Share

บทที่ 8

Author: หออักษร
“พ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิงรับคำ

แล้วรีบหันหลังเดินซอยเท้าถี่ ๆ นำคนออกจากวังไปเชิญฉินหมิง

ฉินหมิงในฐานะองค์รัชทายาท เดิมทีที่พำนักของเขาควรจะอยู่ที่ตำหนักบูรพา

แต่เมื่อหลายปีก่อนเพราะลมปากของเซียวซูเฟย

ฮ่องเต้เฉียนจึงลำเอียง โดยอ้างเหตุผลว่าองค์รัชทายาทโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในวังอีกต่อไป

ให้เขาย้ายออกจากตำหนักบูรพา เพื่อให้องค์ชายเก้า จิ้นอ๋องฉินเยว่ที่ยังทรงพระเยาว์ได้ประทับอยู่แทน

อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการศึกษาเล่าเรียน

แต่ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ต่อให้องค์ชายจะยังทรงพระเยาว์และต้องศึกษาเล่าเรียน ราชวงศ์ก็มีที่พำนักเฉพาะจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว

เหตุใดจะต้องไปใช้ตำหนักบูรพาด้วย?

ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่า นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเหล่าขุนนางของเซียวซูเฟยผู้มีจิตใจคับแคบเท่านั้น

องค์รัชทายาทในตอนนั้นช่างโอบอ้อมอารี ไม่ได้ใส่ใจกับขนบธรรมเนียมอันซับซ้อนเหล่านี้

จึงได้สละตำหนักบูรพาให้อย่างใจกว้าง

ส่วนตนเองก็ไปหาจวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฉินหมิงอาศัยอยู่หลังจากที่มาถึงโลกใบนี้

ก็เพราะการจัดการเช่นนี้ จึงทำให้การรอคอยในวันนี้ยาวนานเป็นพิเศษ

เหล่าขุนนางนั่งอยู่ในที่นั้นจนพากันง่วงเหงาหาวนอน

หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ฉินหมิงจึงได้เดินโซซัดโซเซเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับหัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิง

แต่หลังจากที่เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ สองมือกอดอก

ทำท่าทางเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน

ซุนเหลียนอิงเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด จึงก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า

“ฝ่าบาท ฉินอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เฉียนจ้องเขม็งไปยังฉินหมิงแล้วตรัสว่า

“เจ้าช่างทำตัวใหญ่โตขึ้นทุกวันแล้ว! ปล่อยให้เราและพวกขุนนางเหล่านี้ต้องรอนาน!”

“หลังจากไม่ได้ทำงานในราชสำนักแล้ว นิสัยก็ปล่อยปละละเลยเช่นนี้แล้วหรือ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำตำหนิของเขา ฉินหมิงก็ยักไหล่ กล่าวอย่างมีความหมายแอบแฝง

“เสด็จพ่อ ใคร ๆ ก็รู้ว่า จวนของลูกอยู่ห่างจากพระราชวังมาก การเดินทางย่อมใช้เวลานานหน่อย ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ความหมายของฉินหมิงชัดเจนมาก หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เฒ่าอย่างท่านให้ข้าย้ายออกจากตำหนักบูรพา วันนี้จะปล่อยให้ท่านรอจนเหงือกแห้งได้หรือ?

มิใช่ว่าท่านทำตัวเองหรอกหรือ?

เรื่องที่เหล่าขุนนางต่างก็รู้กันดี ท่านยังมีหน้ามาอ้าปากพูดอีก?

เป็นไปตามคาด หลังจากที่ฉินหมิงพูดประโยคนี้ออกมา พระขนงของฮ่องเต้เฉียนก็ขมวดลึกยิ่งขึ้น

แต่เมื่อทรงคิดดูแล้ว ในตอนนั้นก็เป็นพระองค์เองที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเซียวซูเฟย

ในตอนนี้พระองค์จึงไม่ได้ตรัสอะไรมาก เข้าประเด็นหลักทันที

“เรื่องของกองคาราวานสินค้าหนานหยาง เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงส่ายหน้า ทำท่าทีราวกับว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตน

เฉินซื่อเม่าที่อยู่เบื้องล่างเมื่อเห็นภาพนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย

คนเราย่อมมีโทสะอยู่สามส่วน เห็นได้ชัดว่าในใจของฉินหมิงไม่พอใจ ไม่อยากจะสนใจฮ่องเต้เฉียน

