บทที่ 1 ชีวิตใหม่ของเสวี่ยหนิง ตอนปลาย
นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘เหนือชะตารักพยัคฆ์เคียงใจ’ ซึ่งพระเอกในนิยายเป็นถึงท่านอ๋องผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หล่อล่ำ เหี้ยมหาญ เย็นชา กร้าวใจ อบอุ่นใจดีกับนางเอกคนเดียว พ่อไมโครเวฟธงเขียว ตามสไตล์ที่สาวๆ ชอบ ส่วนนางเอกนั้นเป็นบุตรสาวขุนนาง รูปโฉมงดงามบริสุทธิ์ประดุจดอกบัวขาว มารดาเสียชีวิต โดนแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งเป็นประจำ ถูกทำร้ายและได้พระเอกมาช่วยไว้ตามท้องเรื่อง เพียงแต่…เธอเพิ่งอ่านไปได้แค่ครึ่งเรื่องเองเนี่ยสิ! แล้วนางร้ายอันดับสองอย่างเธอจะตายตอนไหน ตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าตายแน่นอน! ตายด้วยน้ำมือพระรอง ที่หลงรักนางเอกอีกคน ซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกล สามีของเธอเองนี่แหละ! หากชีวิตไม่เสี่ยงตาย ก็ไม่ใช่เสวี่ยหนิงสินะ…ฮึ่ม! ‘อุตส่าห์ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งที เธอห้ามตายตามเส้นเรื่องที่นักเขียนวางไว้เด็ดขาด! เธอต้องรอดท่องไว้เสวี่ยหนิง ไอ วิล เซอ ไวฟ์ เย เย้!’ เสวี่ยหนิงเตือนสติตนเองด้วยเพลงโปรด สะบัดหัวไล่ความคิดเรื่องการตายของนางร้ายออกไป สิ่งสำคัญในเวลานี้ คือการคิดหาวิธีเอาตัวรอดออกไปจากจวนรองเจ้ากรมโยธาแห่งนี้ให้เร็วที่สุด เรื่องที่นางต้องการรู้เป็นอันดับแรกคือ “ข้ากับเหรินหมิง พวกเราเคยร่วมหอกันรึยัง” นี่จะเป็นจุดตัดสิน ว่าสิ่งที่คิดไว้จะสามารถดำเนินการได้โดยเร็วและราบรื่นหรือเปล่า สาวใช้ทั้งสองก้มหน้า ก่อนส่ายหัวให้เป็นคำตอบ “ซื่อจื่อกับฮูหยินยังไม่เคยร่วมหอกันสักครั้งเลยเจ้าค่ะ” ตั้งแต่คุณหนูของพวกนางสร้างเรื่องแกล้งตกน้ำ เพื่อให้เหรินซื่อจื่อที่ผ่านมาลงไปช่วย จนได้แต่งเข้าในจวน อันตงป๋อ สมใจเมื่อครึ่งปีก่อน อย่าว่าแต่เรื่องเข้าหอเลย…จวบจนบัดนี้ เหรินซื่อจื่อไม่เคยมาเหยียบเรือนแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว ทั้งยังออกคำสั่ง ห้ามฮูหยินก้าวขาเข้าไปในเรือนของเขาโดยเด็ดขาด หากขัดคำสั่ง บ่าวอย่างพวกนางจะถูกลงโทษ ถึงแม้เชียนเสวี่ยหนิงในนิยาย จะมีนิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจอย่างไร แต่นางกลับดูแลคนของนางดีมาก ห้ามใครหน้าไหนแตะต้องคนของนาง ถือคติที่ว่าคนของข้า ข้าแตะได้ผู้เดียว เหรินหมิงรู้จุดอ่อนนี้ดีจึงนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เสวี่ยหนิงยกมือปิดปาก ซ่อนรอยยิ้มแห่งความยินดีไม่ให้สาวใช้เห็น เมื่อเธอรู้ว่าร่างนี้ยังซิงไม่เคยถูกแตะต้อง! นั่นเท่ากับว่าเธอไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้ม กลัวว่าตนเองจะตั้งท้องหลังขอหย่า ประตูแห่งอิสรภาพเปิดอ้ารอให้เธอก้าวออกไป แผนการหย่าสามีเพื่อหนีตายจึงเริ่มต้นขึ้น เสวี่ยหนิงคนนี้จะไม่ขอเปลี่ยนนางร้ายให้กลายเป็นนางเอก แต่จะเปลี่ยนชีวิตนางร้ายให้กลายเป็นชีวิตดี๊ดีแทน …ผ่านมาเจ็ดวันแล้วที่เสวี่ยหนิงฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ หญิงสาวเลิกพฤติกรรมซ้ำซากที่ร่างนี้ปฏิบัติมาตลอดหลังแต่งงาน อย่างเช่นการแต่งหน้าทาชาด แต่งกายสวยงามออกไปยืนเสนอหน้า รอส่งเหรินหมิงไปทำงานและรอรับยามที่เขากลับจวน หรือคอยตามวอแวเขาอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับใช้เวลาวางแผนเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังการหย่าร้างแทน เรือนเสียนสุ่ย “เจ้าบอกว่าเชียนเสวี่ยหนิง ไม่ไปดักรออาหมิงอย่างที่เคยทำแล้วอย่างนั้นรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าฝางมารดาของเหรินหมิงมีท่าทีประหลาดใจ ยามรับฟังถ้อยคำจากปากพ่อบ้านของจวน “ขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่า ตั้งแต่ที่ฮูหยินน้อยฟื้นขึ้นมา ก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ออกมาเดินเล่นในสวนบ้างเป็นบางครั้ง มีเพียงสองสามวันนี้ ที่นางออกไปข้างนอกขอรับ “ “นางออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ ไปไหนเจ้าพอจะรู้หรือไม่” มิใช่ว่าออกไปดักรอหาเรื่องซ่งเจียวเจียวอีกล่ะ “ฮูหยินน้อยไปตลาดสด ซื้อของสดมาทำอาหารกินเองขอรับ” พ่อบ้านกล่าวรายงานตามความจริง เขาไปสอบถามเรื่องนี้มาจากคนขับรถม้าด้วยตนเอง “ตลาดสด! คนอย่างเชียนเสวี่ยหนิงเนี่ยนะไปตลาดสด!” ฮูหยินผู้เฒ่าฝางแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ลูกสะใภ้ที่นางไม่พึงใจไปตลาดสด ซื้อของมาทำอาหารกินด้วยเอง บุตรีอดีตหัวหน้าราชบัณฑิตเคยเข้าครัวกับเขาด้วยหรือ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร?! ฮัดชิ้ว!! ผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนาของเรือนเสียนสุ่ยจามออกมาเสียงดัง เสวี่ยหนิงกำลังเอาสมุดบัญชีสินเดิมของนาง ออกมาตรวจนับอย่างละเอียด ครั้นพบว่าในนั้นมีที่ดินแปลงใหญ่อยู่ใกล้ภูเขาและแม่น้ำ ห่างจากเมืองหลวงไปราวแปดสิบลี้ ดวงตาคู่งามพลันทอประกายเจิดจ้า อาชีพในฝันก่อนถูกครอบครัวบังคับให้เรียนแพทย์ผุดขึ้นในความคิด การได้เป็นเจ้าของสวนผักออร์แกนิกส่งออกต่างประเทศ!! “ฮี่ๆๆๆๆ ไม่ปลูกชาตินี้แล้วจะไปปลูกชาติไหนเสวี่ยหนิงเอ้ย” เสียงหัวเราะชอบใจระคนเจ้าเล่ห์ดังขึ้น ดึงความสนใจของสาวใช้ให้หันไปมอง “อาลี่ เจ้าว่าฮูหยินกำลังวางแผนอยู่อะไรอยู่ ถึงได้หัวเราะเสียงน่าขนลุกแบบนี้” “เจ้าไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรืออาฮวา ก็นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ “ สาวใช้ทั้งสองมองหน้ายักไหล่ให้กันก่อนกลับไปตั้งใจทำงานของตนต่อ มิใช่แค่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่แปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนของลูกสะใภ้ ผู้เป็นสามีอย่างเหรินหมิงเองก็แปลกใจไม่น้อยไปกว่ากัน ชายหนุ่มเรียกองครักษ์ ผู้มีหน้าที่จับตาดูพฤติกรรมของเชียนเสวี่ยหนิงมาไต่ถาม ครั้นได้ทราบถึงรายละเอียด หัวคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันจนเป็นปม “เจ้าบอกว่านางบังเอิญพบซ่งเจียวเจียวที่ร้านผ้า แต่กลับเดินสวนออกมา