Share

บทที่ 8

Author: หออักษร
“พ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิงรับคำ

แล้วรีบหันหลังเดินซอยเท้าถี่ ๆ นำคนออกจากวังไปเชิญฉินหมิง

ฉินหมิงในฐานะองค์รัชทายาท เดิมทีที่พำนักของเขาควรจะอยู่ที่ตำหนักบูรพา

แต่เมื่อหลายปีก่อนเพราะลมปากของเซียวซูเฟย

ฮ่องเต้เฉียนจึงลำเอียง โดยอ้างเหตุผลว่าองค์รัชทายาทโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในวังอีกต่อไป

ให้เขาย้ายออกจากตำหนักบูรพา เพื่อให้องค์ชายเก้า จิ้นอ๋องฉินเยว่ที่ยังทรงพระเยาว์ได้ประทับอยู่แทน

อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการศึกษาเล่าเรียน

แต่ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ต่อให้องค์ชายจะยังทรงพระเยาว์และต้องศึกษาเล่าเรียน ราชวงศ์ก็มีที่พำนักเฉพาะจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว

เหตุใดจะต้องไปใช้ตำหนักบูรพาด้วย?

ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่า นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเหล่าขุนนางของเซียวซูเฟยผู้มีจิตใจคับแคบเท่านั้น

องค์รัชทายาทในตอนนั้นช่างโอบอ้อมอารี ไม่ได้ใส่ใจกับขนบธรรมเนียมอันซับซ้อนเหล่านี้

จึงได้สละตำหนักบูรพาให้อย่างใจกว้าง

ส่วนตนเองก็ไปหาจวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฉินหมิงอาศัยอยู่หลังจากที่มาถึงโลกใบนี้

ก็เพราะการจัดการเช่นนี้ จึงทำให้การรอคอยในวันนี้ยาวนานเป็นพิเศษ

เหล่าขุนนางนั่งอยู่ในที่นั้นจนพากันง่วงเหงาหาวนอน

หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ฉินหมิงจึงได้เดินโซซัดโซเซเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับหัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิง

แต่หลังจากที่เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ สองมือกอดอก

ทำท่าทางเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน

ซุนเหลียนอิงเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด จึงก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า

“ฝ่าบาท ฉินอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เฉียนจ้องเขม็งไปยังฉินหมิงแล้วตรัสว่า

“เจ้าช่างทำตัวใหญ่โตขึ้นทุกวันแล้ว! ปล่อยให้เราและพวกขุนนางเหล่านี้ต้องรอนาน!”

“หลังจากไม่ได้ทำงานในราชสำนักแล้ว นิสัยก็ปล่อยปละละเลยเช่นนี้แล้วหรือ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำตำหนิของเขา ฉินหมิงก็ยักไหล่ กล่าวอย่างมีความหมายแอบแฝง

“เสด็จพ่อ ใคร ๆ ก็รู้ว่า จวนของลูกอยู่ห่างจากพระราชวังมาก การเดินทางย่อมใช้เวลานานหน่อย ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ความหมายของฉินหมิงชัดเจนมาก หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เฒ่าอย่างท่านให้ข้าย้ายออกจากตำหนักบูรพา วันนี้จะปล่อยให้ท่านรอจนเหงือกแห้งได้หรือ?

มิใช่ว่าท่านทำตัวเองหรอกหรือ?

เรื่องที่เหล่าขุนนางต่างก็รู้กันดี ท่านยังมีหน้ามาอ้าปากพูดอีก?

