อนข้างห่างไกล

สาเหตุหลักเป็นเพราะค่ายทหารอู่เวยในช่วงหลายปีมานี้ตกต่ำลงเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้า

ระดับความสำคัญก็ลดลงครั้งแล้วครั้งเล่า

บัดนี้แม้แต่ตำแหน่งที่ตั้งของค่ายทหาร ก็ยังถูกย้ายไปไว้ในที่ที่ห่างไกลที่สุด

วันนี้ฉินหมิงมาที่นี่ ก็เพื่อผนวกรวมค่ายทหารอู่เวย

ราชสำนักให้ตราอาญาสิทธิ์มาเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น

ในฐานะผู้ปกครองในอนาคตของพื้นที่แห่งนี้ ฉินหมิงย่อมต้องมาดูด้วยตนเอง

ตอนนี้เขาไม่ใช่องค์รัชทายาทแล้ว การเดินทางก็ไม่มีขุนนางคอยห้อมล้อมหน้าหลัง

ฉินหมิงจึงหาเวลาว่าง มาพูดคุยกับพวกเขาด้วยตนเอง

“ไปเรียกแม่ทัพของพวกเจ้ามา”

เมื่อเดินเข้ามาในค่ายทหาร ฉินหมิงก็แสดงตนก่อน จากนั้นก็เอ่ยปากให้ทหารยามที่เฝ้าประตูไปเรียกคน

อีกฝ่ายมองฉินหมิงอย่างระแวดระวังแวบหนึ่ง แต่ก็ยังคงรีบวิ่งจากไป

ฉินหมิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยต้อนรับตนเอง

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ไม่นานนัก ฉินหมิงก็ถูกพาเข้าไปในกระโจมแห่งหนึ่ง

ข้างในมีคนนั่งอยู่สามคน

“กระหม่อมหลิวฉ่วง เฉาชวน หวู่ชิงเหย่ ขอคารวะองค์ชาย”

ทั้งสามคนนี้ คือผู้บัญชาการทั้งสามของค่ายทหารอู่เวยในปัจจุบัน

หลิวฉ่วงมีใบหน้าสี่เหลี่ยม เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ รับผิดชอบกองทัพหน้าของค่ายทหารอู่เวย

เขามีผลงานโดดเด่นในการรบแบบจู่โจม

ตามที่ฉินหมิงเข้าใจ เพียงแค่หลิวฉ่วงคนเดียว ก็เคยสร้างความดีความชอบในการบุกทะลวงค่ายศัตรูได้ก่อนใครหลายครั้งในสงครามทางเหนือ

เฉาชวนรูปร่างผอมบาง บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากดาบ รับผิดชอบกองทัพกลาง

นี่คือผู้มีความสามารถรอบด้าน สามารถบัญชาการกองทัพ และยังสามารถจัดการด้านพลาธิการได้อีกด้วย

หวู่ชิงเหย่ก็เป็นแม่ทัพร่างกายกำยำเช่นกัน รับผิดชอบกองทัพซ้ายขวา เชี่ยวชาญการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว

“คำสั่งโยกย้ายของราชสำนัก พวกเจ้าทุกคนคงได้รับแล้วใช่หรือไม่?”

ฉินหมิงไม่พูดจาไร้สาระกับพวกเขา เข้าประเด็นหลักทันที พูดถึงเรื่องการเดินทางไปยังหลิ่งหนาน

กองทัพหลายพันคนนี้จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย

หากจะไปยังหลิ่งหนาน ก็ต้องเตรียมการล่วงหน้า

แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ทันทีที่เขาเอ่ยปาก

ทั้งสามคนกลับคุกเข่าลงต่อหน้าเขาพร้อมกัน

“พวกกระหม่อมไม่อยากไปหลิ่งหนาน!”

“ขอองค์ชายโปรดถอนคำสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

เดิมทีฉินหมิงคิดว่าค่ายทหารอู่เวยล้วนเป็นนักรบผู้กล้าหาญ เมื่อมีโอกาสสร้างคุณงามความดีอยู่ตรงหน้า ก็เพียงแค่พาคนไปก็พอแล้ว

แต่กลับไม่คิดว่า เพิ่งจะมาถึงค่ายทหารก็ต้องเจออุปสรรคเสียแล้ว

ฉินหมิงยิ้มอย่างขมขื่น แล้วเอ่ยถาม

“ทุกท่าน เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่อยากไป พอจะบอกเหตุผลให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 426

