บทที่ 2 แผนชีวิตแรกของเสวี่ยหนิง ตอนต้น
หมู่บ้านหว่านเซิน ทัศนียภาพสุดแสนงดงามเบื้องหน้าเสวี่ยหนิง คือที่ดินผืนใหญ่ติดภูเขาเขียวขจี ทอดตัวยาวไปถึงแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านหมู่บ้าน หล่อเลี้ยงชีวิตและพืชพรรณให้อุดมสมบูรณ์ กลิ่นสดชื่นเฉพาะตัวของต้นไม้ใบหญ้าที่ลอยมาตามสายลมอ่อนจากภูเขา กระตุ้นจิตวิญญาณชาวสวนที่หลับใหลอยู่ในกายเสวี่ยหนิงให้ตื่นขึ้น ประหนึ่งได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก พร้อมด้วยกลิ่นหอมกรุ่นจรุงใจของกาแฟคั่วบดชั้นดีในยามเช้า พร้อมไข่ดาวอีกสองฟอง ดวงตาของเสวี่ยหนิงทอประกายพราวระยับ ยกมือทาบอกด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น เมื่อได้เห็นที่ดินซึ่งเป็นสินเดิมของตนชัดๆ กับตา ภาพเรือกสวนไร่นา แปลงผักมากมายพลันปรากฏขึ้นในจินตนการ คมชัดราวกับสร้างขึ้นด้วยระบบเอไอสี่มิติ “แม่เจ้า นี่แหละคือสิ่งที่เสวี่ยหนิงคนนี้ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต ขอบคุณสวรรค์ที่มอบโอกาสทองนี้ให้ลูก ที่ดินอุดมสมบูรณ์ติดภูเขาและแม่น้ำขนาดนี้ ปล่อยทิ้งไว้เปล่าๆ เสียของแย่ มีของดีมันต้องใช้ถึงจะถูก” พูดจบยกชายกระโปรงก้าวขาเดินสำรวจผืนดินไปรอบๆ ในหัวของนางเวลานี้มีแต่คำว่า ผัก เต็มไปหมด ตรงนู้นปลูกผักชนิดนี้ ตรงนี้ปลูกผักชนิดนั้น อุ้ย ตรงนู้นเก็บเอาไว้ปลูกเรือน ตรงโน้นปลูกผลไม้ ความคิดมากมายประเดประดังจนสมองของเธอแทบประมวลผลไม่ทัน ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ซูลี่ที่เดินตามคอยกางร่มให้นายหญิงจึงเอ่ยทัก “นายหญิงเจ้าคะ กลับกันเถิดเจ้าค่ะ ใกล้เที่ยงแล้ว แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ ระวังจะเป็นลมแดดเอานะเจ้าคะ” ปกติเจ้านายของพวกนางไม่ชอบอยู่กลางแดดนานนัก มักบ่นว่าร้อนแสบผิวบ้างล่ะ ไม่ชอบให้เหงื่อออกเหนียวตัวบ้างล่ะ ทว่าวันนี้กลับเดินอยู่กลางแดดมาเกินครึ่งชั่วยามแล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้านายของนางเดินมากที่สุดในชีวิตกระมัง อีกทั้งไม่ปริปากบ่นเรื่องเหงื่อที่กำลังไหลซึมจนไรผมเปียกสักคำ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาวันนั้นเสวี่ยหนิงขอให้สาวใช้ทั้งสอง เปลี่ยนคำเรียกจาก ฮูหยิน มาเป็น นายหญิง แทน เพราะยามได้ยินคำว่าฮูหยินทีไรขนหัวลุกทุกที “โอ้ จริงรึ ใกล้เที่ยงแล้วหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นก็กลับกันเถอะ” นางชื่นชมที่ดินเพลินไปหน่อย จนลืมนึกถึงเรื่องเวลาไปเสียสนิท ก่อนกลับจวน เสวี่ยหนิงสั่งให้แวะกินบะมี่เกี๊ยวที่ร้านข้างทาง สร้างความงวยงงแก่สาวใช้และคนบังคับรถม้าไปตามๆ กัน คุณหนูใหญ่ตระกูลเชียน แวะกินบะหมี่เกี๊ยวข้างทางถึงสองชาม! เป็นไปได้อย่างไร หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เสวี่ยหนิงก็มานั่งวาดแผนผังที่ดิน รวมถึงรูปแบบบ้านในฝันที่นางต้องการสร้างบนที่ดินผืนนั้นอีกด้วย “ในที่สุดเธอก็จะได้มีบ้านสไตล์โพรวองส์* เป็นของตนเองแล้วนะเสวี่ยหนิง เหลือแค่หาต้นลาเวนเดอร์มาปลูกเพิ่ม คิกๆๆ แค่นี้ชีวิตที่ฝันไว้ เรื่องการได้วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ก็จะเป็นความจริง” วันถัดมา เสวี่ยหนิงยังคงออกไปนอกจวนหลังรับมื้อเช้า โดยไม่ขออนุญาตสามีหรือแม่สามีตามธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติ เหตุผลเพราะแม่ลูกตระกูลเหรินเคยบอกเชียนเสวี่ยหนิงคนเดิมไว้ว่า “เจ้าอยากจะออกไปข้างนอกก็ไป แจ้งพ่อบ้านไว้เป็นพอ ไม่ต้องมารบกวนเวลาของข้าและท่านแม่” แบบนี้ก็เข้าทางเสวี่ยหนิงคนนี้สิเจ้าค่ะ อิสระเสรีแบบนี้นางชอบ โตๆกันแล้วไม่ใช่เด็กนักเรียนที่ต้องคอยขออนุญาตจากคุณครูเวลาจะลุกไปเข้าห้องน้ำ…คุณครูขาหนูขอไปเข้าห้องน้ำค่ะ จุดหมายปลายทางที่หญิงสาวมุ่งไปในวันนี้คือท่าเรือ นางต้องการไปถามไถ่ชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายในดินแดนแห่งนี้ ว่ามีใครรู้จักต้นลาเวนเดอร์บ้างไหม หรือได้นำเมล็ดพันธุ์พืชจากบ้านเกิดของตนมาขายด้วยหรือเปล่า เพราะในนิยายก็ดันไม่บอกไว้เสียด้วยว่า ชาวโพ้นทะเลตัวโตผมทองตาสีฟ้าเหล่านี้สัญชาติไหน นางเลยต้องมาเสี่ยงทายเอาเอง หวังว่าความสามารถในการพูดได้ห้าภาษาของเธอจะมีประโยชน์นะ “นายหญิงเจ้าคะ พวกชาวโพ้นทะเลน่ากลัวจะตาย ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น พูดจาก็คนละภาษากับเรา ท่านแน่ใจว่าจะเจรจา ถามหาสินค้าที่ต้องการด้วยตัวเองเองจริงๆหรือเจ้าคะ มิสู้จ้างวานพ่อค้าแถวนั้นให้ช่วยเจรจาแทนท่าน จะไม่เป็นการดีกว่าหรือเจ้าคะ” ซูฮวาเอ่ยถามนายของด้วยน้ำเสียงเจือความกังวลอยู่หลายส่วน “ซูฮวา ถ้าเจ้ากลัวก็รออยู่ที่รถม้า ข้าไปกับซูลี่เอง พวกเขามาค้าขายกับเราไม่ได้หาเรื่องต่อยตี” พูดจบเสวี่ยหนิงก็ก้าวลงจากรถม้า เดินนำซูลี่ตรงไปยังทางเข้าตลาดท่าเรือ ************ *โพรวองซ์ (Provence) เป็นแคว้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส มีชายแดนติดกับประเทศอิตาลี และทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน เป็นแคว้นที่มีประวัติมายาวนาน ขึ้นชื่อเรื่อง อาหาร ไวน์ และทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวยงามในช่วงหน้าร้อน ระหว่างกลางเดือน มิถุนายน-สิงหาคมตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย ส่วนทางด้ายเว่ยเฉินฮ่าว “ท่านยายขอรับ แส้หนังที่ท่านยายมอบให้ พี่หลางจื่อแอบเอาไปแทะเล่นจนขาดแล้วขอรับ ฮ่าวเอ๋อร์ไม่กล้าบอกท่านแม่ กลัวพี่หลางจื่ออดกินหูหมู” “…” เย่หลิน โถ พ่อทูนหัวของยาย “รอยายกลับถึงจวนแล้วจะส่งแส้อันใหม่มาให้นะเด็กดี” จากนั้นสามคนยายหลาน ก็จับจูงกันไปยังลานฝึกยุทธ์ด้านหลัง เพื่อฝึกการปามีดบินและซัดเข็มเงิน เว่ยลี่หยางทำได้เพียงยืนหน้ากระตุก แต่มิอาจกล่าวคำใด ให้เป็นการกระทบกระเทือนจิตใจแม่ยายที่แสนดีของตน ขอเพียงนางไม่พาลูกๆคนใดคนหนึ่งของเขา ไปตำหนักจันทราอันเร้นลับเป็นใช้ได้ จะสอนปามีดบิน ซัดเข็มเงิน ใช้แส้ หรือแม้แต่วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ เขาย่อมไม่ขัดขวาง ช่วงบ่ายวันหนึ่งในฤดูคิมหันต์ที่อากาศร้อนอบอ้าวอย่างถึงที่สุด เสวี่ยหนิงเดินตามหาบุตรทั้งสามของตนไปทั่วตำหนัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ผู้เป็นมารดาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี กลัวว่าจะมีคนคิดร้ายมาลักตัวลูกๆของนางไป ผ่านไปครู่หนึ่งหลิวอินก็มารายงานด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “เรียนพระชายา กระหม่อมหาตัวทายาทของจวนอ๋องพบแล้วพะย่ะค่ะ” “เด็กๆอยู่ที่ไหน ท่านพี่รีบบอกพระชายามาเร็ว อย
ตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ณ ลานฝึกยุทธ์ท้ายตำหนักหรงจวิน เว่ยเทียนฉี มองพี่สาวฝาแฝดที่กำลังฟาดฟันดาบไม้กับหุ่นฟาง ส่งเสียงร้อง ย๊าก! ย๊าก! ย๊าก! ดังลั่น ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย เป็นถึงจวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์แต่กลับประพฤติตัวราวม้าดีดกระโหลก หากท่านทวดไทเฮาทราบเรื่อง มีหวังเว่ยลี่จวินได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง ไปอบรมกิริยามารยาทตามแบบฉบับเชื้อพระวงศ์เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิอาจนับได้… เฮ้อ! ไฉนเขาถึงเกิดวันเดียวกันกับนางได้ล่ะเนี่ย ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ! หลังจากทอดถอนใจเรื่องของพี่สาวจบ ท่านอ๋องน้อยก็ดึงสายตากลับไปมองน้องชายผู้อ่อนหวานของตน ครั้นเห็นว่าเว่ยเฉินฮ่าวกำลังทำสิ่งใด ผู้เป็นพี่ชายมุมปากกระตุกไม่หยุด ท่านชายน้อยผู้งดงาม กำลังตั้งท่าขุดดินอยู่ข้างกำแพง โดยมีนางกำนัลทั้งสองเป็นผู้ช่วย ทั้งสามสุมหัวปรึกษากันว่า วันนี้จะต้องขุดช่องหมาลอดให้มีขนาดเท่ากับตัวเว่ยเฉินฮ่าว ห้ามเล็กหรือใหญ่ไปกว่านี้ เพราะเขากลัวว่าพี่หลางจื่อจะแอบมุดออกไปเที่ยว! “…” เว่ยเทียนฉี ให้ตายสิ! พี่ชายอย่างเขาเห็นแล้วอยากกุมขมับ เพียงแค่ได้ฟังเรื่องราวการพบรักของเสด็จพ่อและเสด็จ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /4 นักเลงทั้งสามเงียบงันไปชั่วครู่ หน้าตาเลิ่กลั่กพยายามหาข้อแก้ตัว “อ๋อ ขะ ข้า…ข้าจำผิดน่ะ มิใช่เมื่อวาน แต่เป็น…เมื่อวันก่อน! ใช่แล้วเมื่อวันก่อน!” คราวนี้สุ่ยเจียวเจียวยิ้มเย็น นิ้วเรียวพลิกบันทึกไปอีกหน้า “วันก่อนอย่างนั้นรึ? ขออภัยเถิด ที่ร้านทำ ไส้ลูกบัวขายไปสองร้อยชิ้น ไม่มีถั่วแดงเช่นกันเจ้าค่ะ” เสียงฮือฮาเริ่มดังมาจากกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู “โอ้โห…ว่าแล้วเชียว! ที่แท้มาก่อกวนนี่เอง” “หน็อยแน่ ปล่อยไก่กลางตลาดเลยนะนั่น” นักเลงทั้งสามคนหน้าแดงก่ำ พวกเขาไม่รู้นี่ว่าร้านเล่อสุ่ยขายเซาปิ่งในแต่วันมีไส้ต่างกันไป ถูกจ้างมาให้ก่อกวนก็ทำตามหน้าที่ ไม่คิดว่าจะพลาดท่าเผลอปล่อยไก่ออกมาเยี่ยงนี้ “ข้า เอ่อ ข้าอาจจะจำผิดร้านก็เป็นได้! ช่างเถิด! ไม่เอาเรื่องแล้ว!” ชาวบ้านบางคนเริ่มโห่ไล่หลัง นักเลงทั้งสามคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม วิ่งหนีหายไปในพริบตา ทิ้งไก่ตัวใหญ่หน้าแหกไว้หน้าร้านน้ำชาเล่อสุ่ย สุ่ยเจียวเจียวหันมายิ้มแย้มกับลูกค้าและคนที่มามุงดู…คิดว่าเล่นงานนางแบบนี้ แล้วจะลอยนวลไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ในเมื่อมีคนกล้ามาหาเรื่องนางก่อนถึงที่ แล้วเรื่องอะไรที่นาง
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /3 ซ่งจงเจิ้งใบหน้าดำคล้ำ เขวี้ยงจอกชาลงบนพื้น ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยโทสะสูงเสียดฟ้า เขาชี้มือสั่นเทามาที่บุตรี บริภาษนางเสียงดังว่าไร้หัวคิดและไร้ประโยชน์เหมือนมารดาไม่มีผิด ซ่งเจียวเจียวที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นกัดริมฝีปากด้านในจนเลือดซิบ นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต้องออกไปจวนสกุลซ่งให้ได้ ชีวิตใหม่ที่สวรรค์มอบให้ครั้งนี้ นางจะไม่มีวันทำมันพังอีกเป็นอันขาด “ขอใต้เท้าซ่งโปรดเมตตาข้าด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งเจียวเจียวโขกศีรษะอ้อนวอนบิดา “ขอใต้เท้าโปรดเมตตาคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่รีบคุกเข่าอ้อนวอนอีกแรง เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเนี่ยซื่อ นางรีบมาช่วยเกลี้ยกล่อมสามี ให้ตัดชื่อซ่งเจียวเจียวออกจากตระกูลอย่างไม่รีรอ “ท่านพี่เจ้าคะ ในเมื่อคุณหนูใหญ่หาได้เคารพเชื่อฟังท่านดั่งในคำสอนคุณธรรมสตรี ยังไม่รวมเรื่องที่นางทั้งหัวรั้น อละมักก่อเรื่องให้ท่านปวดหัวอยู่เป็นประจำ สกุลซ่งต้องเสียชื่อเสียงเพราะนางก็ตั้งหลายหนแล้วนะเจ้าคะ เนื้อร้ายหากปล่อยไว้ในอนาคตก็ยิ่งจะลุกลาม มิสู้ตัดทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีกว่า!” หากซ่งเจียวเจียวถูกตัดชื่อออกไปจริง ต่อไปซินเอ๋อร์ของนางก็