เป็นไปตามคาด หลังจากที่ฉินหมิงพูดประโยคนี้ออกมา พระขนงของฮ่องเต้เฉียนก็ขมวดลึกยิ่งขึ้น

แต่เมื่อทรงคิดดูแล้ว ในตอนนั้นก็เป็นพระองค์เองที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเซียวซูเฟย

ในตอนนี้พระองค์จึงไม่ได้ตรัสอะไรมาก เข้าประเด็นหลักทันที

“เรื่องของกองคาราวานสินค้าหนานหยาง เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงส่ายหน้า ทำท่าทีราวกับว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตน

เฉินซื่อเม่าที่อยู่เบื้องล่างเมื่อเห็นภาพนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย

คนเราย่อมมีโทสะอยู่สามส่วน เห็นได้ชัดว่าในใจของฉินหมิงไม่พอใจ ไม่อยากจะสนใจฮ่องเต้เฉียน

ดูท่าวันนี้คงจะได้ยืมมือของฉินหมิงมาระบายความอัดอั้นตันใจแทนทุกคนแล้ว

“ซุนเหลียนอิง เจ้าบอกเขา”

เวลาที่ฮ่องเต้เฉียนตรัสกับฉินหมิง จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์พิโรธได้ง่าย

ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมที่จะตรัสกับเขาต่อ เปลี่ยนให้ขันทีข้างกายมาพูดแทน

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเหลียนอิงเล่ารายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียด

หลังจากที่เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ตนเองรู้แล้ว ฉินหมิงก็ปรบมือเห็นดีเห็นงาม

“ไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น เหตุใดถึงไม่โดนกระทืบให้ตายไปเลยล่ะ?”

“บังอาจ! พูดจาอะไรของเจ้า!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ ตวาดฉินหมิงอย่างเกรี้ยวกราด

ขุนนางสองสามคนโดยรอบก็มองฉินหมิงอย่างตกตะลึง

องค์รัชทายาทปากคอเราะรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยปากพูดเรื่องกองคาราวานสินค้าหนานหยางต่อ

ฉินหมิงก็หยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสียก่อน

“เสด็จพ่อ สองวันก่อนจ้าวสี่ได้ใส่ร้ายคู่หมั้นของลูก ดูหมิ่นพระเกียรติของราชวงศ์ และยังทะเลาะวิวาทกับลูกกลางถนน ทำให้การสัญจรในเมืองหลวงติดขัด”

“หลังจากนั้นยังมาเข้าเฝ้ากลับดำเป็นขาว ใส่ร้ายป้ายสีลูก ทำให้ท่านทรงลงโทษผิดพลาด ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า...!”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนดูย่ำแย่ลง เรื่องของพระองค์ยังพูดไม่จบเลย

ฉินหมิงกลับมายื่นฎีกาฟ้องร้องก่อนแล้วหรือ?

เฉินซื่อเม่าเอ่ยปากขึ้นทันที

“ฝ่าบาท เมื่อพิจารณาจากเรื่องในวันนี้แล้ว จ้าวสี่ผู้นี้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติเสื่อมทราม”

“องค์ชายทรงให้ความสำคัญกับหน้าตาของราชวงศ์อย่างยิ่ง การกระทำใด ๆ ล้วนรู้จักขอบเขตมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะจ้าวสี่เก็บความแค้นไว้ในใจ ยั่วยุหลายครั้งหลายครา จนถึงขั้นลามปามไปถึงคุณหนูตระกูลกวน องค์ชายก็คงไม่กระทำเช่นนี้”

“ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว จ้าวสี่ผู้นี้ก็นับว่าสมควรแล้วที่ได้รับผลกรรมเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าขุนนางเบื้องล่าง ในตอนนี้ต่างพากันสนับสนุนฉินหมิง

ช่วยไม่ได้ หลายปีมานี้ นอกจากปัญหาบางอย่างที่เป็นเรื่องหลักการแล้ว ฉินหมิงจะไม่ยอมถอยให้เลย

เรื่องอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้ว เขาก็จะเน้นการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง สะสมชื่อเสียงที่ดีงามไว้มากมาย

คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ก็มีคนของเซียวซูเฟยอยู่ไม่กี่คน

แน่นอนว่าใครที่ช่วยพูดได้ ก็จะช่วยพูดสักประโยคหนึ่ง

ฮ่องเต้เฉียนอ้าพระโอษฐ์ แต่กลับไม่รู้ว่าจะตรัสเรื่องใดก่อนดี

รู้สึกเพียงแค่ว่า เรื่องราวดูเหมือนจะเกินกว่าที่พระองค์ทรงคาดการณ์ไว้แล้ว

“รวมกับความผิดที่ทำการค้าในวันนี้ล่มด้วย เสด็จพ่อ โปรดลงโทษจ้าวสี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหมิงก็กล่าวต่อไปว่า

“รวมความผิดหลายข้อหา ตัดสินประหารชีวิตก็ไม่นับว่าเกินเลย”

“หยุด!”

