Share

บทที่ 9

Author: หออักษร
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่น

ค่ายทหารอู่เวยเดิมทีก็เป็นกองกำลังทหารชั้นยอดของราชสำนักอยู่แล้ว

แม้ว่าจะสูญเสียกำลังพลไปมาก หลังจากติดตามแม่ทัพใหญ่อู่เวยออกรบ

และหลังจากที่เขาเสียชีวิตก็ไม่ได้มีการขยายกำลังพลเพิ่ม

แต่กองกำลังชั้นยอดเช่นนี้ จะตกไปอยู่ในมือของฉินหมิงไม่ได้

“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงไม่พูดจาไร้สาระอีก เพียงประสานมือคารวะต่อฮ่องเต้เฉียนแล้วกล่าวว่า

“เสด็จพ่อ ลูกร่างกายไม่ค่อยสบาย ขอทูลลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านทรงงานต่อไปเถิด”

พูดจบก็เดินจากไป

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนดูย่ำแย่ยิ่งนัก

ส่วนเฉินซื่อเม่ากลับมองดูทั้งหมดนี้อย่างพึงพอใจ

แม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังไม่ได้กลับคืนสู่ราชสำนัก

แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ระบายความโกรธออกมา

หลายปีมานี้ฮ่องเต้เฉียนทรงปฏิบัติต่อฉินหมิงอย่างลำเอียงเกินไปจริง ๆ

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็เห็นกันอยู่กับตา

บัดนี้ ฉินหมิงไม่มีนิสัยที่ใจกว้างจนยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่ดี

“หยุดนะ!”

ฮ่องเต้เฉียนเห็นฉินหมิงกำลังจะจากไป ก็รีบเรียกเขาไว้ทันที

“เสด็จพ่อ ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เจ้าต้องการค่ายทหารอู่เวยไปทำอะไร?”

“ลูกมิได้ต้องการ แต่เป็นการทวงคืน เดิมทีนี่ก็เป็นกองทัพของตระกูลกวนอยู่แล้ว”

“เป็นกองทัพที่ตระกูลกวนออกเงินเลี้ยงดูเอง”

ฉินหมิงกล่าวแก้ให้ถูกต้อง

“ของตระกูลกวนหรือ? ทั่วทั้งต้าเฉียนล้วนเป็นของเรา! แม้แต่ตระกูลกวนก็เป็นของเรา!”

“เจ้าในฐานะองค์ชาย สมควรจะต้องทำงานเพื่อเรา เพื่อราชวงศ์ แต่บัดนี้กลับเห็นคนนอกดีกว่าคนใน”

“เจ้าเรียนรู้จากเจ้าเก้าให้ดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือ? เอาใจใส่เราให้มากขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ?”

ฮ่องเต้เฉียนตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ค่ายทหารอู่เวยเป็นกองกำลังชั้นยอดจริง ๆ

แต่ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังชั้นยอดใด ๆ หากต้องการจะเลี้ยงดูให้ดี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

หลายปีมานี้ที่ไม่ได้ขยายกำลังพล ก็เป็นเพราะค่าใช้จ่ายของค่ายทหารอู่เวยนั้นสูงเกินไป

พวกเขาล้วนเป็นทหารม้าเกราะหนัก

ทหารหนึ่งคนมีม้าสามตัวผลัดเปลี่ยน แค่หญ้าอาหารสัตว์ก็ต้องใช้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

เหล่าทหารที่สวมเกราะหนักหลายสิบชั่ง ฝึกซ้อมแบกน้ำหนักทุกวัน ก็ต้องบริโภคเสบียงอาหารมากกว่าทหารทั่วไปถึงหนึ่งเท่า

ประกอบกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขา ก็ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งยังต้องให้ช่างฝีมือใช้เวลามหาศาลในการตีขึ้นมา

ราชสำนักมิใช่ว่าไม่อยากจะขยายกำลังค่ายทหารอู่เวยใหม่ แต่ไม่มีปัญญาจะขยายต่างหาก

นี่มันต้องใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

เพียงแค่กองกำลังที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็ทำให้ราชสำนักรู้สึกว่าเป็นเผือกร้อนแล้ว