และไม่แม้แต่จะชายตาแล แต่กลับเป็นซ่งเจียวเจียว ที่พยายามเข้ามาหานางอย่างนั้นหรือ นี่เจ้ามองผิดไปรึเปล่า” เพราะโดยปกติเขามักได้ยินว่า เชียนเสวี่ยหนิงมักเข้าไปหาเรื่องซ่งเจียวเจียวทุกครั้งที่พบหน้า ไยครานี้ถึงได้เปลี่ยนไป “วันนี้นางอยู่เรือน?” “ฮูหยินน้อยออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ” “นางไปไหนอีกล่ะ!” น้ำเสียงของเหรินหมิงเจือความขุ่นเคืองอยู่ในนั้น การที่เชียนเสวี่ยหนิงเลิกตามวอแวเขา ทั้งยังออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเกิดความสงสัย “ฮูหยินน้อยออกไปดูที่ดินซึ่งเป็นสินเดิมในหมู่บ้านหว่านเซินขอรับ” คล้อยหลังองครักษ์ เหรินหมิงเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด หลังจากเชียนเสวี่ยหนิงฟื้นขึ้นจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะคราวนี้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หรือว่านางกำลังใช้แผนใหม่ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขากันแน่ “หึ! ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ เชียนเสวี่ยหนิง”บทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย องครักษ์คนสนิทคิ้วกระตุก ท่าทางดูลังเล หากแต่ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนคิดออกมา “หรือ…จะให้กระหม่อมพามันมาอยู่ด้วยกันที่นี่พะย่ะค่ะ” มือที่กำลังแกะกระดุมเสื้อหยุดชะงัก เริ่มทบทวนภาพที่อาจเกิดขึ้นในหัว ~หลางจื่อผู้สง่างามตัวโต ขนฟูราวราชสีห์ เดินเล่นอยู่กลางสวนผักพร้อมสายตาเย่อหยิ่งปราดมองคนงาน ราวต้องการบอกให้พวกเขาตั้งใจทำงานให้ดีๆ เหมือนตอนเดินตรวจแถวในกองทัพกับเขา และมีบางครั้งอาจเผลอไปกัดเชือกกั้นแผงผัก แถมเห่าไล่คนงานเพราะต้องการแย่งขนมเปี๊ยะ! กัดค้างแตงกวา ขุดดินหาไส้เดือน ลากขอนไม้มาแทะแทนของเล่น และทำเสียงครางฮือ ๆ ทุกครั้งที่เจ้าของเดินคุยกับคนอื่น เพียงแค่นึกภาพเว่ยลี่หยางรีบสั่นศีรษะ “อย่าเลย…ข้ายังไม่พร้อมให้ทั้งสวนอรุณรักและคนในหมู่บ้าน รู้ความจริงว่าหมาตัวนั้นคือ ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน” คนฟังกลั้นหัวเราะอย่างสุดขีด “พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปปลอบใจท่านอ๋องน้อยว่า จวิ้นอ๋องทรงมิได้ทอดทิ้งลูกรัก เพียงแต่ไปจีบสตรีผู้หนึ่งมาเป็นมารดาของท่านอ๋องน้อย” วันรุ่งขึ้น ณ สวนผักอรุณรัก เว่ยลี่หยางที่กำลังช่วยพานข่ายและคนงานอ
บทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ห้าวันก่อน ต้าเชินคือหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเย่หลิน เขาชอบอยู่กับธรรมชาติ จึงอาสามาเป็นหัวหน้าคนงานให้เชียนเสวี่ยหนิง นอกจากดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของลูกน้องทุกคนแล้ว ต้าเชินยังมีหน้าที่คัดเลือกคนงานที่มาสมัครใหม่แทนเสวี่ยหนิงซึ่งติดธุระในวันนั้นอีกด้วย ในช่วงเช้าขณะที่เขาไปตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานในหมู่บ้านหว่านเซิน ตามคำแนะนำของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งคุ้นเคยกับเย่หลินเป็นอย่างดีอยู่นั้น บุรุษสามคนท่าทางน่าเกรงขามก็เดินเข้ามาหา “ข้ามาสมัครเป็นคนงานของสวนอรุณรัก” บุรุษในชุดผ้าไหมสีดำเนื้อดีรูปแบบเรียบง่ายเอ่ยขึ้น ต้าเชินพิจารณาบุรุษรูปงามราวหลุดออกมาจากภาพวาด ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ‘รูปร่างหน้าตามีสง่าราศีขนาดนี้ อยากมาเป็นคนงานในสวนผักเนี่ยนะ?