เมื่อเห็นว่าหากฉินหมิงสาธยายต่อไปอีก คงจะลากไปถึงเก้าชั่วโคตรได้

ฮ่องเต้เฉียนจึงรีบห้ามเขาไว้

“เรื่องของเจ้า เอาไว้ค่อยพูดทีหลัง!”

“ตอนนี้กองคาราวานสินค้าหนานหยางก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้ว เจ้าไปจัดการปลอบโยนพวกเขาก่อน แล้วจัดการปิดการค้าครั้งนี้ให้เรียบร้อย”

เมื่อเห็นว่าเขาคิดจะตบตาตนเอง

ฉินหมิงก็ยิ้มออกมา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดว่าข้าเป็นแรงงานฟรีของท่านหรือ?

คนที่เป็นขุนนางยังมีเบี้ยหวัดเลย แต่ข้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

จะทำไปทำพระแสงอะไร!

“เสด็จพ่อ ลูกป่วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงเอ่ยปากออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“เจ้าป่วยหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงกล่าวอย่างจริงใจและจริงจัง

จากนั้นร่างกายก็โซเซไปมา ทันใดนั้นก็ทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงนั่งกับพื้นเสียงดังตุบ

“สองวันนี้ร่างกายไม่ค่อยสบายจริง ๆ ท่านไปหาคนอื่นที่เก่งกว่านี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

...

ทุกคนต่างเงียบกริบ

คนตรงหน้านี้ ไหนเลยจะเป็นองค์รัชทายาท

นี่มันอันธพาลชัด ๆ มิใช่หรือ?

ความหมายของเขา ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเข้าใจดี

หากไม่จัดการปัญหา เช่นนั้นก็จะยื้อกันอยู่อย่างนี้ต่อไป

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตรัสว่า

“ซุนเหลียนอิง!”

“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ส่งจ้าวสี่ไปยังกรมอาญาเพื่อรับการไต่สวน และให้ยกเลิกการลงโทษต่อฉินอ๋อง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวสี่กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว แถมยังทำผิดมหันต์อีก

จะเสียแรงไปปกป้องเขาก็ไม่มีประโยชน์อันใด

มิสู้ให้เขาได้ทำประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ฉินหมิงได้ระบายความโกรธ แล้วรีบไปจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น

“อ๊ะ... ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น

“ไปได้แล้วใช่หรือไม่?”

ฮ่องเต้เฉียนทรงแค่นเสียงเย็น ตรัสถามด้วยความรังเกียจอย่างเต็มเปี่ยม

อย่างไรเสียความสัมพันธ์พ่อลูกก็มาถึงขั้นนี้แล้ว

ฉินหมิงหน้าด้านหน้าทน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไปแล้ว

“เสด็จพ่อ ลูกมิใช่องค์รัชทายาท เป็นเพียงแค่อ๋องผู้ครองหัวเมือง ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? อย่าได้ได้คืบจะเอาศอก!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ จ้องมองเขาเขม็งด้วยความพิโรธ

ในใจของเฉินซื่อเม่ารู้สึกยินดี

หรือว่าองค์รัชทายาทจะคิดได้แล้ว

อยากจะฉวยโอกาสนี้ทวงตำแหน่งองค์รัชทายาทกลับคืน?