ดูท่าวันนี้คงจะได้ยืมมือของฉินหมิงมาระบายความอัดอั้นตันใจแทนทุกคนแล้ว

“ซุนเหลียนอิง เจ้าบอกเขา”

เวลาที่ฮ่องเต้เฉียนตรัสกับฉินหมิง จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์พิโรธได้ง่าย

ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมที่จะตรัสกับเขาต่อ เปลี่ยนให้ขันทีข้างกายมาพูดแทน

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเหลียนอิงเล่ารายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียด

หลังจากที่เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ตนเองรู้แล้ว ฉินหมิงก็ปรบมือเห็นดีเห็นงาม

“ไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น เหตุใดถึงไม่โดนกระทืบให้ตายไปเลยล่ะ?”

“บังอาจ! พูดจาอะไรของเจ้า!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ ตวาดฉินหมิงอย่างเกรี้ยวกราด

ขุนนางสองสามคนโดยรอบก็มองฉินหมิงอย่างตกตะลึง

องค์รัชทายาทปากคอเราะรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยปากพูดเรื่องกองคาราวานสินค้าหนานหยางต่อ

ฉินหมิงก็หยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสียก่อน

“เสด็จพ่อ สองวันก่อนจ้าวสี่ได้ใส่ร้ายคู่หมั้นของลูก ดูหมิ่นพระเกียรติของราชวงศ์ และยังทะเลาะวิวาทกับลูกกลางถนน ทำให้การสัญจรในเมืองหลวงติดขัด”

“หลังจากนั้นยังมาเข้าเฝ้ากลับดำเป็นขาว ใส่ร้ายป้ายสีลูก ทำให้ท่านทรงลงโทษผิดพลาด ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า...!”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนดูย่ำแย่ลง เรื่องของพระองค์ยังพูดไม่จบเลย

ฉินหมิงกลับมายื่นฎีกาฟ้องร้องก่อนแล้วหรือ?

เฉินซื่อเม่าเอ่ยปากขึ้นทันที

“ฝ่าบาท เมื่อพิจารณาจากเรื่องในวันนี้แล้ว จ้าวสี่ผู้นี้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติเสื่อมทราม”

“องค์ชายทรงให้ความสำคัญกับหน้าตาของราชวงศ์อย่างยิ่ง การกระทำใด ๆ ล้วนรู้จักขอบเขตมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะจ้าวสี่เก็บความแค้นไว้ในใจ ยั่วยุหลายครั้งหลายครา จนถึงขั้นลามปามไปถึงคุณหนูตระกูลกวน องค์ชายก็คงไม่กระทำเช่นนี้”

“ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว จ้าวสี่ผู้นี้ก็นับว่าสมควรแล้วที่ได้รับผลกรรมเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าขุนนางเบื้องล่าง ในตอนนี้ต่างพากันสนับสนุนฉินหมิง

ช่วยไม่ได้ หลายปีมานี้ นอกจากปัญหาบางอย่างที่เป็นเรื่องหลักการแล้ว ฉินหมิงจะไม่ยอมถอยให้เลย

เรื่องอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้ว เขาก็จะเน้นการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง สะสมชื่อเสียงที่ดีงามไว้มากมาย

คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ก็มีคนของเซียวซูเฟยอยู่ไม่กี่คน

แน่นอนว่าใครที่ช่วยพูดได้ ก็จะช่วยพูดสักประโยคหนึ่ง

ฮ่องเต้เฉียนอ้าพระโอษฐ์ แต่กลับไม่รู้ว่าจะตรัสเรื่องใดก่อนดี

รู้สึกเพียงแค่ว่า เรื่องราวดูเหมือนจะเกินกว่าที่พระองค์ทรงคาดการณ์ไว้แล้ว

“รวมกับความผิดที่ทำการค้าในวันนี้ล่มด้วย เสด็จพ่อ โปรดลงโทษจ้าวสี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหมิงก็กล่าวต่อไปว่า

“รวมความผิดหลายข้อหา ตัดสินประหารชีวิตก็ไม่นับว่าเกินเลย”

“หยุด!”

เมื่อเห็นว่าหากฉินหมิงสาธยายต่อไปอีก คงจะลากไปถึงเก้าชั่วโคตรได้

ฮ่องเต้เฉียนจึงรีบห้ามเขาไว้

“เรื่องของเจ้า เอาไว้ค่อยพูดทีหลัง!”

“ตอนนี้กองคาราวานสินค้าหนานหยางก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้ว เจ้าไปจัดการปลอบโยนพวกเขาก่อน แล้วจัดการปิดการค้าครั้งนี้ให้เรียบร้อย”

เมื่อเห็นว่าเขาคิดจะตบตาตนเอง

ฉินหมิงก็ยิ้มออกมา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดว่าข้าเป็นแรงงานฟรีของท่านหรือ?

คนที่เป็นขุนนางยังมีเบี้ยหวัดเลย แต่ข้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

จะทำไปทำพระแสงอะไร!

“เสด็จพ่อ ลูกป่วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงเอ่ยปากออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“เจ้าป่วยหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงกล่าวอย่างจริงใจและจริงจัง

จากนั้นร่างกายก็โซเซไปมา ทันใดนั้นก็ทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงนั่งกับพื้นเสียงดังตุบ

“สองวันนี้ร่างกายไม่ค่อยสบายจริง ๆ ท่านไปหาคนอื่นที่เก่งกว่านี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

...

ทุกคนต่างเงียบกริบ

คนตรงหน้านี้ ไหนเลยจะเป็นองค์รัชทายาท

นี่มันอันธพาลชัด ๆ มิใช่หรือ?

ความหมายของเขา ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเข้าใจดี

หากไม่จัดการปัญหา เช่นนั้นก็จะยื้อกันอยู่อย่างนี้ต่อไป

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตรัสว่า

“ซุนเหลียนอิง!”

“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ส่งจ้าวสี่ไปยังกรมอาญาเพื่อรับการไต่สวน และให้ยกเลิกการลงโทษต่อฉินอ๋อง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวสี่กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว แถมยังทำผิดมหันต์อีก

จะเสียแรงไปปกป้องเขาก็ไม่มีประโยชน์อันใด

มิสู้ให้เขาได้ทำประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ฉินหมิงได้ระบายความโกรธ แล้วรีบไปจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น

“อ๊ะ... ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น

“ไปได้แล้วใช่หรือไม่?”

ฮ่องเต้เฉียนทรงแค่นเสียงเย็น ตรัสถามด้วยความรังเกียจอย่างเต็มเปี่ยม

อย่างไรเสียความสัมพันธ์พ่อลูกก็มาถึงขั้นนี้แล้ว

ฉินหมิงหน้าด้านหน้าทน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไปแล้ว

“เสด็จพ่อ ลูกมิใช่องค์รัชทายาท เป็นเพียงแค่อ๋องผู้ครองหัวเมือง ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? อย่าได้ได้คืบจะเอาศอก!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ จ้องมองเขาเขม็งด้วยความพิโรธ

ในใจของเฉินซื่อเม่ารู้สึกยินดี

หรือว่าองค์รัชทายาทจะคิดได้แล้ว

อยากจะฉวยโอกาสนี้ทวงตำแหน่งองค์รัชทายาทกลับคืน?

ฮ่องเต้เฉียนและขุนนางคนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป

“ท่านอย่าเพิ่งกริ้วเลย ลูกไม่ได้ต้องการตำแหน่งองค์รัชทายาทคืน เพียงแต่การเดินทางไปยังหลิ่งหนานครั้งนี้ มีเพียงสามหน่วยพิทักษ์นั้นน้อยเกินไปจริง ๆ ”

“ลูกอยากจะได้ค่ายทหารอู่เวยเพิ่มอีก ขอเสด็จพ่อโปรดประทานให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต้องตกตะลึงจนตาค้าง!
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 426

    “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเถิด แต่ค่ายทหารในมือข้าไม่มีทางมอบให้ราชสำนักเด็ดขาด”คำพูดของพวกเขา อันที่จริงฉินหมิงคาดการณ์ได้นานแล้วแต่ค่ายทหารอู่เวย ฉินหมิงเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือไม่ว่าจะเป็นโรงช่าง โรงทอผ้า ร้านขายผ้า หรือโรงผลิตเกลือ ต่างก็เป็นของเขาทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เหรินโซ่วผู้อยู่ด้านข้างเพิ่งได้ยินฉินหมิงกล่าวตอบ ก็คัดค้านขึ้นทันทีแต่ฟู่เจิ้งเซวียนกลับห้ามเขาไว้“ท่านอ๋อง ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่พวกกระหม่อมจะรายงานต่อราชสำนักตามความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เจิ้งเซวียนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับฉินหมิงให้มากความที่พวกเขามาครั้งนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นส่วนความผิดที่แท้จริงของฉินหมิงนั้น ถูกกำหนดไว้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก“ย่อมได้”ฉินหมิงพยักหน้าเชื่องช้าระยะนี้ โรงช่างของพวกเขาเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง สามารถติดอาวุธให้ทั้งค่ายทหารได้อย่างทั่วถึงแม้แต่จำนวนปืนคาบศิลา ก็มีถึงหนึ่งพันกว่ากระบอกยาเม็ดยิ่งเตรียมไว้นับไม่ถ้วนถ้าราชสำนักมาจริงก็พร้อมสู้นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงมาถึงโลกใบนี้ เขาก็ตระหนักดีว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดควา

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 425

    อีกด้านหนึ่ง ภายในจวนของฉินหมิงหลิ่วเยว่หลีกำลังรายงานตำแหน่งของเหล่าองครักษ์เงา“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ตรวจพบสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่อำเภอซี ในสังกัดเมืองเฉียนถังเพคะ”“ข้ารู้แล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าแช่มช้า จากนั้นจึงเหน็บดาบยาวไว้ข้างเอว ก่อนขี่ม้าตรงไปที่อำเภอซีด้วยตนเองไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าครั้งนี้ ฉินหมิงจะไปกำจัดเหล่าองครักษ์เงาเพียงลำพัง!กลุ่มข่าวกรองของหลิ่วเยว่หลี เพียงระบุตำแหน่งให้เขารู้เท่านั้นการลงมือฉายเดี่ยวของฉินหมิงนั้นทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และเด็ดขาด โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตั้งตัวสักนิด!ฉินหมิงมีความสามารถถึงขั้นนั้นแล้วแม้การออกกระบวนท่าต่าง ๆ จะยังไม่ชำนาญนัก แต่สิ่งที่เขาขาดในยามนี้ก็คือการฝึกฝน“หวังว่าคู่ซ้อมในวันนี้จะทำให้ข้าพอใจก็แล้วกัน”ขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ฉินหมิงก็พึมพำกับตนเองอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ฉินหมิงย่อมต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสีแม้จะมีเพียงตัวคนเดียว แต่เขาก็สามารถสังหารหมู่กลุ่มคนขนาดเล็กของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกว่ากลุ่มเขาลงมือเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือต่อให้พบเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าฉินหมิงผู้ควบม้าอยู่ด้านนอกเพียงลำพ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 424

    พวกเขาล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเดิมทีฟางชิงหย่วนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หลังถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งใหญ่อีกต่อไปย่อมทำให้บรรดาเพื่อนขุนนางที่เคยร่วมงานกัน คิดดูแคลนเล็กน้อยประกอบกับจุดยืนของพวกเขาในยามนี้แตกต่างกันขุนนางส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างเซียวซูเฟย จึงไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินหมิงกับฟางชิงหย่วนได้แข็งข้อส่วนหลี่เหรินโซ่วผู้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหม ด้วยความที่กรมกลาโหมมักไปเบิกเงินและเสบียงจากกรมคลังอยู่บ่อยครั้งแต่ฟางชิงหย่วนเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการจึงปฏิเสธคำขอของหลี่เหรินโซ่วเป็นประจำ ทำให้หลี่เหรินโซ่วแค้นฝังใจในเวลานี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ หลี่เหรินโซ่วจึงต้องเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนของอีกฝ่าย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงอย่างซ่งติ้งเซิงและหลิวฉ่วง ต่างก็รู้สึกไม่พอใจฟางชิงหย่วนเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมผู้ใดโดยง่าย จึงกล่าวขึ้นทันที“ใต้เท้าหลี่ หากท่านไม่เข้าใจบัญชีของกรมกลาโหม ก็มากราบข้าเป็นอาจารย์สิ เดี๋ยวข้าสอนท่านเอง”“จะให้ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์น่ะหรือ?”หลี่เหรินโซ่วเบะปากด้วยคว