‘ แต่ถึงกระนั้นก็ทำตามคำสั่งนายหญิงน้อย เรื่องที่ให้คนงานมีสิทธิ์เลือกทำในสิ่งที่ตนชอบและถนัด ผลงานจะได้ออกมาดี “พ่อหนุ่มทำอะไรเป็นบ้างล่ะ ชอบปลูกผักหรือปลูกดอกไม้มากกว่ากัน” ต้าเชินถามกลับอย่างเป็นมิตร “ข้าขอทำหน้าที่คุ้มกันนายหญิงเชียนเสวี่ยหนิงขณะทำงาน” ดวงตาคู่คมของเว่ยหลี่
บทที่ 12 พบชายในฝันกลางแปลงผัก ตอนปลาย ซูลี่กับซูฮวาหัวเราะคิกอย่างชอบใจ เมื่อได้ยินชื่อของคนงานหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ “ในเมื่อแนะนำตัวกับข้าเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปทำงานของพี่ชายต่อเถอะ” เสวี่ยหนิงพยักหน้ารับทราบต่อการมารายงานตัวของหยางหยาง “งานของข้า คือการมาปลูกผักใกล้ๆนายหญิงขอรับ หัวหน้าคนงานกลัวว่านายหญิงจะหักโหมจนลมจับ ล้มหน้าคะมำอยู่กลางแปลงผัก เลยส่งข้ามาคอยดูแลท่านขอรับ” เว่ยลี่หยางรายงานหน้าที่ของตนกับหญิงสาวเสียงเข้ม มือก็หยิบต้นกล้าคะน้ามาลงดินอย่างชำนาญ พยายามกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่น หากแต่… กร๊ากกก!! อุ๊บ! ทั้งสาวใช้สองซู ทั้งพานข่ายหลุดขำ ยกมืออุดปากกันแทบไม่ทัน (*_*‘) เสวี่ยหนิงมุมปากกระตุกยิกๆ พ่อล่ำบึ้กหยางหยางนี่กวนใช้ได้เลยนะ! “หึ หึ! รอข้าไปถามท่านลุงต้าเชินก่อนเถอะพ่อหยางหยาง หากไม่จริงเจ้าโดนไล่ออกแน่!!” เสวี่ยหนิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยเสียงลอดไรฟันกลับมา รู้สึกอยากกลายร่างเป็นจระเข้ตะหงิดๆ เว่ยลี่หยางกระตุกยิ้มมุมปากรวดเร็วก่อนจางหายไปจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น ช่วงพักเที่ยง บรรดาเกษตรกรของสวนอรุณรัก ต่างมานั่งกินข้าวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแปลงผั
บทที่ 12 พบชายในฝันกลางแปลงผัก ตอนต้น จวนสกุลเชียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง อยู่ห่างจากประตูทางออกทิศเหนือราวสิบลี้ ซึ่งง่ายต่อการเดินทางไปยังหมู่บ้านหว่านเซินของเสวี่ยหนิง นางจึงตัดสินใจกลับมาพักอยู่กับมารดาระหว่างรอบ้านของนางสร้างเสร็จ ระหว่างนี้จึงเริ่มวางแผนจ้างคนงานสำหรับเรือกสวนไร่นาของนางอย่างจริงจัง ในขณะที่กำลังเขียนป้ายประกาศรับคนงานอยู่นั้น เย่หลินก็ถือจานขนมเข้ามาให้พอดี “หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องการคนงานเริ่มต้นจำนวนเท่าไหร่หรือ หากไม่มากเกินยี่สิบคน เจ้าพาพวกเด็กๆ ของแม่ไปช่วยงานก่อนได้นะ แม่ได้คนมาใหม่จำนวนหนึ่ง ดัดนิสัยแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเด็กๆ พวกนั้นจะดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง” (0.0!) สุดยอด!!! เสวี่ยหนิงแอบอุทานในใจ หันไปกอดเอวมารดาอย่างออดอ้อน “ยังคงเป็นท่านแม่ที่ดีกับข้าและรักข้าที่สุด” “เด็กโง่ ถ้าแม่ไม่รักเจ้า แล้วจะให้แม่รักใครที่ไหน” เย่หลินลูบหัวทุยของบุตรีอย่างรักใคร่ ตั้งแต่หนิงเอ๋อร์ของนางฟื้นขึ้นมาจากการวิ่งเอาหัวโหม่งเสาครานั้นก็เปลี่ยนไปจริงๆ แบบนี้นางค่อยวางใจหน่อย “ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เช้าพวกเราพาเด็กๆ ของท่านแม่ของเดิ
บทที่ 11 มารดาของนางเป็นมาเฟียเจ้าข้าเอ้ย ตอนปลาย “โฮ นายหญิงใหญ่ อาอวี่สำนึกผิดแล้วขอรับ นายหญิงใหญ่ตีข้าเถิด แต่อย่าส่งข้ากลับไปตลาดค้าทาสเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มที่ชื่ออาอวี่ ปรี่เข้ามากอดขาของเย่หลินร้องไห้คร่ำครวญสำนึกผิด เขาไม่อยากกลับไปที่ตลาดค้าทาสอีก “สำนึกผิดแล้วแน่นะ” เย่หลินถามเสียงเย็น “ฮึก สำนึกผิดแล้วจริงๆ ขอรับ” อาอวี่พยักหน้ารัวเป็นไก่จิกข้าวสารทั้งน้ำตา “ดี ถ้าเช่นนั้นไปขอโทษอาเฟิงเสีย แล้วต่อไปห้ามล้อเลียนเรื่องความชอบส่วนตัวของผู้อื่นอีกเข้าใจหรือไม่” เย่หลินหรี่ตามองลูกหมาตัวน้อย ที่เกาะแข้งเกาะขานางร้องห่มร้องไห้ด้วยแววตาคมปลาบ “ขอรับนายหญิงใหญ่” หลังจากรับปากเย่หลินเป็นมั่นเหมาะ ชายหนุ่มจึงหันไปขอโทษสหายทันที “อาเฟิงข้าขอโทษ อย่าโกรธข้าเลยนะ” ครั้นเรื่องราวยุติลงได้ด้วยดี เย่หลินจึงหันมาถามอาเฟิงบ้าง “อาเฟิง เจ้าบอกข้ามาที ไฉนอาอวี่ถึงมาล้อเจ้าเรื่องนี้ได้” “เรียนนายหญิงใหญ่ เพราะข้าชอบปลูกและดูแลไม้ดอกขอรับ” อาเฟิงบอกความชอบของตนออกมาอย่างไม่ปิดบัง การได้ปลูกและดูแลไม้ดอกช่วยให้จิตใจของเขาสงบและผ่อนคลาย เย่หลินยกยิ้มอย่างพอใจ ดูท่าว่านางหาคนงานที่ดีให้บุต
บทที่ 11 มารดาของนางเป็นมาเฟียเจ้าข้าเอ้ย ตอนต้น หลังหย่าร้าง เสวี่ยหนิงยังคงพักอยู่ในจวนอันตงป๋ออีกหลายวัน เพื่อรอให้หน้าหายบวม ระหว่างนี้นางได้ส่งซูลี่ไปแจ้ง เย่หลิน มารดาของเชียนเสวี่ยหนิงเรื่องที่นางหย่าร้างกับเหรินหมิงแล้ว เย่หลินประหลาดใจไม่น้อยที่บุตรีตัดสินใจหย่าหลังแต่งงานได้ไม่ถึงปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเคยท้วงติงว่าเหรินหมิงพึงใจซ่งเจียวเจียวอยู่ ทว่าเชียนเสวี่ยหนิงกลับดื้อรั้น วางแผนตกน้ำในงานเลี้ยงน้ำชาของจวนสกุลโกว จนเหรินซื่อจื่อที่ลงไปช่วยเหลือต้องแต่งบุตรีของนางเข้าจวนอย่างจำใจ สุดท้ายก็ไปกันไม่รอดจนได้ “เฮ้อ! สิ่งที่ข้ากังวลเกิดขึ้นจริงๆสินะ ซูลี่ แล้วคุณหนูของเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อนางได้บอกเจ้าหรือไม่” “นายหญิงกำลังสร้างบ้านอยู่บนที่ดินในหมู่บ้านหว่านเซิน ตั้งใจจะทำสวนปลูกผักรูปแบบผสมผสาน พร้อมสร้างมินิรีสอร์ทที่นั่นเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่” พรวดดด! แค่กๆๆ เย่หลินสำลักน้ำชายามได้ยินว่าบุตรีจะไปทำสวน หนิงเอ๋อร์ของนางไม่เคยจับแม้กระทั่งไม้กวาด แล้วจะไปทำสวนปลูกผักเนี่ยนะ! หลังหายจากอาการสำลัก จึงถามไถ่ซูลี่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “หนิงเอ๋อร์ของข้าจะไปทำสวน แล้วจ