ฮ่องเต้เฉียนและขุนนางคนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป

“ท่านอย่าเพิ่งกริ้วเลย ลูกไม่ได้ต้องการตำแหน่งองค์รัชทายาทคืน เพียงแต่การเดินทางไปยังหลิ่งหนานครั้งนี้ มีเพียงสามหน่วยพิทักษ์นั้นน้อยเกินไปจริง ๆ ”

“ลูกอยากจะได้ค่ายทหารอู่เวยเพิ่มอีก ขอเสด็จพ่อโปรดประทานให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต้องตกตะลึงจนตาค้าง!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 257

    เมื่อฟังคำอธิบายของฉินหมิงจบ ฟางชิงหย่วนก็เดินไปยังป้ายบอกทางของโรงทอผ้าหลังก่อสร้างมาได้ระยะหนึ่ง โรงทอผ้าก็มีพื้นที่กว้างขวางมากแล้วยามมีคนงานซึ่งไม่คุ้นเคยกับสถานที่เดินทางมาจากอำเภอต่าง ๆ ก็ต้องใช้ทั้งป้ายและแผนที่คอยนำทาง“เอาเป็นสองที่นี้ก็แล้วกัน ขนาดเท่ากันพอดี”“ส่วนจำนวนคนเดี๋ยวข้าจะจัดสรรให้พวกท่าน เชิญพวกท่านไปเลือกคนกันได้ตามสบาย”ฟางชิงหย่วนพูดเนิบนาบตามความคิดของเขา เรื่องนี้ไม่มีอะไรชวนให้เดือดดาลใจในเมื่อทุกคนอยากดู ก็แค่แข่งขันกันให้รู้แล้วรู้รอดไปความจริงย่อมมีน้ำหนักกว่าคำพูด เขาเชื่อมั่นในทฤษฎีของตนเองยิ่งนัก“ประเสริฐ”ฉินหมิงกับหลี่เอ้อร์หนิวต่างพยักหน้า“พวกเจ้า ไปแย่งคนมาก่อนเลย”เมื่อตกลงกันเรียบร้อย หลี่เอ้อร์หนิวก็สั่งลูกน้อง ให้เริ่มไปชิงตัวสาวชาวบ้านที่ทำงานคล่องแคล่วในโรงทอผ้ามาก่อนล่วงหน้าฉินหมิงกลับไม่ได้ทำอะไร ด้วยความที่ตนมีคนน้อยกว่าหลี่เอ้อร์หนิวถึงครึ่งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงวันรุ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็นำกลุ่มคนงานของตนไปเริ่มทำงานอย่างรวดเร็วฉินหมิงเลือกคนมาสามกลุ่มแบบเดาสุ่ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ทุกคนทำตามกฎระเบียบเดิม ติ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 256

    ถ้าต้องรับมือกับคนนอก ฉินหมิงย่อมเลือกใช้วิธีทางกายภาพอันรวดเร็วที่สุดเพื่อกำจัดอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลแต่คนในโรงงานเวลานี้ ล้วนแต่เป็นคนของฉินหมิงทั้งสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ หากให้ซ่งติ้งเซิงลงมือ ไม่เพียงแต่จะทำให้กลุ่มคนงานหมดความภักดี แม้แต่ภาพลักษณ์ก็คงเสียหายย่อยยับเช่นกัน“ท่านอ๋อง โปรดอธิบายให้พวกเราฟังแต่โดยดีเถิด มิเช่นนั้นทุกคนคงไม่เชื่อท่านแล้ว”หลี่เอ้อร์หนิวเห็นสถานการณ์พลิกผัน ก็ได้ทีรุกคืบด้วยความลำพองใจบัดนี้ทุกคนต่างกำลังรอคอยคำตอบจากฉินหมิงฉินหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความจนปัญญาว่า“หลี่เอ้อร์หนิว เจ้าเป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยการผลิต ใช่หรือไม่?”“ใช่ขอรับ”หลี่เอ้อร์หนิวยักไหล่ มองฉินหมิงด้วยความกังขา“เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้คนแก่เจ้ามากกว่าของข้าหนึ่งเท่า ในเวลาสามวัน พวกเรามาแข่งกันเรื่องผลผลิต ดีหรือไม่?”“ท่านจะแข่งเรื่องประสิทธิภาพการผลิตกับข้างั้นรึ? ซ้ำยังใช้คนเพียงครึ่งเดียวอีก?”หลี่เอ้อร์หนิวแทบไม่เชื่อหูตนเอง“ถูกต้อง ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า บางครั้งมีคนเยอะก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี หลักการที่ว่ามากคนก็มากความ ดูท่าจะมีผ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 255

