“น้ำผึ้ง! ทำไมวันนี้...หนูถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะลูก?” ธันวามองบุตรสาวคนเดียวของเขาที่กำลังเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะกินข้าว เนื่องจากวันนี้อีกฝ่ายสวมแว่นตาหนาเตอะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วไหนจะชุดสูทกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับทรงผมแสกกลางที่มัดเป็นหางม้าเอาไว้ต่ำ ๆ ตรงกลางหลังนั่นอีก
“ตอนบ่ายฉันก็ตกใจแบบคุณเลยค่ะ นึกว่ามนุษย์ป้าที่ไหนแอบเข้ามาเดินอยู่ในบ้านของเรา”
“แม่อะ...นี่ผึ้งเอง น้ำผึ้งลูกสาวคนสวยของแม่ไงคะ”
“แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้ โดนสองคนนั้นจับได้ไหม?” สายธารเอ่ยถามพร้อมกับตักเต้าหู้ไข่ในแกงจืดไปวางลงบนจานข้าวของสามีและบุตรสาวคนละชิ้น
“ไม่ค่ะ ป้าหมิวกับเตไม่มีใครจำผึ้งได้เลยสักคน”
“แต่งตัวแบบนี้ใครจะไปจำผึ้งได้ หากเจอกันด้านนอก พ่อว่า...แม้แต่พ่อกับแม่ก็น่าจะจำผึ้งไม่ได้เหมือนกัน”
“พ่อ...ก็ผึ้งอยากแต่งตัวให้ดูน่าเชื่อถือ ให้สมกับเป็นติวเตอร์ก็เท่านั้นเองค่ะ”
“เอาความจริง แต่งตัวแบบนี้...อยากแต่งไปแกล้งป้าหมิวกับเตใช่ไหม?”
“ไม่ได้แกล้งจริง ๆ นะคะ เออ...พ่อกับแม่คะ วันนี้ผึ้ง...” จากนั้นธารดาราก็เล่าเรื่องแบบทดสอบวัดความรู้ของเตชินท์ให้ธันวากับสายธารฟัง เพื่อเปลี่ยนเรื่องและขอความคิดเห็นจากคนทั้งสอง
เนื่องจากครอบครัวของธารดาราเป็นครูกันทั้งบ้าน อย่างธันวาเมื่อก่อนก็เริ่มต้นจากการเป็นครูสอนภาษาเหมือนกับบุตรสาว แต่ด้วยความพากเพียรไปศึกษาต่อ รวมไปถึงความสามารถและประสบการณ์ที่เจ้าตัวมี จึงทำให้ตอนนี้ธันวาได้ขึ้นเป็นถึงรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนสายธารในอดีตก็เคยเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่หลังจากตัดสินใจแต่งงาน...ธันวาก็ได้ขอให้สายธารลาออกมาเป็นแม่บ้านคอยดูแลตัวเองกับลูกก็พอ
ซึ่งตัวธารดาราเองแม้จะชื่นชอบในความเป็นครูไม่ต่างไปจากธันวากับสายธาร แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ในสถานศึกษา เธอจึงตัดสินใจเปิดสถาบันสอนภาษากับกลุ่มเพื่อนแทน โดยที่พ่อกับแม่ของเธอก็เห็นด้วยและคอยสนับสนุนในสิ่งธารดาราเลือก
ดังนั้นทุกครั้งที่มีปัญหาเรื่องการสอนหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในสถาบันสอนภาษาของเธอ ธารดาราก็มักจะนำกลับมาสอบถามและขอความคิดเห็นจากคนเป็นพ่อกับแม่ที่บ้านเสมอ
แล้วหลังจากที่ธารดาราเล่าเรื่องแบบทดสอบของเตชินท์จบ สายธารก็แสดงความคิดเห็นออกมาทันทีว่า
“เตดูน่าเป็นห่วงจริง”
“จริงค่ะแม่ แบบทดสอบที่ผึ้งให้เตลองทำ ผึ้งเอามาจากชุดข้อสอบเก่าของเด็ก ม.ห้า เองนะคะ แล้วนี่ผึ้งยังไม่ได้ทดสอบทักษะการพูดกับทักษะการฟังของเตเลยค่ะ แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะคะ เพราะเมื่อก่อนตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยค่ะ”
“แล้วแบบนี้ผึ้งจะสอนไหวหรือเปล่าล่ะลูก? ผึ้งไม่ได้ลงมือสอนพิเศษเองมานานแล้วนะ”
“เรื่องไหว...มันก็น่าจะไหวอยู่ค่ะพ่อ แต่คงต้องปัดฝุ่นเอาความรู้ของตนเองออกมาสอน” ด้วยเพราะตอนนี้หน้าที่ในสถาบันสอนภาษาของธารดาราก็คือการบริหาร วางแผนงาน และคอยดูแลเว็บไซต์ของสถาบัน ส่วนเรื่องการสอนส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของเพื่อนเธออีกสามคนกับครูที่พวกเธอรับเข้ามาช่วยสอน นาน ๆ ครั้งหรือเวลาที่ขาดครูธารดาราถึงจะได้ลงไปช่วยสอนด้วยตัวเองสักครั้ง
