ธารดาราหลังจากตรวจคำตอบในแบบทดสอบข้อสุดท้ายเสร็จ เธอก็นั่งไล่นับคะแนนไปพร้อมกับไล่ตรวจทานคำตอบในแบบทดสอบฉบับนั้นอีกครั้ง
‘แปลกแฮะ! ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าจำไม่ผิดผลสอบออกมาแต่ละครั้งหากเตไม่ได้ลำดับที่หนึ่งก็ไม่เคยตกลงมาเกินลำดับสามของห้อง แล้วทำไมตอนนี้ถึง...’
“ผมทำคะแนนได้เท่าไหร่หรือครับ...สามสิบแปดส่วนหนึ่งร้อย!”
ธารดารามองเตชินท์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แล้วเมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า
“คะแนนเท่านี้มันก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากนะ”
“แต่ผม...อีกไม่กี่เดือนผมก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่าภาษาของผมยังใช้การไม่ได้ แล้วผมจะไปติดต่อสื่อสารกับคนที่นั่นรู้เรื่องได้อย่างไรล่ะครับพี่น้ำหวาน ไม่แน่ว่าหากผมไปถึงที่นั่น แม้แต่ข้าว...ผมก็อาจจะออกไปหาซื้อกินเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“เดี๋ยวพี่ช่วยเอง” พูดจบ ธารดาราก็เรียกหาหญิงวัยกลางคนที่ชื่อจีนเพื่อสอบถามว่าตอนนี้ภัสสรอยู่ที่ไหน เมื่อได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว ธารดาราจึงให้ป้าจีนไปแจ้งกับภัสสรว่าเธอมีเรื่องจะขอเข้าพบ
แล้วเมื่อได้รับอนุญาตธารดาราก็เดินถือแบบทดสอบวัดความรู้ของเตชินท์เดินตามป้าจีนเข้าไปพูดคุยกับภัสสร เพื่อหาสรุปเรื่องคอร์สเรียนภาษาของเด็กหนุ่มใหม่อีกครั้ง
โดยข้อตกลงแรกที่ธารดาราเคยพูดคุยกับภัสสรเอาไว้ทางโทรศัพท์ก็คือ เธอสะดวกเข้ามาสอนพิเศษให้กับเตชินท์ที่บ้าน ในทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 16:00 – 18:30 น. แต่หลังจากได้เห็นคะแนนในแบบทดสอบ เธอจึงยินดีจะช่วยเพิ่มเวลาการเข้าสอนในแต่ละครั้งให้กับเตชินท์ โดยที่เธอจะเข้ามาสอนตั้งแต่เวลา 09:00 – 18:00 น. แต่ยังคงระยะเวลาในการสอนเป็นแปดสัปดาห์หรือสองเดือนหลังจากนี้เหมือนเดิม แล้วจะเริ่มนับตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
หลังจากที่พูดคุยและทำข้อตกลงใหม่กันเสร็จ ธารดารากับภัสสรก็เดินกลับมาพูดคุยกับเตชินท์ในห้องรับแขก ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบรับอย่างยินดีกับเวลาการเรียนพิเศษที่เพิ่มขึ้น แต่เตชินท์ก็มีข้อเสนอเกี่ยวกับสถานที่เรียน เพราะด้วยระยะเวลาในการเรียนที่ยาวนานขึ้น หากจะใช้ห้องรับแขกเป็นห้องเรียนมันก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลังได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเสนอให้ธารดาราขึ้นไปสอนบนห้องนอนของตัวเอง
จากนั้นภัสสรกับเตชินท์ก็พาธารดาราขึ้นไปดูบรรยากาศภายในห้อง โดยห้องนอนของเด็กหนุ่มเมื่อเดินขึ้นบันไดไปแล้วจะอยู่ฝั่งขวามือห้องสุดท้าย
เมื่อประตูห้องเปิดออก ธารดาราก็เห็นห้องนอนสีขาวขนาดใหญ่ที่มีของใช้และของตกแต่งแบบครบครัน โดยภายในห้องมีการจัดแบ่งโซนด้านซ้ายเอาไว้ใช้สำหรับพักผ่อน ส่วนโซนด้านขวาเด็กหนุ่มน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับการเรียนและการเล่น เนื่องจากโซนนี้มีทั้งชั้นวางหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะคอมพิวเตอร์ โต๊ะญี่ปุ่น และยังมีโซฟาขนาดใหญ่อีกหนึ่งตัว โดยเตชินท์ได้อธิบายว่าช่วงใกล้สอบเพื่อนของเจ้าตัวมักจะมาขออ่านหนังสือและมาติวข้อสอบกันที่ห้องของตนเองอยู่บ่อยครั้ง เด็กหนุ่มจึงจัดแบ่งโซนนี้เอาไว้ใช้สำหรับเรื่องเรียนโดยเฉพาะ