    ทั้งสองคนเดินมาถึงเบื้องหน้าฝูงชนหลี่เอ้อร์หนิวยังคงพูดความคิดของตนอย่างออกรส ขัดขวางการจัดสรรคนงานของโรงทอผ้าโดยไม่มีคำว่าเกรงใจ“ท่านอ๋องมาแล้ว!”ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในฝูงชนที่ตะโกนขึ้นมาก่อน จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันหลีกทางให้เมื่อฉินหมิงเดินเข้ามาจากนอกวง หลี่เอ้อร์หนิวก็พลันมีท่าทีอ่อนลงไปกว่าครึ่งเมื่อครู่เขายังส่งเสียงดังลั่น แต่บัดนี้กลับเงียบเสียงลงแล้ว“ขอถามหน่อยเถิด ผู้ใดบอกว่าจะลดค่าจ้างพวกเจ้ารึ?”เสียงของฉินหมิงถามขึ้นอย่างแช่มช้าทุกคนต่างเหลือบมองไปที่หลี่เอ้อร์หนิวผู้ซึ่งเมื่อครู่ยังทำตัวหยิ่งผยองส่วนหลี่เอ้อร์หนิวนั้น ยามนี้ก็ได้แต่พูดอึกอักว่า“ก็ในประกาศมีความหมายเช่นนั้นมิใช่หรือ…”เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเองเหตุผลที่ไม่อยากให้มีการย้ายคนงานเกิดขึ้น ก็เพราะเขามีลูกน้องหลายคนมาจากต่างพื้นที่กันบางคนมีบ้านอยู่ใกล้โรงช่าง บ้างก็อยู่ใกล้โรงย้อมผ้า ล้วนแต่ร้องขออยากย้ายที่ทำงานกันทั้งสิ้นเมื่อเห็นว่าลูกน้องอยากย้ายที่ทำงานกันเหลือเกิน หลี่เอ้อร์หนิวก็ยิ่งไม่อยากปล่อยมือตัวเขาอุตส่าห์ฝึกฝนลูกน้องจนกลายเป็นคนสนิท ถึงขั้นทำตัววางอำนาจใน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 254

    เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านประสิทธิภาพการผลิต และคนงานจำนวนมากที่ไม่รู้หนังสือดังนั้น ฟางชิงหย่วนจึงไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงนำข้อสรุปไปติดประกาศไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวแต่คนงานหลายพันคนในโรงทอผ้า อยู่ดี ๆ จะให้พวกเขาย้ายที่ทำงานอย่างกะทันหัน ย่อมมีบางส่วนไม่พอใจเป็นธรรมดาสิ้นเสียงของฉินหมิง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในฝูงชน“ให้ตายเถิด คิดจะลดค่าจ้างกับสวัสดิการของพวกเราใช่หรือไม่? อย่างไรข้าก็ไม่ไป!”คนที่พูด มีนามว่าหลี่เอ้อร์หนิวเขาเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านกว่างสุ่ยทางตอนเหนือของเมืองหลินเจียง ว่ากันว่ามีชื่อเสียงในหมู่บ้านพอสมควรหลังมาถึงโรงทอผ้า เนื่องจากมีผลงานโดดเด่น และผู้คนนับหน้าถือตาไม่น้อย จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยในเวลาไม่นาน“บังอาจนัก!”ซ่งติ้งเซิงขมวดคิ้ว โบกมือเรียกเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ข้างกาย ให้เตรียมเข้าไปจับตัวหลี่เอ้อร์หนิวในยามที่โรงทอผ้ากำลังจะจัดสรรจำนวนคนงาน เพื่อไปส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่น ๆ หากมีคนเสนอหน้าออกมาขัดขวางย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและการดำเนินงานของโรงทอผ้าอย่างใหญ่หลวงนัก!ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็ย

