“กระหม่อมเข้าใจแล้ว”เมื่อเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่อง ฉางไป๋ซานก็พยักหน้าลงสิบผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเซียวล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น ภายในไม่เหลือยอดฝีมือตั้งนานแล้วด้วยความสามารถของเขา สามารถจัดการอีกฝ่ายย่อมเป็นเรื่องง่ายมากนัก“ใช่แล้ว หลิ่วเยว่หลีคนนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”ก่อนจะลงมือ จู่ ๆ ฉินหมิงก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังเหลือผู้รอดชีวิตไว้หนึ่งคนฟังผ่านปากของหลิ่วเยว่หลี บางทีอาจจะได้รู้สถานที่ที่คนของตระกูลเซียวมักไปบ่อย ๆ ซึ่งจะช่วยให้ฉางไป๋ซานเพิ่มโอกาสในการสังหารให้สำเร็จ“อยู่ในคุกใหญ่ จะให้เอาตัวมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“เอามาเถอะ ข้าจะถามอะไรนางสักหน่อย”เมื่อฉินหมิงพยักหน้า ฉางไป๋ซานก็รีบพาคนเข้ามาในทันที“หากมีความสามารถก็ฆ่าข้าเถอะ ข้าไม่มีวันพูดอะไรทั้งนั้น!”หลิวเยว่หลีนั่งลงตรงหน้าฉินหมิง เอ่ยปากเสียงเหี้ยมชั่วขณะนางกำลังดิ้นอย่างแรงนั้น เส้นผมพลิ้วไหว กลิ่นหอมอ่อน ๆ พลันกำจายออกมาฉินหมิงหัวเราะเสียงเย็น สืบเท้าขึ้นมาข้างหน้าแล้วหยิบถุงยาที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสีเขียวออกจากด้านหลังลำคอนาง“ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะเล่นลูกไม้กับข้าอีกหรือ?”เมื่อครู่หลิ่วเย่ว่หลีนั่
หลังจากส่งตวนอ๋องกลับไปแล้วฉินหมิงก็เรียกฉางไป๋ซานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูให้เข้ามาในห้อง“เมื่อครู่ที่เขาพูด เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”“ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง สกุลเซียวสู้ท่านไม่ได้ ทำได้เพียงหวังให้ราชสำนักออกหน้าแทน น่าขายหน้ายิ่งนัก!”ฉางไป๋ซานขมวดคิ้วเอ่ยปาก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความดูแคลนบัดนี้สิ่งที่สกุลเซียวทำ ก็ไม่ต่างจากเด็กที่สู้ไม่ได้แล้วหันไปฟ้องบิดามารดาหรืออาจารย์แต่พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับคนธรรมดา แต่เป็นฉินหมิงฉินหมิงไม่กลัวพวกเขาฟ้องร้อง ตอนนี้เขาไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ราชสำนักก็ลงโทษจนไม่มีอันใดลงโทษได้อีก หากทำให้เขาโมโหขึ้นมาจริง ๆ ทั้งแคว้นหลิ่งหนานจะต้องสั่นสะเทือน!ราชสำนักยังมีศึกทางเหนืออยู่ ในเวลานี้พวกเขาย่อมไม่กล้าบีบฉินหมิงให้จนตรอก“ปล่อยให้พวกเขาไปฟ้องเถอะ พูดไปแล้ว คนของสกุลเซียวลอบมาฆ่าข้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ?”ฉินหมิงเอ่ยปากเสียงเรียบ จู่ ๆ ก็เอ่ยคำถามแปลกประหลาดขึ้นมาฉางไป๋ซานยกมือขึ้นนับนิ้วอย่างจริงจังแล้วตอบว่า“นับทั้งใหญ่ทั้งเล็กดูแล้ว ทั้งหมดก็ราวเจ็ดถึงแปดครั้งพ่ะย่ะค่ะ”นับตั้งแต่ฉินหมิงสังหารสิบผู้ยิ่งใหญ่ของสกุลเซียวจ