หากมิใช่เพราะการทำสงครามในอนาคตอาจจะต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่ ฮ่องเต้เฉียนก็คงจะยุบหน่วยค่ายทหารอู่เวยไปนานแล้ว

ยังจะมาเจ้าเก้าอีก เหอะ ๆ

“แต่ด้วยสถานะการคลังของต้าเฉียน เสด็จพ่อจะทรงเลี้ยงดูไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินหมิงพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มพลางมองไปยังฮ่องเต้เฉียน

“เราเลี้ยงไม่ไหว เจ้าคิดว่าอย่างเจ้าจะรับภาระไหวหรือ?”

“หากเจ้าเลี้ยงไหว เราจะให้เจ้าแล้วจะเป็นไรไป!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงแค่นเสียงเย็น ดูท่าว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่รู้จักประมาณตนเสียแล้ว!

คนมากมายขนาดนี้ ไม่กี่วันก็คงจะกินจนเขาล้มละลาย ถึงเวลานั้นก็ต้องกลับมาขอร้องเรามิใช่หรือ

เฉินซื่อเม่าพลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

“องค์ชาย สามหน่วยพิทักษ์ก็เพียงพอแล้ว หากมีค่ายทหารอู่เวยเพิ่มอีก ท่านจะรับภาระไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไร หลิ่งหนานกว้างใหญ่มาก คนก็เยอะ อย่างไรเสียก็ต้องมีหนทาง”

ฉินหมิงยิ้มพลางเอ่ยปาก ในใจก็สงบลงแล้ว

“จะจัดการเรื่องกองคาราวานสินค้าหนานหยางเมื่อใด?”

สามหน่วยพิทักษ์ก็ให้แล้ว ค่ายทหารอู่เวยก็ให้แล้ว

หากฉินหมิงยังจะปฏิเสธฮ่องเต้เฉียนอีก ก็คงจะดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย

“คืนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียง ฉินหมิงก็กล่าวลาแล้วจากไป

เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง ก็ไม่รู้ว่าฉางไป๋ซานไปได้รับข่าวมาจากที่ใด

ได้นำคนกลุ่มหนึ่งมารอฉินหมิงอยู่ที่นี่แล้ว

คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคือลู่โหย่ว

ทันทีที่เห็นฉินหมิงกลับมา ลู่โหย่วก็พุ่งเข้ามาหาฉินหมิงอย่างรวดเร็ว

คุกเข่าลงเสียงดังตุบ เสียงโหยหวน กล่าวระบายความทุกข์ น้ำมูกน้ำตาไหลพราก

“องค์ชาย เรื่องครั้งนี้มิใช่กระหม่อมที่ทำพังนะพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น!”

ฉินหมิงประคองเขาให้ลุกขึ้น

“เรื่องของเจ้าเราได้ยินมาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”

“องค์ชายทรงพระปรีชา! องค์ชายทรงพระปรีชายิ่งนัก!”

ฉางไป๋ซานเดินมาจากข้างหลังแล้วกล่าวว่า

“องค์ชาย พวกเราไปดูกันหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไป”

ทั้งสามคนขี่ม้าเร็วด้วยกัน ผ่านประตูเมืองมายังท่าเรือขนส่งทางน้ำนอกเมืองหลวง

“องค์รัชทายาทมาแล้ว!”

ทันทีที่เห็นฉินหมิง ผู้คนจากกองคาราวานสินค้าจำนวนมากที่นั่งพูดคุยกันอยู่บนเรือ ก็รีบส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที

“ทุกท่าน เรื่องในวันนี้ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่ง แต่ช่วงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”

“หลังจากที่ได้ทราบเรื่องของพวกท่านแล้ว ข้าก็ได้เดินทางไปยังราชสำนักเป็นพิเศษ เพื่อรับผิดชอบการค้าครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง”

เมื่อเดินมาอยู่ต่อหน้าทุกคน ฉินหมิงก็ใช้คำพูดเพียงไม่กี่ประโยค อธิบายสถานการณ์ของตนเองออกมา

“องค์ชาย ท่านกลับมาได้ก็ดีที่สุดแล้ว”

“ค้าขายกับคนอื่น พวกเราไม่วางใจเลยจริง ๆ ”

“พวกเราก็รู้ถึงความลำบากของท่าน ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว พวกเราก็มาค้าขายกันตามปกติเถิด!”