ซึ่งขณะที่เดินดูบรรยากาศภายในห้อง ธารดาราก็สังเกตเห็นว่าของทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้อย่างมีระเบียบ แล้วในระหว่างนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ว่า...ถึงแม้จะผ่านมากี่ปีห้องนอนของเตชินท์ก็ยังคงสะอาด และมีระเบียบเรียบร้อยกว่าห้องนอนของเธอเสมอ
แล้วหลังจากที่คนทั้งสองพาธารดาราเดินดูส่วนต่าง ๆ ภายในห้องนอนเสร็จ เตชินท์ก็พาเธอกับภัสสรมานั่งที่โซฟา จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันมากล่าวกับเธอว่า
“หากพี่น้ำหวานกลัวเรื่องความไม่เหมาะสม ผมยินดีจะเปิดประตูห้องนอนทิ้งเอาไว้ทุกครั้งที่พี่เข้ามาสอนได้นะครับ”
จากนั้นภัสสรก็พูดขึ้นมาว่า
“เตชินท์ไม่เคยมีประวัติเสียเรื่องผู้หญิง แล้ววันเสาร์กับวันอาทิตย์ส่วนใหญ่แม่ก็ทำงานอยู่ที่บ้านค่ะ โดยในบ้านนอกจากแม่กับเตแล้วก็ยังมีจีนกับจ๋า ดังนั้นหากเตชินท์เกิดทำอะไรติวเตอร์น้ำหวานขึ้นมา ติวเตอร์สามารถตะโกนเรียกแม่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในบ้านได้เลยค่ะ แล้วเดี๋ยวแม่จะขึ้นมาจัดการกับเจ้าเตให้เองค่ะ”
หลังจากฟังคำพูดของเตชินท์กับภัสสรจบ ธารดาราก็นึกไปถึงตอนเด็ก ๆ ที่เธอกับเตชินท์มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แม้แต่ตอนปิดเทอมเตชินท์ก็ยังตามเธอไปเที่ยวบ้านสวนของคุณปู่ที่ต่างจังหวัด แล้วในช่วงเวลานั้นการที่ต้องอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสองหรือแม้แต่การนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน มันจึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
หากถามเรื่องความไว้ใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมาเกือบเจ็ดปีแต่ธารดาราก็ไว้ใจและเชื่อใจในตัวเตชินท์มาก ดังนั้นการที่ต้องขึ้นมาสอนพิเศษบนห้องนอนของอีกฝ่าย มันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ ธารดาราจึงกล่าวตอบกับคนทั้งสองไปว่า
“น้ำหวานไม่ติดเรื่องห้องสอนเลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่เวลาที่น้ำหวานรับงานสอนพิเศษตามบ้าน น้องคนอื่น ๆก็มักจะชอบให้ขึ้นไปสอนบนห้องนอนเหมือนกันค่ะ ดังนั้นเตไม่ต้องเปิดประตูห้องนอนทิ้งเอาไว้ตอนที่พี่เข้ามาสอนก็ได้ค่ะ” แต่สิ่งที่ธารดาราไม่ได้พูดออกไปก็คือ คนที่เธอรับเป็นครูสอนพิเศษตามบ้านให้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเด็กผู้หญิง เตชินท์จึงถือเป็นลูกศิษย์ผู้ชายคนแรกที่เธอยอมเข้ามาสอนให้ถึงที่บ้าน
แต่จะว่าไป...เตชินท์ก็คือลูกศิษย์คนแรกของเธออย่างแท้จริงเลยไม่ใช่หรือ? เพราะตอนที่เจ้าตัวเรียนอยู่ชั้นประถมทุกวันหลังเลิกเรียน เตชินท์ก็มักจะถือการบ้านกับหนังสือเรียนมาให้ธารดาราช่วยสอนต่อถึงที่บ้าน หรือแม้แต่เรื่องเล่นซนหรือเรื่องต่อยตี ธารดาราก็ยังเป็นคนแรกที่สอนให้กับเตชินท์ แล้วพอนึกไปถึงเรื่องต่อยตี เธอก็จำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้...