ตวนอ๋องรู้ดีถึงความสามารถของฉินหมิง ทั้งยังรู้ว่าหากตนต้องเทียบกับอีกฝ่าย กลับไม่มีความหวังช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทได้เลยดังนั้นตอนอยู่ในเมืองหลวง เขาจึงออกจากเมืองเร็วกว่าองค์ชายคนอื่นมากนักนี่ทำให้เขาได้ครอบครองดินแดนที่ดีมากตั้งแต่แรก และปกครองอยู่ที่เจียงหนานหากไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ไม่อยากมีเรื่องข้องเกี่ยวกับฉินหมิงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวน่าเสียดายบัดนี้เรื่องนี้มาหาเขาถึงที่ ยังเป็นความขัดแย้งระหว่างเซียวซูเฟย และฉินหมิงอีกด้วยนี่ทำให้ตวนอ๋องรู้สึกจนใจอย่างมากฉินหมิงมองเขาอย่างลึกซึ้ง จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า“เจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากลงมือกับเจ้า”เขาล่วงรู้ความคิดของตวนอ๋องดี ผู้ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องไม่สมควรเป็นเขาเลย“ข้าไปไม่ได้”ตวนอ๋องขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า เห็นฉินหมิงเผยสีหน้าสงสัย เขาจึงหยิบพระราชโองการออกมาจากอกเสื้อ“พระราชโองการตักเตือนและหักเบี้ยหวัดล้วนตกมาถึงข้าแล้ว เดาดูเถิดว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น?”“โอ้?”ฉินหมิงเลิกคิ้วขึ้นไม่ว่าจะเป็นอ๋องผู้ครองหัวเมืององค์ใดก็ตาม หากทางราชสำนักต้องการลงโทษพวกเขา ก็หนีไม่พ้นวิธีอ
เห็นฉินหมิงยังสงบนิ่งถึงเพียงนี้ ภายในคำพูดไม่เห็นตนอยู่ในสายตาเลยสักนิดฉู่หวยซินที่กำลังเดือดดาลแต่ไร้กำลังตวาดเสียงเฉียบ แต่จิตใจกลับหวาดหวั่น “หากท่านมีความสามารถก็ลองดู! กิจการสิ่งทอของเจียงหนานไม่มีวันตกอยู่ในมือท่าน!”“ข้าก็กำลังลองอยู่นี่ไงเล่า อย่าร้อนใจไป”ฉินหมิงชี้ไปที่ตลาดเบื้องหน้าราคาผ้าภายในตลาดลดลงเรื่อย ๆแต่ราคาที่ลดลงนั้น อยู่ในขอบเขตที่เขารับได้พวกเขาต้นทุนต่ำ ต่อให้ลดราคาก็ยังได้กำไรแต่โรงทอของฉู่หวยซินไม่ไหวแล้วเขาร้อนใจมากเสียงเริ่มสั่นเครือ“ท่าน...ท่านรอก่อนเถอะ!”ฉู่หวยซินรีบวิ่งกลับบ้าน หยิบกระดาษกับพู่กันเขียนจดหมายถึงเถ้าแก่ร้านขายผ้าหลายแห่งที่ตนรู้จักสองวันผ่านไปร้านขายผ้าของฉู่หวยซินราวกับเป็นอัมพาตไปก็มิปาน ลูกจ้างภายในร้านต่างยืนเบิกตาโตเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ร้านขายผ้ากลับเงียบเหงาไร้ผู้คนยิ่งกว่าเสียอีกส่วนฉินหมิงได้พบกับเถ้าแก่ร้านขายผ้าที่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายคนในอำเภอชางซานใช่แล้ว ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดไว้ คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์จนชวนให้คนตกใจเพียงเห็นท่าไม่ดีขึ้นมาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาก็มีเถ้าแก่ร้านขายผ้าหลายแห่งมาที่อ