พวกเขาทุกคนรู้ดีว่า ช่วงนี้ฉินหมิงถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท

ความร่วมมือทางการค้าขายตลอดหลายปี ก็ทำให้พวกเขามีความรู้สึกผูกพันกับฉินหมิงอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้ย่อมเห็นใจเขาอย่างยิ่ง

“ขอบคุณทุกท่านมาก”

ฉินหมิงประหลาดใจเล็กน้อย

เดิมทีในใจเตรียมคำพูดไว้มากมาย ยังคิดว่าจะต้องอธิบายกับพวกเขาเสียอีก

แต่กลับไม่คิดเลยว่า ใบหน้าของตนเองจะใช้การได้ดีถึงเพียงนี้

สามารถเจรจาการค้าขายใหม่อีกครั้ง โดยที่แทบจะไม่มีอุปสรรคใด ๆ

“องค์ชาย! องค์ชาย!”

ในตอนนี้ มีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกล

เป็นเฉียนไฉที่แอบซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ พอเห็นฉินหมิงมาถึงในที่สุดก็โผล่หัวออกมา

“มาแอบซุ่มทำอะไรอยู่ที่นี่?”

“ฮ่า ๆ กระหม่อมก็คิดอยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา เรื่องนี้กระหม่อมได้ทูลในราชสำนักแล้วว่า หากไม่มีท่านก็คงไม่ได้ แต่ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ”

“นี่สุดท้ายก็ยังคง... เชิญท่านกลับมามิใช่หรือ!”

เดิมทีเฉียนไฉคิดจะพูดหยอกล้อสองสามประโยค แต่เมื่อคิดดูแล้ว ที่นี่คนค่อนข้างเยอะ

จึงไม่ได้พูดจาหยอกล้ออะไรออกมา

“คนของเจ้าเล่า เจ้าคงไม่ได้มาแค่คนเดียวหรอกนะ?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!”

ฉินหมิงมองไปทางด้านหลัง

ก็พลันพบว่าในห้องที่อยู่ไกลออกไป ยังมีคนอีกไม่น้อยกำลังชะโงกหน้ามองออกมาข้างนอก

เมื่อเห็นตนเอง ก็พากันเดินออกมามากขึ้น

“องค์ชาย!”

“องค์ชาย!”

พวกเขาล้วนเป็นคนของกรมคลัง มาที่นี่ก็เพื่อมาเป็นลูกมือให้ฉินหมิง

เมื่อเห็นว่ามีผู้ช่วยมามากมายขนาดนี้

ฉินหมิงก็โบกมืออย่างยิ่งใหญ่แล้วกล่าวว่า

“เริ่มงานได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

มีการแบ่งโต๊ะออกมาสองสามตัว ฉินหมิงและคนของกรมคลัง ร่วมกันตรวจสอบบัญชีกับกองคาราวานสินค้าที่ท่าเรือตลอดทั้งคืน

...

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินหมิงยืดตัวขึ้นจากโต๊ะภายในห้อง

ก็เห็นเฉียนไฉและลู่โหย่วสองสามคนนอนหลับกันระเกะระกะอยู่ข้าง ๆ

ฉินหมิงไม่รบกวนพวกเขา หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป

ฉางไป๋ซานรออยู่ข้างนอกแล้ว

เมื่อเห็นฉินหมิงตื่นขึ้น ก็รีบเดินเข้ามาอยู่ข้างกายเขา

“เจ้าไปที่กรมกลาโหมสักเที่ยว ไปเอาตราอาญาสิทธิ์ของค่ายทหารอู่เวยมา”

“หา?”