ตัวนางเองมีฝีมือในเรื่องการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า แม้แต่ฮูหยินรองที่ปกติไม่ถูกกันยังเอ่ยปากชมยามเห็นชุดที่นางใส่ เพราะคิดว่านางไปสั่งตัดมาจากข้างนอก สองวันต่อมาซ่งเจียวเจียวได้สั่งสารถีให้พานางไปยังเมืองเหอผิงซึ่งเดินทางด้วยรถม้าราวชั่วยามกว่าๆ นางต้องการมาดูสถานที่ ศึกษาข้อมูลและหลักเกณฑ์การเปิดร้านของเมืองเหอผิง หลังจากเสร็จธุระจึงไปหามื้อกลางวันกินยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล เพียงแต่ขณะที่กำลังเจรจากับหลงจู๊ของร้านอาหารเพื่อถามหาห้องส่วนตัวอยู่นั้น ได้มีชายหนุ่มสามคนที่เดินผ่านหน้าร้านอาหารแห่งนี้สายตาพลันสะดุดเข้ากับความงามของซ่งเจียวเจียวเข้าพอดี คนที่ลักษณะดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าเดินอาดๆตรงมาหานางด้วยท่าทางอวดดีกึ่งลวนลาม “คุณหนูท่านนี้ช่างงดงามดุจนางเซียนข้าไม่เคยเห็นท่านที่เมืองเหอผิงมาก่อน ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันไม่ทราบว่าคุณหนูพอจะให้เกียรติข้าได้เลี้ยงอาหารท่านในวันนี้จะได้หรือไม่” พูดจบก็ยกมือขึ้นมาหมายจะสัมผัสมือของซ่งเจียวเจียวทว่าหญิงสาวขยับเท้าก้าวถอยหลังหนีได้ทัน หลงจู๊ผู้ดูแลร้านลอบกลอกตามองบน เมื่อเห็นหน้าเทพโรคระบาดแห่งเมืองเหอผิง ‘นางน่ะหน้าตางดงาม แต่เจ้านี่สิ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส “ข้าจะฆ่าเจ้านังสารเลว” ตวนอ๋องคำรามลั่นก้องรถม้าที่กำลังดิ่งลงเหว แข่งกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติของซ่งเจียวเจียว “ฮ่าๆๆๆลงนรกไปพร้อมกับข้าเสียเถิดเจ้าคนชั่วช้า!” ทุกอย่างรอบตัวหมุนคว้างก่อนจะเกิดแรงกระแทกหนักหน่วง ยามที่รถม้ากระทบหินก้อนใหญ่ก้นเหวตัวรถแตกเป็นเสี่ยงๆเสียงเนื้อไม้แตกหักกรีดผ่านอากาศ แรงเหวี่ยงกระชากให้ร่างกายของซ่งเจียวเจียวกระเด็นออกมาจากรถม้า ลอยไปกระแทกหินก้อนใหญ่อีกก้อนนางเจ็บปลาบไปทั่วทั้งร่างกระอักเลือดออกมามากมาย ก่อนที่แสงสุดท้ายในดวงตาจะดับลง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นริษยาเกลียดชังทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะของซ่งเจียวเจียว…บัดนี้ได้สิ้นสุด ซ่งเจียวเจียวเดินอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมายรอบกายเต็มได้ด้วยม่านหมอกสีขาวและความเงียบงัน ใบหน้าของนางเฉยชาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ทว่าปากกลับพร่ำบ่นว่าสวรรค์ช่างอยุติธรรม นางเดินอยู่ในหมอกขาวนั้นนานเท่าไหร่มิอาจทราบได้ ทว่าจู่ๆก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าพร้อมการปรากฏของชายชรา ทั้งเรือนผมหนวดเครารวมถึงชุดล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะแรก เขาเอ่ยวาจากับซ่งเจียวเจียวด้วยน้ำเสีย