ในวันที่พ่อของธารดารากับพ่อของเตชินท์ ตัดสินใจส่งเธอกับเด็กหนุ่มตรงหน้าไปเรียนศิลปะแม่ไม้มวยไทย ซึ่งเหตุผลก็คือเวลาไปมีเรื่องต่อยตีกับเด็กแถวบ้าน พวกเธอทั้งสองคนก็มักจะพ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง แล้วหลังจากวันที่พวกเธอทั้งสองคนเริ่มเป็นมวย พอไปมีเรื่องกับเด็กแถวบ้านแล้วชนะกลับมา พ่อของเธอกับพ่อของเตชินท์กลับกล่าวหาว่าพวกเธอทั้งสองคนไปรังแกบรรดาลูกของเพื่อนบ้านเสียอย่างนั้น!
“พี่น้ำหวานครับ พี่กำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ?”
ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง หลังจากได้ยินเสียงเรียกและสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเตชินท์แถวบริเวณใบหูของเธอ
“เออ...คือ...พี่กำลังคิดถึงเรื่องวางแผนการเรียนของเตอยู่น่ะค่ะ ว่าแต่...เตมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าครับ พอดีผมเห็นพี่นั่งยิ้มอยู่คนเดียว” พูดจบ เตชินท์ก็ลุกแล้วเดินตามหลังคนเป็นแม่เพื่อลงไปยังห้องรับแขกด้านล่าง
แม้จะรู้สึกอับอาย แต่ธารดาราก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามคนทั้งสองออกไปจากห้อง จากนั้นเธอก็อยู่พูดคุยกับภัสสรและเตชินท์ที่ห้องรับแขกต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะขอตัวกลับบ้านของตนเอง
“เตคะ พรุ่งนี้เตต้องเข้าไปที่โรงงานกี่โมงหรือคะ?” ธารดาราเอ่ยถามเตชินท์ แต่มือทั้งสองข้างกับดวงตาก็ไล่ตรวจดูของใช้ในตะกร้า และกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับบุตรทั้งสอง “ไม่เข้าครับ เพราะผมสั่งให้ไอ้นัฐเข้าไปตรวจดูการติดตั้งแทนผมแล้ว” “อย่างนั้นวันพรุ่งนี้...” พูดยังไม่ทันจบ เสียงของบุตรชายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “คุณแม่ครับ น้าซูซี่โทรมาครับ” “ขอบคุณครับลูก” จากนั้นธารดาราก็เดินไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาว แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เธอก็เดินกลับมาหาเตชินท์ แล้วก็คงจะด้วยเพราะระยะเวลาในการพูดคุยที่ไม่ปกติ รวมกับความไม่พอใจเล็กน้อยที่เธอน่าจะเผลอแสดงออกทางสีหน้า เตชินท์จึงเอ่ยถามออกมาว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปล่าครับ?”
ธารดารานั่งมองความวุ่นวายในห้องรับแขก เนื่องจากตอนนี้พี่ธีร์หรือเด็กชายธีร์ธาดางามรุ่งวัยห้าขวบกำลังรับบทลงโทษจากผู้เป็นพ่อด้วยการไปนั่งเข้ามุมเป็นเวลาสามนาที หลังจากที่เจ้าตัวกระชากหุ่นยนต์ตัวโปรดออกมาจากมือของน้องฟ้าหรือเด็กหญิงเนตรนภา งามรุ่งวัยสามขวบครึ่ง เป็นเหตุให้น้องฟ้าล้มก้นกระแทกพื้นร้องไห้จ้า ซึ่งเหตุผลที่พี่ธีร์กระชากหุ่นยนต์ออกมาจากมือน้องฟ้าก็เพราะว่า น้องฟ้าจับหุ่นยนต์ตัวโปรดของพี่ธีร์ฟาดลงกับพื้นไปแล้วสองครั้ง ธารดาราก้มมองบุตรสาวตัวน้อยบนตัก เมื่อครู่เจ้าตัวเพิ่งจะร้องไห้ฟ้องพ่อว่าโดนพี่ชายแกล้ง แต่เวลานี้กลับนั่งอมยิ้มกินขนมอยู่บนตักของเธอเสียแล้ว นี่ขนาดเธอกับเตชินท์มีบุตรด้วยกันเพียงแค่สองคนนะเนี่ย! แล้วถ้าหากในวันนั้นชายหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของตัวเอง แล้วยังคงยืนยันที่จะมีลูกด้วยกันให้ได้หกคนตามความคิดของเธอ