“แต่จะว่าไปเรื่องสอนกับเรื่องเรียนของเตพ่อก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่หรอก แต่พ่อห่วง...กลัวว่าเราจะไปสอนคำศัพท์หรือสอนอะไรแปลก ๆ ให้กับเตเสียมากกว่า” ธันวานึกไปถึงตอนที่บุตรสาวของตนชวนเตชินท์ไปเที่ยวที่บ้านสวนของผู้เป็นพ่อ ตอนนั้นแต่ละอย่างที่ธารดาราสอนเตชินท์...ทำเอาเขากับภรรยาแทบอยากจะจับลูกสาวตัวดีมาฟาดก้นวันละไม่ต่ำกว่าสามรอบ
“ตกลงผึ้งหรือเตกันแน่ที่เป็นลูกของพ่อเนี่ย”
หลังจากการทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกับการพูดคุยหยอกล้อกันในครอบครัวจบลง แต่ละคนก็แยกย้ายกันเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง
แล้วเมื่อธารดาราเดินเข้ามาถึงในห้องนอน เธอก็ตรงเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับมานั่งตรวจดูความเคลื่อนไหวบนเว็บไซต์ของสถาบันสอนภาษา พร้อมกับคิดวางแผนการเรียนการสอนให้กับเตชินท์ไปด้วย
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
“เตคะ พรุ่งนี้เตต้องเข้าไปที่โรงงานกี่โมงหรือคะ?” ธารดาราเอ่ยถามเตชินท์ แต่มือทั้งสองข้างกับดวงตาก็ไล่ตรวจดูของใช้ในตะกร้า และกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับบุตรทั้งสอง “ไม่เข้าครับ เพราะผมสั่งให้ไอ้นัฐเข้าไปตรวจดูการติดตั้งแทนผมแล้ว” “อย่างนั้นวันพรุ่งนี้...” พูดยังไม่ทันจบ เสียงของบุตรชายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “คุณแม่ครับ น้าซูซี่โทรมาครับ” “ขอบคุณครับลูก” จากนั้นธารดาราก็เดินไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาว แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เธอก็เดินกลับมาหาเตชินท์ แล้วก็คงจะด้วยเพราะระยะเวลาในการพูดคุยที่ไม่ปกติ รวมกับความไม่พอใจเล็กน้อยที่เธอน่าจะเผลอแสดงออกทางสีหน้า เตชินท์จึงเอ่ยถามออกมาว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปล่าครับ?”
ธารดารานั่งมองความวุ่นวายในห้องรับแขก เนื่องจากตอนนี้พี่ธีร์หรือเด็กชายธีร์ธาดางามรุ่งวัยห้าขวบกำลังรับบทลงโทษจากผู้เป็นพ่อด้วยการไปนั่งเข้ามุมเป็นเวลาสามนาที หลังจากที่เจ้าตัวกระชากหุ่นยนต์ตัวโปรดออกมาจากมือของน้องฟ้าหรือเด็กหญิงเนตรนภา งามรุ่งวัยสามขวบครึ่ง เป็นเหตุให้น้องฟ้าล้มก้นกระแทกพื้นร้องไห้จ้า ซึ่งเหตุผลที่พี่ธีร์กระชากหุ่นยนต์ออกมาจากมือน้องฟ้าก็เพราะว่า น้องฟ้าจับหุ่นยนต์ตัวโปรดของพี่ธีร์ฟาดลงกับพื้นไปแล้วสองครั้ง ธารดาราก้มมองบุตรสาวตัวน้อยบนตัก เมื่อครู่เจ้าตัวเพิ่งจะร้องไห้ฟ้องพ่อว่าโดนพี่ชายแกล้ง แต่เวลานี้กลับนั่งอมยิ้มกินขนมอยู่บนตักของเธอเสียแล้ว นี่ขนาดเธอกับเตชินท์มีบุตรด้วยกันเพียงแค่สองคนนะเนี่ย! แล้วถ้าหากในวันนั้นชายหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของตัวเอง แล้วยังคงยืนยันที่จะมีลูกด้วยกันให้ได้หกคนตามความคิดของเธอ
เตชินท์เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไม่เห็นธารดารานั่งรออยู่บนเตียง หรือที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แล้วเมื่อเขาหันไปมองแถวโถงทางเดิน เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์น้ำ ‘ผึ้งดื่มเบียร์!’ ตั้งแต่รู้จักกันมาธารดาราไม่ใช่คนดื่ม หากไม่ใช่ในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ หญิงสาวไม่เคยหยิบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ขึ้นมาดื่มให้เห็นเลยสักครั้ง ‘แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?’ เตชินท์เดินเข้าไปหาธารดาราพร้อมกับเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปเขย่าที่ต้นแขนของหญิงสาวเบา ๆ “ผึ้งครับ” “เตอาบน้ำเสร็จแล้วหรือคะ?” “ครับ เออ...ผึ้งเป็นหรือเปล่าครับ? หรือว่ามี...” ถามยังไม่ทันจบ ธารดาราก็ลากเตชินท์