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 253

    “ตอนแรกเมื่อเริ่มใช้คนงานเยอะขึ้น ปริมาณการผลิตก็เพิ่มขึ้นเร็ว แต่พอเพิ่มคนเข้าไปเรื่อย ๆ ปริมาณการผลิตกลับเพิ่มขึ้นไม่เร็วเท่าเดิมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟางชิงหย่วนหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา อธิบายการค้นพบของตนให้ฉินหมิงฟังด้วยความเคร่งเครียด“นี่คงเรียกว่ากฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตส่วนเพิ่ม”ฉินหมิงใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เท่าหางอึ่งของตน รำพึงออกมาโดยไม่รู้ตัว“อะไรคือกฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตส่วนเพิ่มรึพ่ะย่ะค่ะ?”ฟางชิงหย่วนรั้งฉินหมิงไว้ ขณะถามบนขั้นบันได“ก็คือการลงทุนลงแรงไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้นไม่เร็วเท่าเดิมแล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าที่กระหม่อมศึกษามาจะถูกต้องแล้ว”ฟางชิงหย่วนผงกศีรษะ หยิบแท่งถ่านสีดำยาวออกมาจากอกเสื้อ แล้วเริ่มขีดเขียนลงบนสมุดเล่มเล็กที่เย็บเล่มอย่างประณีตตรงหน้าในยุคนี้มีเพียงพู่กัน ซึ่งใช้งานค่อนข้างลำบากหากอยากจดบันทึกทุกที่ทุกเวลาเช่นเขา ก็ต้องใช้แท่งถ่านกับสมุดเล่มเล็กเท่านั้น“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่อยากขยายการผลิตของโรงงานแล้ว รักษาสภาพเดิมไว้ก็พอ สิ่งที่เราต้องคิดในตอนนี้คือ จะรักษาระดับการเติบโตให้เร็วขึ้นได้อย

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 252

    “จับได้กี่คน?”“สองคนพ่ะย่ะค่ะ ประตูเมืองทิศอื่น ๆ ก็น่าจะมีเช่นกัน”เมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า“จับต่อไป ไว้ชีวิตแค่จำนวนหนึ่งก็พอ เอาไว้เค้นถามกำลังคนที่แน่ชัดในภายหลัง ถือโอกาสที่ฝนตกหลายวันมานี้ คนเดินถนนมีน้อย ปิดล้อมอำเภอไว้ก่อน รอให้สังหารองครักษ์เงาหมดสิ้นเมื่อใด ค่อยเปิดประตูเมือง”“พ่ะย่ะค่ะ!”ซ่งติ้งเซิงรับคำสั่ง พลางมองอู๋สื่อจงที่ยังคงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่พูดคำใด ในใจพลันรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง“อะแฮ่ม!”เขากระตุกชายเสื้ออู๋สื่อจงตอนนั้นเอง อู๋สื่อจงถึงได้สติ“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”หลังปิดล้อมสังหารคนอยู่สองวันครึ่ง ฉางไป๋ซานก็นำกองกำลังองครักษ์ของฉินหมิง สังหารองครักษ์เงาทั้งยี่สิบเจ็ดคนที่มาถึงอำเภออินซานจนหมดสิ้นขณะมองดูรายชื่อผู้เสียชีวิตที่เขียนด้วยหมึกสีแดงสด ฉินหมิงก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกซ่งติ้งเซิงผู้ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า“ท่านอ๋อง โรงทอผ้าส่งข่าวมา บอกว่าพวกเขาสร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว สามารถเริ่มการผลิตจำนวนมากได้ทันที เวลานี้อยากให้ท่านส่งคนงานไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”อุตสาหกรรมสิ่งทอได้รับการยกระดับอีกครั้ง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status