เตชินท์เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไม่เห็นธารดารานั่งรออยู่บนเตียง หรือที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แล้วเมื่อเขาหันไปมองแถวโถงทางเดิน เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์น้ำ ‘ผึ้งดื่มเบียร์!’ ตั้งแต่รู้จักกันมาธารดาราไม่ใช่คนดื่ม หากไม่ใช่ในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ หญิงสาวไม่เคยหยิบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ขึ้นมาดื่มให้เห็นเลยสักครั้ง ‘แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?’ เตชินท์เดินเข้าไปหาธารดาราพร้อมกับเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปเขย่าที่ต้นแขนของหญิงสาวเบา ๆ “ผึ้งครับ” “เตอาบน้ำเสร็จแล้วหรือคะ?” “ครับ เออ...ผึ้งเป็นหรือเปล่าครับ? หรือว่ามี...” ถามยังไม่ทันจบ ธารดาราก็ลากเตชินท์
“เตคะ ตื่น! วันนี้เรามีแพลนที่ต้องไปทำกันหลายอย่างเลยนะคะ” ธารดาราเขย่าแขนคนที่โอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ จนเธอไม่สามารถขยับตัวออกมาได้ “ตอนนี้กี่โมงแล้วหรือครับ?” “สิบโมงค่ะ” “เมื่อรู้สึกตัว...ก็รีบปล่อยผึ้งได้แล้วค่ะ ผึ้งจะได้ลุกไปอาบน้ำ” “แต่ผมยังไม่อยากลุกเลยนี่ครับ” ธารดารามองสามีของตัวเองอย่างระอา เวลานี้อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ยังคงกอดรัดร่างกายเธอเอาไว้จนแน่น แถมเตชินท์ก็ยังขยับใบหน้าเข้ามาซุกไซร้ที่ซอกคอของเธออีก ธารดาราจึงกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า “เตคะ เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ? และวันนี้...มันก็วันที่ห้าแล้วนะคะ ที่ผึ้งยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านพักไปไหนเลย” “ขอโทษครับ” 
แล้วเมื่อเตชินท์ได้รับอนุญาต เขาก็กระตุกปมสายผูกเอวของหญิงสาวใต้ร่างพร้อมกับแหวกชุดคลุมออกทันที “อ่ะ! เตคะ!” ธารดาราตกใจจนเผลอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมกับหนีบขาของตนเองเอาไว้ “ผึ้งสวยขนาดนี้ อย่าปิดเลยนะครับ” พูดจบ เตชินท์ก็ยกมือทั้งสองข้างของธารดาราขึ้นมาจูบ ก่อนจะจับกางออก จากนั้นเขาก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก ก่อนจะผละออกมาไล่เลียพร้อมกับขบเม้มไปตามร่างกายขาวผ่องของอีกฝ่าย ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเตชินท์ก็ขยับกลับเข้ามาบีบขยำหน้าอกพอดีตัวของธารดารา แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปครอบครองยอดอกของหญิงสาวใต้ร่างทันที “อื้อ...เตคะ เต...” ธารดาราสั่นสะท้านเมื่อต้องรับสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่เข้ามาบดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของเธอ ไปพร้อมกับปลายลิ้นร้ายและริมฝีปากของคนบนร่างที่ทั้งไล่เลีย ขบกัด ดูดดึงยอดอกทั้งสองข้างของเธอสลับกันไปมา ซึ่งบางทีก็คล้ายกับว่าจะ
หลังจากวันที่ธารดารารับปากเรื่องแต่งงานกับเตชินท์ พ่อกับแม่ของเธอและแม่ของเตชินท์ก็นัดกันไปดูฤกษ์แต่งงานให้กับพวกเธอทันที ซึ่งวันมงคลสมรสที่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวหามาได้มีทั้งหมดสามวัน โดยเตชินท์กับธารดาราตกลงใจเลือกวันมงคลที่อยู่ในช่วงเดือนสิบสองของปีนี้ แล้วหลังจากนั้นความวุ่นวายจากการจัดเตรียมงานแต่งก็เริ่มต้นขึ้นทันที แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรืออาจจะมีบางเรื่องที่มันดูติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตลอดจนถึงวันแต่งงาน... วันงานมงคลสมรส... ในช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างเตชินท์เดินทางมาจัดเตรียมขบวนขันหมาก ก่อนจะเคลื่อนขบวนตั้งแต่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพอมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว...ขบวนเจ้าบ่าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจอเข้ากับเพื่อนเจ้าสาวของธารดารา รวมไปถึงบรรดาคุณครูในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่มาช่วยกันกั้นประตูเงินประตูทอง แต่ขบวนเจ้าบ