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 423

    “รับบัญชาเพคะ!”หลิ่วเยว่หลีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังเตรียมตัวเดินจากไปนางจะนำกลุ่มองครักษ์ลับ ไปสืบหาร่องรอยขององครักษ์เงาเหล่านั้นส่วนฉินหมิง ช่วงนี้คงต้องลบล้างอิทธิพลที่เกิดจากสำนักหลัวให้ได้ก่อนรัตติกาลมาเยือน กวนเยว่ต้มชาโสมถ้วยหนึ่ง นำมาวางลงตรงหน้าฉินหมิงฉินหมิงสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง นั่งรับลมฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในศาลา“หากราชสำนักใช้เรื่องสำนักหลัวเป็นข้ออ้าง นำทัพเข้ามาในหลิ่งหนาน พวกเราจะทำอย่างไร?”กวนเยว่กังวลใจเรื่องค่ายทหารอู่เวยยิ่งนักเนื่องจากนี่คือกองทัพสำคัญที่บิดานางทิ้งไว้ให้ฉินหมิงเคยกล่าวไว้ว่า จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่บัดนี้ เขาทำได้แล้ว แต่ก็มีแรงกดดันจากราชสำนักตามมาติด ๆ เช่นกัน“กองทัพเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวก่อนค่อยว่ากัน”“อืม”หลายวันต่อมา คณะผู้ตรวจสอบจากราชสำนักก็เดินทางมาถึงหลิ่งหนานคนที่มาในครั้งนี้คือ หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ฟู่เจิ้งเซวียนผู้ช่วยของเขาคือรองเจ้ากรมกลาโหม หลี่เหรินโซ่วนอกจากนี้ยังมีลู่เหยียนเหนียนจากกรมทหารม้า เริ่นหลิงอวิ๋นจากกรมโยธาธิการและผู้คน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 422

    ในอดีตครั้งที่เฉินซื่อเม่าอยู่ในราชสำนัก เขายังพอจะกดข่มคำพูดว่าร้ายฉินหมิงจากฝ่ายพระสนมเซียวซูเฟยได้บ้างแต่เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวง พระสนมเซียวซูเฟยและเหล่าขุนนางใต้สังกัดนางก็สบโอกาสลงมือพวกเขาอาศัยจังหวะนี้ เริ่มโจมตีฉินหมิงทันทีเมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนสอบถาม“แล้วศึกทางเหนือเล่า พวกเขาไม่สนใจแล้วหรือ?”“ได้ข่าวว่ายังรบกันอยู่ แต่ฝ่ายต้าเฉียนน่าจะใกล้ขอเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้วเพคะ”“เจรจาสงบศึก!?”ฉินหมิงถึงกับตกตะลึงแม้ชนเผ่าทางเหนือจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กำลังรบของต้าเฉียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ต้าเฉียนเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับรอโต้กลับ แต่บัดนี้กลับคิดยอมจำนนนี่ช่างน่าอัปยศเสียจริงหากเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาสงบศึก เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้ด้วยเงินมหาศาล มิหนำซ้ำอาจต้องยกดินแดนให้อีกฝ่ายต้าเฉียนก่อตั้งประเทศมาหลายชั่วอายุคน ยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!“จากการสืบสวนของกองเงาทมิฬ ราชสำนักคงอยากถอนตัวโดยเร็ว เพื่อมาจัดการกับท่านอ๋องเพคะ”หลิ่วเยว่หลีกล่าวถึงการคาดเดาของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและนี่ก็สอดคล้องกับวิธีการทำงานของราช

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 421

    เมื่อเห็นดังนั้น ฉินหมิงก็รีบชักมือกลับทันทีเฉาชวนกับหลิวฉ่วงจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น พลางหอบหายใจหนักหน่วง“สำนักหลัวช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!”ยามนี้บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพูดตามตรง พลังลมปราณของฉินหมิงเวลานี้ หากบอกว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้า ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเป็นอันดับหนึ่งแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปรวบรวมตำราวรยุทธ์ให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”แม้หลิวฉ่วงจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินหมิง แต่เมื่อฟื้นตัวแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหากฉินหมิงมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลังฝึกฝนวรยุทธ์ ก็สามารถขึ้นเป็นยอดแม่ทัพอีกคนหนึ่งของค่ายทหาร และเข้าร่วมสงครามได้อย่างแน่นอนและการค้าขายของพวกเขาขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี กิจการทุกประเภทล้วนได้รับผลกำไรมากมายกระทั่งเงินที่เคยหยิบยืมจากหอการค้าหลิ่งหนาน ก็ชดใช้คืนหมดสิ้นและเมื่อมีเงินแล้ว ก็ซื้อตำราฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นได้ไม่มีปัญหา“จะลำบากเช่นนั้นไปไย”ฉางไป๋ซานพลันขวางเขาไว้ และโบกมือเบา ๆจากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าผากของตนเองพลางกล่าว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”“ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านอ๋องนั้น ความจริงก็เพื่อฝึ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status