ในกลุ่มคนยังมีคนฉลาดอยู่บ้างแต่พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น สีหน้าฉู่หวยซินก็เคร่งขรึมลงไป“พวกเราขอให้เขามาช่วยหรือ?”“ใช่แล้ว เป็นเขาอยากช่วยเอง!”“ก็แค่ช่วยพวกเราไปพร้อมกับการกอบกู้โรงทอผ้าของตนไม่ใช่หรือ?”หากเป็นเมื่อตอนที่ผ้าขายไม่ออกแม้พับเดียวเพราะถูกสกุลเซียวควบคุมไว้เบ็ดเสร็จพวกเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้แน่แต่ตอนนี้ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปแล้ว วิกฤติผ่านพ้นไป ทุกคนต่างผ่อนคลาย แม้แต่ความเคารพยำเกรงที่เคยมีก็หมดไปคำพูดเอาเปรียบผู้อื่นทำนองนี้ก็ล้วนสามารถพูดออกมาได้ฉู่หวยซินทางด้านข้างก็ยิ่งยุแหย่ไม่หยุด“พวกเราล้วนเป็นพ่อค้าแห่งเจียงหนาน จะต้องสามัคคีกัน อย่าได้ไปจับมือกับพวกคนยากจนจากหลิ่งหนานเป็นอันขาด”“มีเหตุผล!”“ท่านฉู่พูดถูกแล้ว!”พวกเขาจากไปด้วยความพึงพอใจอย่างรวดเร็วรุ่งเช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์เพิ่งสะท้อนผ่านม่านหมอกอันเบาบางขบวนรถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวพวกเขาขนผ้าเต็มรถม้ามุ่งหน้าไปยังอำเภอชางซานที่อยู่ข้างเคียงกันอย่างเชื่องช้าอำเภอชางซานก็คือถิ่นพำนักของฉู่หวยซินยามเที่ยงวัน เขาเพิ่งออกมาจากร้านขายผ้า เตรียมนำข่าวดีที่ตนเล่นงานฉินหมิงได้ไปบอกลูกสา
เมื่อฉู่หวยซินเอ่ยปากขึ้นบรรดาพ่อค้าที่ยืนอยู่ทางด้านหลังต่างก็เผยสีหน้าชื่นชมในทันใดทุกคนก็ล้วนคิดเช่นนี้ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาตรง ๆ เท่านั้นแต่ฉู่หวยซินแตกต่างออกไป เขามีสกุลเซียวหนุนหลังอยู่ต่อให้ไม่มีฉินหมิงคอยปกป้อง ภายภาคหน้าก็ยังพึ่งพาสกุลเซียวได้ ผู้มีฐานะดีแต่กำเนิดย่อมได้เปรียบผู้ที่ไม่มีอะไรเลย เขาย่อมไม่มีวันสูญเสียอะไรมากนัก“เหตุใดจะไม่เหมือนกัน ในเมื่อยังอยู่ในเขตแดนต้าเฉียน ก็ล้วนเหมือนกันทั้งนั้น”ฉินหมิงรู้ดีว่าคนผู้นี้ต้องก่อเรื่องแน่ จึงเอ่ยปากถามกลับเสียงเรียบฉู่หวยซินยังไม่ทันได้พูด ฉินหมิงก็เอ่ยปากต่อว่า“สินค้าจากโรงทอผ้าสามารถส่งอิทธิพลต่อทั้งแถบเจียงหนาน ไม่ว่าก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ ล้วนเป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น”คำพูดของเขาทำให้หัวใจทุกคนหนักอึ้งเพราะทุกคนต่างรู้ดีถึงการต่อสู้ครั้งก่อนระหว่างสกุลเซียวและฉินหมิงสกุลเซียวเพื่อทำลายโรงทอผ้า ได้กว้านซื้อผ้าไปกักตุนไว้เป็นจำนวนมาก แล้วนำมาขายตัดราคากันนี่ทำให้เหล่าเถ้าแก่ร้านขายผ้าทั้งแถบเจียงหนานต่างพากันเดือดร้อนนับแต่ตั้งแต่ฉินหมิงเข้ามารับช่วงต่อ พวกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอันใดอีกชนิด