LOGIN07 หากย้อนเวลากลับไปได้
@ณ โรงพยาบาล เมื่อวานหลังจากที่ปรางปรีญาเดินทางมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลยเพราะต้องอยู่เฝ้ารินรดาทั้งคืน น้าสาวของเธออาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างซูบผอมเข้าทุกวัน หากไม่รีบผ่าตัดท่านต้องแย่แน่ๆ ไม่รู้เป็นเพราะเวรกรรมหรือเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ท่านต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ช่วงบ่ายคุณหมอประจำตัวของรินรดาเรียกปรางปรีญาไปพบพร้อมบอกข่าวร้าย “ตอนนี้อาการของคุณรินรดาแย่มาก ถ้าไม่รีบผ่าตัดตอนนี้ คนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองเดือน หมออยากให้คนไข้ผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลย” เมื่อได้ฟังเช่นนั้นปรางปรีญาถึงกับหน้าถอดสี จากตอนแรกที่คุณหมอประเมินไว้ว่าต้องผ่าตัดปีหน้า ยังพอมีเวลาเก็บเงิน แต่ด้วยความที่อาการของรินรดาทรุดลงเร็วกว่าที่คิดทำให้ต้องรีบเข้ารับการผ่าตัดด่วน “อะ…อาทิตย์หน้าเลยหรอคะ” “ครับ ตอนนี้ร่างกายของคนไข้ไม่ไหวแล้ว หมออยากผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลย” “ตะ…แต่ว่าดิฉัน…เอ่อ….ยังไม่มีเงิน” ปรางปรีญาเหงื่อตก หน้าซีด “ถ้ายังไม่ผ่าตัดตอนนี้ คนไข้อาจจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ ความจริงเคสของรินรดาควรได้รับการผ่าตัดตั้งนานแล้วแต่ติดอยู่ที่คนไข้ไม่มีเงินค่าผ่าตัด “แต่ถ้าคุณปรางปรีญายังไม่สะดวก ก็ให้คนไข้ทานยาไปก่อนก็ได้นะครับ” “แล้วถ้าผ่าตัด…น้าของฉันจะกลับมาเป็นปกติไหมคะ” “เรื่องนี้หมอยังให้คำตอบไม่ได้ครับ อยู่ที่การฟื้นตัวของคนไข้ ยิ่งถ้าร่างกายของคนไข้อ่อนแอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฟื้นตัวยาก” “งั้นก็แสดงว่าต้องผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลยใช่ไหมคะ” “ครับ” ปรางปรีญาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บีบมือให้กำลังใจตัวเอง เงินตั้งสองแสนไม่รู้จะไปหาจากไหนได้ทัน ลำพังที่มีติดตัวอยู่เจ็ดหมื่นก็เก็บมาตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อเป็นค่าผาตัด ไม่คิดว่าหมอจะเลื่อนผ่าตัดเร็วขึ้น “ไม่ต้องคิดมากนะครับ ยังพอมีเวลาอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ ในระหว่างนี้คงต้องรักษาแบบประคับประคองไปก่อน” “ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะ” ปรางปรีญาเดินเหม่อลอยเหมือนคนไร้สติออกจากโรงพยาบาลแล้วหยุดนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปรื้อขึ้นคลอเบ้าตาสวยอีกรอบ เธอนั่งร้องไห้อยูคนเดียวอย่างเงียบๆเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อ สงสารคุณน้าที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไม่มีเงินค่าผ่าตัด หากคุณพ่อยังอยู่ก็คงไม่ลำบากขนาดนี้ “พระเจ้ากำลังทดสอบชีวิตหนูอยู่ใช่ไหมคะ ฮือ…” ปรางปรีญาพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถหาเงินค่าผ่าตัดได้ทัน ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมาประจานความไม่เอาไหนของตัวเอง “หนูเป็นลูกที่แย่มากเลยใช่ไหมคะ ที่ไม่สามารถหาเงินมารักษาคุณน้าได้” ร่างเล็กนั่งร่ำไห้ซึมซับความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้นได้พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าฝนกำลังจะตกจึงกลับเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้ง ปรางปรีญาต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลเมื่อต้องกลับมาเจอสภาพน้าสาวที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ต้องทำตัวเข้มแข็งเพราะไม่อยากให้ท่านลำบากใจ แต่ลับหลังแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ “ปรางหายไปไหนมา” เสียงรินรดาเบาหวิวคล้ายคนหมดเรี่ยวแรงเอ่ยถามหลานสาวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ นางทั้งสงสารและเป็นห่วงที่ปรางปรีญาต้องเจียดเงินมารักษาตนในแต่ละเดือนจนแทบไม่พอใช้ “ปรางออกไปซื้อข้าวมาค่ะ” เธอยกข้าวกล่องที่เพิ่งซื้อตอนเดินกลับโรงพยาบาลให้คนเป็นน้าดู รินรดาเมื่อเห็นเช่นนั้นถึงกับน้ำตาไหลด้วยความสงสาร อยากให้ปรางปรีญากินอาหารดีๆ ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง ไม่ใช่กินแต่ข้าวกล่องกับบะหมี่แทบทุกวัน “โถ่….ปรางหลานรัก น้ากำลังทำให้ปรางลำบากใช่ไหม” “ไม่เลยน้าดา ปรางอยู่ได้ ปรางชินแล้วค่ะ” เธอยิ้มแล้วย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียงผู้ป่วย ตาขอบตาบวมเป่งนั้นไม่อาจหลุดพ้นสายตาของคนเป็นน้าไปได้ “นี่ปรางร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม” “เปล่าค่ะ ตอนที่ปรางเดินออกไปซื้อข้าวกล่อง แมลงบินเข้าตา” “อย่าโกหกน้า” รินรดาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กทุยของหลานสาวด้วยความสงสารสุดหัวใจ จากหญิงสาวที่เคยน่ารักสดใส ตั้งแต่เลิกกับอคิราห์ไปก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ทุกครั้งที่นางสบตากับหลานสาวมักจะเห็นความเศร้าความเสียใจอยู่ในดวงตาคู่นั้น “น้าขอโทษที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด น้าผิดเอง ฮรื้อๆๆ” “อย่าร้องไห้เลยนะคะน้าดา เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ปรางลืมไปหมดแล้วค่ะ” ปรางปรีญากลืนก้อนสะอึกที่วิ่งขึ้นมาจุกตันในลำคอ รีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของรินรดา ถึงท่านจะผิด แต่ยังไงท่านก็คือคนในครอบครัว เธอทอดทิ้งท่านไม่ได้จริงๆ “แต่น้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี น้าทำให้ปรางกับโซ่ต้องเลิกกัน น้าเสียใจ ฮึก…” “ถึงไม่ใช่เพราะน้า ยังไงเขาก็เลิกกับปรางอยู่แล้ว ปรางไม่เหมาะสมกับเขาหรอกค่ะ” “แต่น้ารู้ว่าปรางรักโซ่มาก ปรางยังรอโซ่อยู่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้…ฮึก….น้าจะไม่ทำแบบนี้ ฮื้อออ…” “เราอย่ารื้อฟื้นความหลังกันเลยนะคะ ตอนนี้ปรางกับ…เอ่อ…พี่โซ่เป็นเส้นขนานไปแล้ว เราสองคนคงไม่มีทางกลับมาเจอกันอีกแล้วค่ะ” เธอจำเป็นต้องโกหกเพียงเพราะไม่อยากให้ท่านรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง แถมยังถูกอคิราห์ขู่ต่างๆนาๆจนหวาดระแวงว่าเขาจะมาทำอะไรคุณน้าของเธอหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ให้เขารู้เด็ดขาดว่าท่านอยู่ที่นี่ รินรดาคว้ามือของหลานสาวเข้ามากุม แล้วตบหลังฝ่ามือเบาๆ “ปรางไม่ต้องทำอะไรเพื่อน้าอีกแล้วนะ ไม่ต้องหาเงินค่าผ่าตัดให้น้าอีกแล้ว ปรางเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นเถอะ เพราะน้ารู้ว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน” “น้าดาอย่าพูดแบบนี้สิคะ ยังไงน้าก็ต้องได้ผ่าตัด ตอนนี้ปรางเก็บเงินใกล้ครบแล้ว ปรางจะไม่มีวันทิ้งน้าเด็ดขาด” รินรดาน้ำตาไหลพรากลงตามร่องแก้ม ทำให้ปรางปรีญกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ตามด้วยความสงสารท่าน ทุกคนจากเธอไปหมดแล้ว เหลือแค่รินรดาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าท่านจากไปอีกคน ก็แสดงว่าโลกของเธอคงไม่มีใครอีกแล้ว หรือนี่คือวิบากกรรมที่ครอบครัวของเธอเคยทำกับคนอื่นไว้ “น้าขอบคุณปรางมากๆนะที่ยังไม่ทิ้งน้า ทั้งๆที่น้าทำเรื่องแย่ๆเอาไว้” นางหลับตาลงทั้งน้ำตา ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนเปียกชุ่มใบหน้า “ที่น้าทำไปทั้งหมดเพราะรักคุณเชษ น้าไม่ได้อยากทำให้ครอบครัวครอบอื่นต้องเลิกรากัน” “ปรางเข้าใจว่าคุณเชษคือรักแรกของน้าดา แต่เรื่องมันผ่านมาแล้ว คุณน้าลืมๆมันไปเถอะนะคะ ปรางไม่อยากให้น้าดาคิดมาก” “ถ้าน้าหักห้ามใจสักนิดเรื่องมันก็คงไม่เกิด” เปลือกตาซีดเซียวของรินรดาค่อยๆเปิดขึ้น สบตากับหลานสาวสุดที่รัก มือสั่นเทาเคลื่อนเข้าไปเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของปรางปรีญา “เรื่องของปรางกับโซ่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นได้ กลับไปบอกโซ่นะว่าทั้งหมดเป็นเพราะน้าเอง เผื่อโซ่จะเห็นถึงความรักของปรางที่มีต่อเขา” ประโยคนั้นทำให้ปรางปรีญาสะอึกสะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องก้มหน้างุดหลบซ่อนความเจ็บปวด พรางยกมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหล เพราะเธอยังรักอคิราห์อยู่ ยังไม่เคยลืมเขาแม้แต่วินาทีเดียว “มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้พี่โซ่มีแฟนแล้ว ส่วนปรางก็คงเป็นได้แค่รักเก่าที่เขาไม่อยากจำ เขาเกลียดพวกเราไปแล้ว….” ---------------50 รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง@เช้าวันถัดมาปรางปรีญารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบร่างของอคิราห์ยืนกวาดเศษใบไม้อยู่หน้าบ้าน นี่มันบ้านของเธอนะ เขามีสิทธิ์อะไรมายุ่งวุ่นวาย เพราะนี่มันไม่ใช่ที่ของเขา“ตื่นแล้วหรอ” อคิราห์ที่ยืนกวาดเศษใบไม้อยู่หน้าบ้าน เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังยืนตาจ้องเขม่งอยู่บนบ้านเมื่อวานเห็นว่าเศษใบไม้กองอยู่ที่หน้าบ้านของปรางปรีญาเยอะมาก วันนี้เลยตั้งใจตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำความสะอาดหน้าบ้านให้เธอ เผื่อมีสัตว์มีพิษซุกอยู่ในกองใบไม้ ปรางปรีญาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่สนใจอีกฝ่ายและกำลังจะก้าวลงจากบ้านเพื่อไปเก็บดอกไม้ ด้วยความหวังดี อคิราห์รีบวางไม้กวาดและกำลังจะก้าวเข้าไปประคองร่างเล็กลงมาจากบันได ขันทองที่อยู่ในมือของปรางปรีญาก็ขว้างมาโดนศีรษะของเขาอย่างแรงปึก!“โอ้ยย!! ปรางตีพี่ทำไม”“ฉันเดินเองได้ ไม่ต้องมายุ่ง!” ปรางปรีญากระแทกเสียงใส่ อคิราห์จำเป็นต้องก้าวหลบออกจากบันไดเพื่อให้หญิงสาวเดินลงได้สะดวก ปรางปรีญาเดินไปก้มเก็บขันที่เพิ่งเขวี้ยงใส่คนหน้าด้านขึ้นมา แล้วเดินหลบไปยังสวนดอกไม้ แต่อคิราห์ก็ยังไม่ลดละความพยายาม เดินตา
49 เธอเปลี่ยนไปอคิราห์รีบหอบเอาร่างอันแสนบอบช้ำกลับมาที่บ้านพัก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพมีรอยแดงเพราะถูกน้ำร้อนลวก ปรางปรีญาเล่นสาดน้ำร้อนใส่เหมือนเขาเป็นหมาเลย โชคดีที่โดนแค่ท่อนแขน ไม่อย่างนั้นคงเสียโฉมไปแล้ว ปรเมศที่นั่งรออคิราห์อยู่ที่หน้าบ้าน ตกใจเมื่อเห็นพื่อนสนิทกลับมาในสภาพไม่ปกติ“นะ...นั่นมึงไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้กลับมาในสภาพ...เอ่อ...เหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก”“เมียกูเอาน้ำร้อนสาด” เขาตอบสั้นๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวายบริเวณหน้าบ้าน กว่าจะพาตัวเองกลับมาได้ ทุลักทุเลพอสมควร ตอนนี้อาการปวดแสบปวดร้อนเริ่มปะทุขึ้น ท่อนแขนบวมแดงคล้ายกำลังจะพุพอง“ไปทำอีท่าไหนเขาถึงสาดน้ำร้อนใส่”“ก็แค่บุกเข้าไปในบ้านเขาเฉยๆ ไม่คิดว่าปรางปรีญาจะกล้าทำขนาดนี้”“โชคดีแค่ไหนแล้วที่น้องเขาไม่สาดใส่หน้ามึง ไม่งั้นคงได้บินไปศัลยกรรมที่เกาหลี แต่จะว่าไป สาดใส่หน้าก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเอาหน้าหล่อๆไปหลอกฟันใครอีก”“พอเถอะ แค่นี้กูก็เจ็บปวดมากพอแล้ว อย่าให้กูต้องเจ็บกับคำพูดของมึงอีกเลยเพื่อน”“มึงรู้อะไรไหม กูโครตสะใจเลยที่มึงโดนซะบ้าง ปากเก่งมาตั้งนาน สุดท้ายเอาตัวไม่รอด” ปรเมศเค้นหัวเราะออกมาเ
48 มาทางไหนกลับไปทางนั้น“นี่มันอะไร” ปรางปรีญามองจดหมายฉบับนั้นด้วยความงุนงง แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นลายมือของใคร“น้าของปรางเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้ก่อนที่ท่านจะเสีย”ปรางปรีญารับจดหมายไปไล่อ่านด้วยความตกใจ เนื้อหาในจดหมายบอกถึงค่ำคืนที่เธอได้ไปขอร้องให้รินรดาเลิกยุ่งกับราเชษ“แสดงว่าคืนนั้นปรางแค่โกหกน้าดาใช่ไหม ปรางไม่ได้หลอกพี่จริงๆใช่ไหม”“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าวันนั้นฉันพูดอะไรกับน้าดา” ปรางปรีญาเงยหน้าถาม“พอพี่รู้เรื่องน้าดากับอาเชษ พี่ตั้งใจขับรถไปหาปรางที่บ้านเพราะอยากไปถามให้แน่ใจ แต่พี่ดันไปได้ยินเรื่องที่ปรางพูดกับน้าดาพอดี”“คืนนั้น…คุณไปหาฉันที่บ้านหรอ” ปรางปรีญาส่งจดหมายกลับ พร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าวันนั้นอคิราห์ไปหาเธอที่บ้าน“ใช่ พี่ตั้งใจไปหาปราง และพี่ก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่ปรางคุยกับน้าดา ตอนนั้นพี่เสียใจมากที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ พี่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆคนเดียว ทั้งๆที่พี่ควรจะเดินเข้าไปถามปราง แต่พี่ก็ดันเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พอรู้อะไรแบบนั้นมันก็เริ่มทำให้พี่มองปรางเปลี่ยนไป”“…” ปรางปรีญานิ่ง ยืนฟังอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้ความ
47 ดวงใจดวงเดิมก็อก…ก็อก…เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะการนอนของอคิราห์ ชายหนุ่มลืมตาขึ้น พลิกตะแคงร่างด้วยความหงุดหงิดเพราะเมื่อสักครู่กำลังนอนหลับฝันหวาน…ฝันว่าได้นอนกอดปรางปรีญากับลูกอคิราห์หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ถอนหายใจพรืดใหญ่ ยกมือขยี้ผม สีหน้าบอกบุญไม่รับ เขาไม่อยากเปิดประตูออกไปแล้วเจอภาพของปรเมศกำลังจู๋จี๋กับศรุตา เพราะมันทำให้เขาคิดถึงปรางปรีญามากขึ้นจนไม่อาจทนดูภาพพวกนั้นได้ทำไมถึงไม่มีเมียให้นอนกอดแบบนี้บ้าง เห็นแล้วก็นึกอิจฉาไม่ได้จริงๆ“อะไร” อคิราห์เปิดประตูออกมา ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ“กูมีข่าวดีจะบอก”“ข่าวอะไรของมึง”“เดี๋ยวให้ตาเป็นคนบอกดีกว่า”“ถ้างั้นพวกมึงก็กลับไปเถอะ ขัดจังหวะการนอนของกูจริงๆ” อคิราห์ปิดประตูใส่ แต่ถูกปรเมศดึงกลับมาเหมือนเดิม “ไหนมึงบอกว่าอยากเจอเมีย”“ก็อยากเจอ แต่มันไม่เจอไง”“แล้วถ้าเจอล่ะ”“มึงว่าอะไรนะ” อคิราห์ถามกลับอย่างรวดเร็ว“วันนี้ตาไปเดินตลาดแล้วบังเอิญเจอปรางปรีญา”“ว่ายังไงนะ ทะ…ที่ไหน!!” อคิราห์ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวไปนานถึงเจ็ดเดือนกลับมาเต้นโครมครามอีกครั้ง “ท้ายหมู่บ้าน”อคิราห์เดินทางมาที่บ้า
46 บังเอิญเจอ ปรเมศใช้เวลาขับรถแค่สองชั่วโมงนิดๆ ในที่สุดก็มาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ศรุตาที่ตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอดเดินออกจากบ้านพักตากอากาศเพื่อมารอรับสามีกับเพื่อนสนิทอย่างอคิราห์ อคิราห์ก้าวลงจากรถพร้อมกันกับปรเมศ ศรุตารีบวิ่งเข้ามาสวมกอดสามี ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถทนดูภาพนั้นต่อได้ รีบเบือนหน้าหนีด้วยความเจ็บปวดหัวใจเพราะมันทำให้เขานึกถึงปรางปรีญาทุกทีที่เห็น ศรุตากับปรางปรีญาน่าจะตั้งท้องไล่เลี่ยกัน ป่านนี้ก็คงท้องแก่ใกล้คลอดแล้วไปอยู่ที่ไหนกันนะปรางปรีญา ฉันอยากดูแลเธอกับลูกเหลือเกิน“ลมอะไรหอบโซ่มาถึงที่นี่” ศรุตาเอ่ยแซวเพื่อนสนิท หล่อนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของสามี ไม่คาดคิดว่าคาสโนว่าตัวพ่อจะตกอยู่ในสภาพนี้“ไม่รู้สิ อาจจะลมบ้าหมู” เขาตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ พยายามไม่มองศรุตากับปรเมศที่กำลังยืนจู๋จี๋กัน พวกมันจะรู้หรือเปล่าว่าเขาไม่อยากเห็นภาพนี้ เห็นแล้วเจ็บใจทุกทีเพราะคิดถึงเมีย“ตาคิดว่าโซ่น่าจะเป็นบ้าจริงๆ ดูสภาพโซ่ในตอนนี้สิ ไม่ใช่คุณอคิราห์ที่ตาเคยรู้จักด้วยซ้ำ”“เอาน่า เราอย่าไปตอกย้ำมันเลยนะ” ปรเมศเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนสนิท “ผมว่าเราเข้าบ้านกัน
45 มิตรแท้ไม่มีคำว่าปลอบใจ...เจ็ดเดือนต่อมา...“ไงเพื่อน ลมอะไรหอบมึงมาหากูถึงที่นี่” ปรเมศเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน ช่วงนี้เขากับเพื่อนไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายงานยุ่ง“ลมคิดถึงเมีย”“เมียคนไหน” ปรเมศชอบแซวแบบนี้เป็นประจำ ใจหนึ่งก็นึกสงสาร อีกใจก็สมน้ำหน้า ทำกับเขาไว้เยอะ ก็ไม่แปลกที่เขาจะไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา“เมียกูมีคนเดียวเว้ย!”“ไม่รู้สิ ตอนนั้นเห็นมึงคบหลายคน”“อย่าเพิ่งกวนประสาทกูไอ้เมศ ตอนนี้กูอารมณ์ไม่ค่อยดี” อคิราห์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับปรเมศ ก่อนจะยกมือก่ายหน้าผากเหมือนคนหมดอาลัยกับชีวิต ปรเมศเห็นภาพนี้จนชินแล้ว บางวันก็เมาหัวราน้ำจนคนในครอบครัวเอื้อมระอา เพราะพักหลังๆอคิราห์แทบไม่เป็นผู้เป็นคน “กูก็เห็นมึงอารมณ์ไม่ดีทุกวันนั่นแหละเพื่อน”“จะไปอารมณ์ดีได้ยังไง นี่ก็ผ่านมาเกือบเจ็ดเดือนแล้ว กูยังหาเมียไม่เจอเลย”“แล้วนักสืบที่มึงจ้างวานว่ายังไงบ้าง”“ไม่เจอ ทั้งๆที่เป็นนักสืบฝีมือดีที่สุดของเมืองไทย แต่ทำไมถึงยังหาปรางปรีญาไม่เจอวะ”“กูเคยบอกมึงแล้วไงเพื่อน ถ้าเชื่อกูตั้งแต่ตอนนั้น มึงก็คงไม่เสียปรางปรีญาไปแบบนี้หรอก ตอนมี