    “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเถิด แต่ค่ายทหารในมือข้าไม่มีทางมอบให้ราชสำนักเด็ดขาด”คำพูดของพวกเขา อันที่จริงฉินหมิงคาดการณ์ได้นานแล้วแต่ค่ายทหารอู่เวย ฉินหมิงเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือไม่ว่าจะเป็นโรงช่าง โรงทอผ้า ร้านขายผ้า หรือโรงผลิตเกลือ ต่างก็เป็นของเขาทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เหรินโซ่วผู้อยู่ด้านข้างเพิ่งได้ยินฉินหมิงกล่าวตอบ ก็คัดค้านขึ้นทันทีแต่ฟู่เจิ้งเซวียนกลับห้ามเขาไว้“ท่านอ๋อง ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่พวกกระหม่อมจะรายงานต่อราชสำนักตามความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เจิ้งเซวียนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับฉินหมิงให้มากความที่พวกเขามาครั้งนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นส่วนความผิดที่แท้จริงของฉินหมิงนั้น ถูกกำหนดไว้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก“ย่อมได้”ฉินหมิงพยักหน้าเชื่องช้าระยะนี้ โรงช่างของพวกเขาเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง สามารถติดอาวุธให้ทั้งค่ายทหารได้อย่างทั่วถึงแม้แต่จำนวนปืนคาบศิลา ก็มีถึงหนึ่งพันกว่ากระบอกยาเม็ดยิ่งเตรียมไว้นับไม่ถ้วนถ้าราชสำนักมาจริงก็พร้อมสู้นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงมาถึงโลกใบนี้ เขาก็ตระหนักดีว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดควา

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 425

    อีกด้านหนึ่ง ภายในจวนของฉินหมิงหลิ่วเยว่หลีกำลังรายงานตำแหน่งของเหล่าองครักษ์เงา“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ตรวจพบสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่อำเภอซี ในสังกัดเมืองเฉียนถังเพคะ”“ข้ารู้แล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าแช่มช้า จากนั้นจึงเหน็บดาบยาวไว้ข้างเอว ก่อนขี่ม้าตรงไปที่อำเภอซีด้วยตนเองไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าครั้งนี้ ฉินหมิงจะไปกำจัดเหล่าองครักษ์เงาเพียงลำพัง!กลุ่มข่าวกรองของหลิ่วเยว่หลี เพียงระบุตำแหน่งให้เขารู้เท่านั้นการลงมือฉายเดี่ยวของฉินหมิงนั้นทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และเด็ดขาด โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตั้งตัวสักนิด!ฉินหมิงมีความสามารถถึงขั้นนั้นแล้วแม้การออกกระบวนท่าต่าง ๆ จะยังไม่ชำนาญนัก แต่สิ่งที่เขาขาดในยามนี้ก็คือการฝึกฝน“หวังว่าคู่ซ้อมในวันนี้จะทำให้ข้าพอใจก็แล้วกัน”ขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ฉินหมิงก็พึมพำกับตนเองอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ฉินหมิงย่อมต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสีแม้จะมีเพียงตัวคนเดียว แต่เขาก็สามารถสังหารหมู่กลุ่มคนขนาดเล็กของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกว่ากลุ่มเขาลงมือเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือต่อให้พบเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าฉินหมิงผู้ควบม้าอยู่ด้านนอกเพียงลำพ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 424

    พวกเขาล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเดิมทีฟางชิงหย่วนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หลังถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งใหญ่อีกต่อไปย่อมทำให้บรรดาเพื่อนขุนนางที่เคยร่วมงานกัน คิดดูแคลนเล็กน้อยประกอบกับจุดยืนของพวกเขาในยามนี้แตกต่างกันขุนนางส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างเซียวซูเฟย จึงไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินหมิงกับฟางชิงหย่วนได้แข็งข้อส่วนหลี่เหรินโซ่วผู้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหม ด้วยความที่กรมกลาโหมมักไปเบิกเงินและเสบียงจากกรมคลังอยู่บ่อยครั้งแต่ฟางชิงหย่วนเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการจึงปฏิเสธคำขอของหลี่เหรินโซ่วเป็นประจำ ทำให้หลี่เหรินโซ่วแค้นฝังใจในเวลานี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ หลี่เหรินโซ่วจึงต้องเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนของอีกฝ่าย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงอย่างซ่งติ้งเซิงและหลิวฉ่วง ต่างก็รู้สึกไม่พอใจฟางชิงหย่วนเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมผู้ใดโดยง่าย จึงกล่าวขึ้นทันที“ใต้เท้าหลี่ หากท่านไม่เข้าใจบัญชีของกรมกลาโหม ก็มากราบข้าเป็นอาจารย์สิ เดี๋ยวข้าสอนท่านเอง”“จะให้ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์น่ะหรือ?”หลี่เหรินโซ่วเบะปากด้วยคว