“เตคะ ตื่น! วันนี้เรามีแพลนที่ต้องไปทำกันหลายอย่างเลยนะคะ” ธารดาราเขย่าแขนคนที่โอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ จนเธอไม่สามารถขยับตัวออกมาได้ “ตอนนี้กี่โมงแล้วหรือครับ?” “สิบโมงค่ะ” “เมื่อรู้สึกตัว...ก็รีบปล่อยผึ้งได้แล้วค่ะ ผึ้งจะได้ลุกไปอาบน้ำ” “แต่ผมยังไม่อยากลุกเลยนี่ครับ” ธารดารามองสามีของตัวเองอย่างระอา เวลานี้อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ยังคงกอดรัดร่างกายเธอเอาไว้จนแน่น แถมเตชินท์ก็ยังขยับใบหน้าเข้ามาซุกไซร้ที่ซอกคอของเธออีก ธารดาราจึงกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า “เตคะ เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ? และวันนี้...มันก็วันที่ห้าแล้วนะคะ ที่ผึ้งยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านพักไปไหนเลย” “ขอโทษครับ” 
แล้วเมื่อเตชินท์ได้รับอนุญาต เขาก็กระตุกปมสายผูกเอวของหญิงสาวใต้ร่างพร้อมกับแหวกชุดคลุมออกทันที “อ่ะ! เตคะ!” ธารดาราตกใจจนเผลอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมกับหนีบขาของตนเองเอาไว้ “ผึ้งสวยขนาดนี้ อย่าปิดเลยนะครับ” พูดจบ เตชินท์ก็ยกมือทั้งสองข้างของธารดาราขึ้นมาจูบ ก่อนจะจับกางออก จากนั้นเขาก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก ก่อนจะผละออกมาไล่เลียพร้อมกับขบเม้มไปตามร่างกายขาวผ่องของอีกฝ่าย ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเตชินท์ก็ขยับกลับเข้ามาบีบขยำหน้าอกพอดีตัวของธารดารา แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปครอบครองยอดอกของหญิงสาวใต้ร่างทันที “อื้อ...เตคะ เต...” ธารดาราสั่นสะท้านเมื่อต้องรับสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่เข้ามาบดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของเธอ ไปพร้อมกับปลายลิ้นร้ายและริมฝีปากของคนบนร่างที่ทั้งไล่เลีย ขบกัด ดูดดึงยอดอกทั้งสองข้างของเธอสลับกันไปมา ซึ่งบางทีก็คล้ายกับว่าจะ
หลังจากวันที่ธารดารารับปากเรื่องแต่งงานกับเตชินท์ พ่อกับแม่ของเธอและแม่ของเตชินท์ก็นัดกันไปดูฤกษ์แต่งงานให้กับพวกเธอทันที ซึ่งวันมงคลสมรสที่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวหามาได้มีทั้งหมดสามวัน โดยเตชินท์กับธารดาราตกลงใจเลือกวันมงคลที่อยู่ในช่วงเดือนสิบสองของปีนี้ แล้วหลังจากนั้นความวุ่นวายจากการจัดเตรียมงานแต่งก็เริ่มต้นขึ้นทันที แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรืออาจจะมีบางเรื่องที่มันดูติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตลอดจนถึงวันแต่งงาน... วันงานมงคลสมรส... ในช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างเตชินท์เดินทางมาจัดเตรียมขบวนขันหมาก ก่อนจะเคลื่อนขบวนตั้งแต่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพอมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว...ขบวนเจ้าบ่าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจอเข้ากับเพื่อนเจ้าสาวของธารดารา รวมไปถึงบรรดาคุณครูในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่มาช่วยกันกั้นประตูเงินประตูทอง แต่ขบวนเจ้าบ