ฉางไป๋ซานเบิกตากว้าง ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉินหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอามาให้ข้าก็พอ”

“เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ตอนบ่าย หลังจากที่ฉินหมิงทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนตระกูลกวนตรงเวลา

“ฉินหมิงมาขอพบ รบกวนช่วยแจ้งให้ด้วย”

“องค์ชาย ท่านโปรดรอสักครู่”

องครักษ์ที่หน้าประตูสองสามคนต่างตกใจ

เมื่อสองวันก่อนคุณหนูใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเดินออกจากเรือนไป ไม่ถึงครึ่งวันก็กลับมาอย่างเงียบ ๆ

ไม่ได้พูดเรื่องถอนหมั้น และก็ไม่ได้พูดเรื่องแต่งงาน

ดูเหมือนว่าการแต่งงานของทั้งสองคนจะถูกพักไว้เช่นนั้น

ในตอนที่พวกเขากำลังคิดว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นนี้แล้ว

ฉินหมิงกลับมาแล้ว

คนสองสามคนเดินมาอยู่ต่อหน้านางเฉินด้วยความกังวลใจมาตลอดทาง

กล่าวเสียงเบาว่า

“ฮูหยิน ฉินอ๋องมาแล้วขอรับ”

สองสามวันนี้นางเฉินก็ไม่ได้ถามอะไรจากปากบุตรสาวได้

รู้เพียงแค่ว่าการแต่งงานนั้นยังไม่ได้ถูกยกเลิก

ในตอนนี้เมื่อได้ยินข่าวการมาถึงของฉินหมิง ก็ดูประหลาดใจอยู่บ้าง

“เขาได้นำสิ่งใดมาด้วยหรือไม่? มาเพื่อสู่ขอหรือ?”

“ไม่เลยขอรับ มาคนเดียวมือเปล่า”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่...”

นางเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย พาไปที่โถงด้านหน้า ข้าจะพบเขาก่อน”

“ขอรับ!”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 426

    “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเถิด แต่ค่ายทหารในมือข้าไม่มีทางมอบให้ราชสำนักเด็ดขาด”คำพูดของพวกเขา อันที่จริงฉินหมิงคาดการณ์ได้นานแล้วแต่ค่ายทหารอู่เวย ฉินหมิงเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือไม่ว่าจะเป็นโรงช่าง โรงทอผ้า ร้านขายผ้า หรือโรงผลิตเกลือ ต่างก็เป็นของเขาทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เหรินโซ่วผู้อยู่ด้านข้างเพิ่งได้ยินฉินหมิงกล่าวตอบ ก็คัดค้านขึ้นทันทีแต่ฟู่เจิ้งเซวียนกลับห้ามเขาไว้“ท่านอ๋อง ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่พวกกระหม่อมจะรายงานต่อราชสำนักตามความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เจิ้งเซวียนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับฉินหมิงให้มากความที่พวกเขามาครั้งนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นส่วนความผิดที่แท้จริงของฉินหมิงนั้น ถูกกำหนดไว้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก“ย่อมได้”ฉินหมิงพยักหน้าเชื่องช้าระยะนี้ โรงช่างของพวกเขาเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง สามารถติดอาวุธให้ทั้งค่ายทหารได้อย่างทั่วถึงแม้แต่จำนวนปืนคาบศิลา ก็มีถึงหนึ่งพันกว่ากระบอกยาเม็ดยิ่งเตรียมไว้นับไม่ถ้วนถ้าราชสำนักมาจริงก็พร้อมสู้นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงมาถึงโลกใบนี้ เขาก็ตระหนักดีว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดควา

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 425

    อีกด้านหนึ่ง ภายในจวนของฉินหมิงหลิ่วเยว่หลีกำลังรายงานตำแหน่งของเหล่าองครักษ์เงา“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ตรวจพบสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่อำเภอซี ในสังกัดเมืองเฉียนถังเพคะ”“ข้ารู้แล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าแช่มช้า จากนั้นจึงเหน็บดาบยาวไว้ข้างเอว ก่อนขี่ม้าตรงไปที่อำเภอซีด้วยตนเองไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าครั้งนี้ ฉินหมิงจะไปกำจัดเหล่าองครักษ์เงาเพียงลำพัง!กลุ่มข่าวกรองของหลิ่วเยว่หลี เพียงระบุตำแหน่งให้เขารู้เท่านั้นการลงมือฉายเดี่ยวของฉินหมิงนั้นทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และเด็ดขาด โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตั้งตัวสักนิด!ฉินหมิงมีความสามารถถึงขั้นนั้นแล้วแม้การออกกระบวนท่าต่าง ๆ จะยังไม่ชำนาญนัก แต่สิ่งที่เขาขาดในยามนี้ก็คือการฝึกฝน“หวังว่าคู่ซ้อมในวันนี้จะทำให้ข้าพอใจก็แล้วกัน”ขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ฉินหมิงก็พึมพำกับตนเองอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ฉินหมิงย่อมต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสีแม้จะมีเพียงตัวคนเดียว แต่เขาก็สามารถสังหารหมู่กลุ่มคนขนาดเล็กของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกว่ากลุ่มเขาลงมือเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือต่อให้พบเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าฉินหมิงผู้ควบม้าอยู่ด้านนอกเพียงลำพ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 424

    พวกเขาล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเดิมทีฟางชิงหย่วนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หลังถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งใหญ่อีกต่อไปย่อมทำให้บรรดาเพื่อนขุนนางที่เคยร่วมงานกัน คิดดูแคลนเล็กน้อยประกอบกับจุดยืนของพวกเขาในยามนี้แตกต่างกันขุนนางส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างเซียวซูเฟย จึงไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินหมิงกับฟางชิงหย่วนได้แข็งข้อส่วนหลี่เหรินโซ่วผู้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหม ด้วยความที่กรมกลาโหมมักไปเบิกเงินและเสบียงจากกรมคลังอยู่บ่อยครั้งแต่ฟางชิงหย่วนเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการจึงปฏิเสธคำขอของหลี่เหรินโซ่วเป็นประจำ ทำให้หลี่เหรินโซ่วแค้นฝังใจในเวลานี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ หลี่เหรินโซ่วจึงต้องเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนของอีกฝ่าย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงอย่างซ่งติ้งเซิงและหลิวฉ่วง ต่างก็รู้สึกไม่พอใจฟางชิงหย่วนเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมผู้ใดโดยง่าย จึงกล่าวขึ้นทันที“ใต้เท้าหลี่ หากท่านไม่เข้าใจบัญชีของกรมกลาโหม ก็มากราบข้าเป็นอาจารย์สิ เดี๋ยวข้าสอนท่านเอง”“จะให้ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์น่ะหรือ?”หลี่เหรินโซ่วเบะปากด้วยคว

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 423

    “รับบัญชาเพคะ!”หลิ่วเยว่หลีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังเตรียมตัวเดินจากไปนางจะนำกลุ่มองครักษ์ลับ ไปสืบหาร่องรอยขององครักษ์เงาเหล่านั้นส่วนฉินหมิง ช่วงนี้คงต้องลบล้างอิทธิพลที่เกิดจากสำนักหลัวให้ได้ก่อนรัตติกาลมาเยือน กวนเยว่ต้มชาโสมถ้วยหนึ่ง นำมาวางลงตรงหน้าฉินหมิงฉินหมิงสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง นั่งรับลมฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในศาลา“หากราชสำนักใช้เรื่องสำนักหลัวเป็นข้ออ้าง นำทัพเข้ามาในหลิ่งหนาน พวกเราจะทำอย่างไร?”กวนเยว่กังวลใจเรื่องค่ายทหารอู่เวยยิ่งนักเนื่องจากนี่คือกองทัพสำคัญที่บิดานางทิ้งไว้ให้ฉินหมิงเคยกล่าวไว้ว่า จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่บัดนี้ เขาทำได้แล้ว แต่ก็มีแรงกดดันจากราชสำนักตามมาติด ๆ เช่นกัน“กองทัพเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวก่อนค่อยว่ากัน”“อืม”หลายวันต่อมา คณะผู้ตรวจสอบจากราชสำนักก็เดินทางมาถึงหลิ่งหนานคนที่มาในครั้งนี้คือ หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ฟู่เจิ้งเซวียนผู้ช่วยของเขาคือรองเจ้ากรมกลาโหม หลี่เหรินโซ่วนอกจากนี้ยังมีลู่เหยียนเหนียนจากกรมทหารม้า เริ่นหลิงอวิ๋นจากกรมโยธาธิการและผู้คน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 422