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 423

    “รับบัญชาเพคะ!”หลิ่วเยว่หลีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังเตรียมตัวเดินจากไปนางจะนำกลุ่มองครักษ์ลับ ไปสืบหาร่องรอยขององครักษ์เงาเหล่านั้นส่วนฉินหมิง ช่วงนี้คงต้องลบล้างอิทธิพลที่เกิดจากสำนักหลัวให้ได้ก่อนรัตติกาลมาเยือน กวนเยว่ต้มชาโสมถ้วยหนึ่ง นำมาวางลงตรงหน้าฉินหมิงฉินหมิงสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง นั่งรับลมฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในศาลา“หากราชสำนักใช้เรื่องสำนักหลัวเป็นข้ออ้าง นำทัพเข้ามาในหลิ่งหนาน พวกเราจะทำอย่างไร?”กวนเยว่กังวลใจเรื่องค่ายทหารอู่เวยยิ่งนักเนื่องจากนี่คือกองทัพสำคัญที่บิดานางทิ้งไว้ให้ฉินหมิงเคยกล่าวไว้ว่า จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่บัดนี้ เขาทำได้แล้ว แต่ก็มีแรงกดดันจากราชสำนักตามมาติด ๆ เช่นกัน“กองทัพเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวก่อนค่อยว่ากัน”“อืม”หลายวันต่อมา คณะผู้ตรวจสอบจากราชสำนักก็เดินทางมาถึงหลิ่งหนานคนที่มาในครั้งนี้คือ หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ฟู่เจิ้งเซวียนผู้ช่วยของเขาคือรองเจ้ากรมกลาโหม หลี่เหรินโซ่วนอกจากนี้ยังมีลู่เหยียนเหนียนจากกรมทหารม้า เริ่นหลิงอวิ๋นจากกรมโยธาธิการและผู้คน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 422

    ในอดีตครั้งที่เฉินซื่อเม่าอยู่ในราชสำนัก เขายังพอจะกดข่มคำพูดว่าร้ายฉินหมิงจากฝ่ายพระสนมเซียวซูเฟยได้บ้างแต่เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวง พระสนมเซียวซูเฟยและเหล่าขุนนางใต้สังกัดนางก็สบโอกาสลงมือพวกเขาอาศัยจังหวะนี้ เริ่มโจมตีฉินหมิงทันทีเมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนสอบถาม“แล้วศึกทางเหนือเล่า พวกเขาไม่สนใจแล้วหรือ?”“ได้ข่าวว่ายังรบกันอยู่ แต่ฝ่ายต้าเฉียนน่าจะใกล้ขอเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้วเพคะ”“เจรจาสงบศึก!?”ฉินหมิงถึงกับตกตะลึงแม้ชนเผ่าทางเหนือจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กำลังรบของต้าเฉียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ต้าเฉียนเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับรอโต้กลับ แต่บัดนี้กลับคิดยอมจำนนนี่ช่างน่าอัปยศเสียจริงหากเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาสงบศึก เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้ด้วยเงินมหาศาล มิหนำซ้ำอาจต้องยกดินแดนให้อีกฝ่ายต้าเฉียนก่อตั้งประเทศมาหลายชั่วอายุคน ยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!“จากการสืบสวนของกองเงาทมิฬ ราชสำนักคงอยากถอนตัวโดยเร็ว เพื่อมาจัดการกับท่านอ๋องเพคะ”หลิ่วเยว่หลีกล่าวถึงการคาดเดาของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและนี่ก็สอดคล้องกับวิธีการทำงานของราช

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 421

    เมื่อเห็นดังนั้น ฉินหมิงก็รีบชักมือกลับทันทีเฉาชวนกับหลิวฉ่วงจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น พลางหอบหายใจหนักหน่วง“สำนักหลัวช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!”ยามนี้บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพูดตามตรง พลังลมปราณของฉินหมิงเวลานี้ หากบอกว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้า ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเป็นอันดับหนึ่งแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปรวบรวมตำราวรยุทธ์ให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”แม้หลิวฉ่วงจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินหมิง แต่เมื่อฟื้นตัวแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหากฉินหมิงมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลังฝึกฝนวรยุทธ์ ก็สามารถขึ้นเป็นยอดแม่ทัพอีกคนหนึ่งของค่ายทหาร และเข้าร่วมสงครามได้อย่างแน่นอนและการค้าขายของพวกเขาขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี กิจการทุกประเภทล้วนได้รับผลกำไรมากมายกระทั่งเงินที่เคยหยิบยืมจากหอการค้าหลิ่งหนาน ก็ชดใช้คืนหมดสิ้นและเมื่อมีเงินแล้ว ก็ซื้อตำราฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นได้ไม่มีปัญหา“จะลำบากเช่นนั้นไปไย”ฉางไป๋ซานพลันขวางเขาไว้ และโบกมือเบา ๆจากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าผากของตนเองพลางกล่าว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”“ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านอ๋องนั้น ความจริงก็เพื่อฝึ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status