    ในอดีตครั้งที่เฉินซื่อเม่าอยู่ในราชสำนัก เขายังพอจะกดข่มคำพูดว่าร้ายฉินหมิงจากฝ่ายพระสนมเซียวซูเฟยได้บ้างแต่เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวง พระสนมเซียวซูเฟยและเหล่าขุนนางใต้สังกัดนางก็สบโอกาสลงมือพวกเขาอาศัยจังหวะนี้ เริ่มโจมตีฉินหมิงทันทีเมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนสอบถาม“แล้วศึกทางเหนือเล่า พวกเขาไม่สนใจแล้วหรือ?”“ได้ข่าวว่ายังรบกันอยู่ แต่ฝ่ายต้าเฉียนน่าจะใกล้ขอเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้วเพคะ”“เจรจาสงบศึก!?”ฉินหมิงถึงกับตกตะลึงแม้ชนเผ่าทางเหนือจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กำลังรบของต้าเฉียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ต้าเฉียนเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับรอโต้กลับ แต่บัดนี้กลับคิดยอมจำนนนี่ช่างน่าอัปยศเสียจริงหากเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาสงบศึก เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้ด้วยเงินมหาศาล มิหนำซ้ำอาจต้องยกดินแดนให้อีกฝ่ายต้าเฉียนก่อตั้งประเทศมาหลายชั่วอายุคน ยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!“จากการสืบสวนของกองเงาทมิฬ ราชสำนักคงอยากถอนตัวโดยเร็ว เพื่อมาจัดการกับท่านอ๋องเพคะ”หลิ่วเยว่หลีกล่าวถึงการคาดเดาของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและนี่ก็สอดคล้องกับวิธีการทำงานของราช

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 421

    เมื่อเห็นดังนั้น ฉินหมิงก็รีบชักมือกลับทันทีเฉาชวนกับหลิวฉ่วงจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น พลางหอบหายใจหนักหน่วง“สำนักหลัวช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!”ยามนี้บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพูดตามตรง พลังลมปราณของฉินหมิงเวลานี้ หากบอกว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้า ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเป็นอันดับหนึ่งแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปรวบรวมตำราวรยุทธ์ให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”แม้หลิวฉ่วงจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินหมิง แต่เมื่อฟื้นตัวแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหากฉินหมิงมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลังฝึกฝนวรยุทธ์ ก็สามารถขึ้นเป็นยอดแม่ทัพอีกคนหนึ่งของค่ายทหาร และเข้าร่วมสงครามได้อย่างแน่นอนและการค้าขายของพวกเขาขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี กิจการทุกประเภทล้วนได้รับผลกำไรมากมายกระทั่งเงินที่เคยหยิบยืมจากหอการค้าหลิ่งหนาน ก็ชดใช้คืนหมดสิ้นและเมื่อมีเงินแล้ว ก็ซื้อตำราฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นได้ไม่มีปัญหา“จะลำบากเช่นนั้นไปไย”ฉางไป๋ซานพลันขวางเขาไว้ และโบกมือเบา ๆจากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าผากของตนเองพลางกล่าว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”“ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านอ๋องนั้น ความจริงก็เพื่อฝึ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status