บทที่ 1 ชีวิตใหม่ของเสวี่ยหนิง ตอนปลาย
นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘เหนือชะตารักพยัคฆ์เคียงใจ’ ซึ่งพระเอกในนิยายเป็นถึงท่านอ๋องผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หล่อล่ำ เหี้ยมหาญ เย็นชา กร้าวใจ อบอุ่นใจดีกับนางเอกคนเดียว พ่อไมโครเวฟธงเขียว ตามสไตล์ที่สาวๆ ชอบ ส่วนนางเอกนั้นเป็นบุตรสาวขุนนาง รูปโฉมงดงามบริสุทธิ์ประดุจดอกบัวขาว มารดาเสียชีวิต โดนแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งเป็นประจำ ถูกทำร้ายและได้พระเอกมาช่วยไว้ตามท้องเรื่อง เพียงแต่…เธอเพิ่งอ่านไปได้แค่ครึ่งเรื่องเองเนี่ยสิ! แล้วนางร้ายอันดับสองอย่างเธอจะตายตอนไหน ตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าตายแน่นอน! ตายด้วยน้ำมือพระรอง ที่หลงรักนางเอกอีกคน ซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกล สามีของเธอเองนี่แหละ! หากชีวิตไม่เสี่ยงตาย ก็ไม่ใช่เสวี่ยหนิงสินะ…ฮึ่ม! ‘อุตส่าห์ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งที เธอห้ามตายตามเส้นเรื่องที่นักเขียนวางไว้เด็ดขาด! เธอต้องรอดท่องไว้เสวี่ยหนิง ไอ วิล เซอ ไวฟ์ เย เย้!’ เสวี่ยหนิงเตือนสติตนเองด้วยเพลงโปรด สะบัดหัวไล่ความคิดเรื่องการตายของนางร้ายออกไป สิ่งสำคัญในเวลานี้ คือการคิดหาวิธีเอาตัวรอดออกไปจากจวนรองเจ้ากรมโยธาแห่งนี้ให้เร็วที่สุด เรื่องที่นางต้องการรู้เป็นอันดับแรกคือ “ข้ากับเหรินหมิง พวกเราเคยร่วมหอกันรึยัง” นี่จะเป็นจุดตัดสิน ว่าสิ่งที่คิดไว้จะสามารถดำเนินการได้โดยเร็วและราบรื่นหรือเปล่า สาวใช้ทั้งสองก้มหน้า ก่อนส่ายหัวให้เป็นคำตอบ “ซื่อจื่อกับฮูหยินยังไม่เคยร่วมหอกันสักครั้งเลยเจ้าค่ะ” ตั้งแต่คุณหนูของพวกนางสร้างเรื่องแกล้งตกน้ำ เพื่อให้เหรินซื่อจื่อที่ผ่านมาลงไปช่วย จนได้แต่งเข้าในจวน อันตงป๋อ สมใจเมื่อครึ่งปีก่อน อย่าว่าแต่เรื่องเข้าหอเลย…จวบจนบัดนี้ เหรินซื่อจื่อไม่เคยมาเหยียบเรือนแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว ทั้งยังออกคำสั่ง ห้ามฮูหยินก้าวขาเข้าไปในเรือนของเขาโดยเด็ดขาด หากขัดคำสั่ง บ่าวอย่างพวกนางจะถูกลงโทษ ถึงแม้เชียนเสวี่ยหนิงในนิยาย จะมีนิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจอย่างไร แต่นางกลับดูแลคนของนางดีมาก ห้ามใครหน้าไหนแตะต้องคนของนาง ถือคติที่ว่าคนของข้า ข้าแตะได้ผู้เดียว เหรินหมิงรู้จุดอ่อนนี้ดีจึงนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เสวี่ยหนิงยกมือปิดปาก ซ่อนรอยยิ้มแห่งความยินดีไม่ให้สาวใช้เห็น เมื่อเธอรู้ว่าร่างนี้ยังซิงไม่เคยถูกแตะต้อง! นั่นเท่ากับว่าเธอไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้ม กลัวว่าตนเองจะตั้งท้องหลังขอหย่า ประตูแห่งอิสรภาพเปิดอ้ารอให้เธอก้าวออกไป แผนการหย่าสามีเพื่อหนีตายจึงเริ่มต้นขึ้น เสวี่ยหนิงคนนี้จะไม่ขอเปลี่ยนนางร้ายให้กลายเป็นนางเอก แต่จะเปลี่ยนชีวิตนางร้ายให้กลายเป็นชีวิตดี๊ดีแทน …ผ่านมาเจ็ดวันแล้วที่เสวี่ยหนิงฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ หญิงสาวเลิกพฤติกรรมซ้ำซากที่ร่างนี้ปฏิบัติมาตลอดหลังแต่งงาน อย่างเช่นการแต่งหน้าทาชาด แต่งกายสวยงามออกไปยืนเสนอหน้า รอส่งเหรินหมิงไปทำงานและรอรับยามที่เขากลับจวน หรือคอยตามวอแวเขาอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับใช้เวลาวางแผนเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังการหย่าร้างแทน เรือนเสียนสุ่ย “เจ้าบอกว่าเชียนเสวี่ยหนิง ไม่ไปดักรออาหมิงอย่างที่เคยทำแล้วอย่างนั้นรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าฝางมารดาของเหรินหมิงมีท่าทีประหลาดใจ ยามรับฟังถ้อยคำจากปากพ่อบ้านของจวน “ขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่า ตั้งแต่ที่ฮูหยินน้อยฟื้นขึ้นมา ก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ออกมาเดินเล่นในสวนบ้างเป็นบางครั้ง มีเพียงสองสามวันนี้ ที่นางออกไปข้างนอกขอรับ “ “นางออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ ไปไหนเจ้าพอจะรู้หรือไม่” มิใช่ว่าออกไปดักรอหาเรื่องซ่งเจียวเจียวอีกล่ะ “ฮูหยินน้อยไปตลาดสด ซื้อของสดมาทำอาหารกินเองขอรับ” พ่อบ้านกล่าวรายงานตามความจริง เขาไปสอบถามเรื่องนี้มาจากคนขับรถม้าด้วยตนเอง “ตลาดสด! คนอย่างเชียนเสวี่ยหนิงเนี่ยนะไปตลาดสด!” ฮูหยินผู้เฒ่าฝางแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ลูกสะใภ้ที่นางไม่พึงใจไปตลาดสด ซื้อของมาทำอาหารกินด้วยเอง บุตรีอดีตหัวหน้าราชบัณฑิตเคยเข้าครัวกับเขาด้วยหรือ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร?! ฮัดชิ้ว!! ผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนาของเรือนเสียนสุ่ยจามออกมาเสียงดัง เสวี่ยหนิงกำลังเอาสมุดบัญชีสินเดิมของนาง ออกมาตรวจนับอย่างละเอียด ครั้นพบว่าในนั้นมีที่ดินแปลงใหญ่อยู่ใกล้ภูเขาและแม่น้ำ ห่างจากเมืองหลวงไปราวแปดสิบลี้ ดวงตาคู่งามพลันทอประกายเจิดจ้า อาชีพในฝันก่อนถูกครอบครัวบังคับให้เรียนแพทย์ผุดขึ้นในความคิด การได้เป็นเจ้าของสวนผักออร์แกนิกส่งออกต่างประเทศ!! “ฮี่ๆๆๆๆ ไม่ปลูกชาตินี้แล้วจะไปปลูกชาติไหนเสวี่ยหนิงเอ้ย” เสียงหัวเราะชอบใจระคนเจ้าเล่ห์ดังขึ้น ดึงความสนใจของสาวใช้ให้หันไปมอง “อาลี่ เจ้าว่าฮูหยินกำลังวางแผนอยู่อะไรอยู่ ถึงได้หัวเราะเสียงน่าขนลุกแบบนี้” “เจ้าไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรืออาฮวา ก็นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ “ สาวใช้ทั้งสองมองหน้ายักไหล่ให้กันก่อนกลับไปตั้งใจทำงานของตนต่อ มิใช่แค่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่แปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนของลูกสะใภ้ ผู้เป็นสามีอย่างเหรินหมิงเองก็แปลกใจไม่น้อยไปกว่ากัน ชายหนุ่มเรียกองครักษ์ ผู้มีหน้าที่จับตาดูพฤติกรรมของเชียนเสวี่ยหนิงมาไต่ถาม ครั้นได้ทราบถึงรายละเอียด หัวคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันจนเป็นปม “เจ้าบอกว่านางบังเอิญพบซ่งเจียวเจียวที่ร้านผ้า แต่กลับเดินสวนออกมา และไม่แม้แต่จะชายตาแล แต่กลับเป็นซ่งเจียวเจียว ที่พยายามเข้ามาหานางอย่างนั้นหรือ นี่เจ้ามองผิดไปรึเปล่า” เพราะโดยปกติเขามักได้ยินว่า เชียนเสวี่ยหนิงมักเข้าไปหาเรื่องซ่งเจียวเจียวทุกครั้งที่พบหน้า ไยครานี้ถึงได้เปลี่ยนไป “วันนี้นางอยู่เรือน?” “ฮูหยินน้อยออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ” “นางไปไหนอีกล่ะ!” น้ำเสียงของเหรินหมิงเจือความขุ่นเคืองอยู่ในนั้น การที่เชียนเสวี่ยหนิงเลิกตามวอแวเขา ทั้งยังออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเกิดความสงสัย “ฮูหยินน้อยออกไปดูที่ดินซึ่งเป็นสินเดิมในหมู่บ้านหว่านเซินขอรับ” คล้อยหลังองครักษ์ เหรินหมิงเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด หลังจากเชียนเสวี่ยหนิงฟื้นขึ้นจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะคราวนี้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หรือว่านางกำลังใช้แผนใหม่ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขากันแน่ “หึ! ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ เชียนเสวี่ยหนิง”ตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย ส่วนทางด้ายเว่ยเฉินฮ่าว “ท่านยายขอรับ แส้หนังที่ท่านยายมอบให้ พี่หลางจื่อแอบเอาไปแทะเล่นจนขาดแล้วขอรับ ฮ่าวเอ๋อร์ไม่กล้าบอกท่านแม่ กลัวพี่หลางจื่ออดกินหูหมู” “…” เย่หลิน โถ พ่อทูนหัวของยาย “รอยายกลับถึงจวนแล้วจะส่งแส้อันใหม่มาให้นะเด็กดี” จากนั้นสามคนยายหลาน ก็จับจูงกันไปยังลานฝึกยุทธ์ด้านหลัง เพื่อฝึกการปามีดบินและซัดเข็มเงิน เว่ยลี่หยางทำได้เพียงยืนหน้ากระตุก แต่มิอาจกล่าวคำใด ให้เป็นการกระทบกระเทือนจิตใจแม่ยายที่แสนดีของตน ขอเพียงนางไม่พาลูกๆคนใดคนหนึ่งของเขา ไปตำหนักจันทราอันเร้นลับเป็นใช้ได้ จะสอนปามีดบิน ซัดเข็มเงิน ใช้แส้ หรือแม้แต่วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ เขาย่อมไม่ขัดขวาง ช่วงบ่ายวันหนึ่งในฤดูคิมหันต์ที่อากาศร้อนอบอ้าวอย่างถึงที่สุด เสวี่ยหนิงเดินตามหาบุตรทั้งสามของตนไปทั่วตำหนัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ผู้เป็นมารดาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี กลัวว่าจะมีคนคิดร้ายมาลักตัวลูกๆของนางไป ผ่านไปครู่หนึ่งหลิวอินก็มารายงานด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “เรียนพระชายา กระหม่อมหาตัวทายาทของจวนอ๋องพบแล้วพะย่ะค่ะ” “เด็กๆอยู่ที่ไหน ท่านพี่รีบบอกพระชายามาเร็ว อย
ตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ณ ลานฝึกยุทธ์ท้ายตำหนักหรงจวิน เว่ยเทียนฉี มองพี่สาวฝาแฝดที่กำลังฟาดฟันดาบไม้กับหุ่นฟาง ส่งเสียงร้อง ย๊าก! ย๊าก! ย๊าก! ดังลั่น ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย เป็นถึงจวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์แต่กลับประพฤติตัวราวม้าดีดกระโหลก หากท่านทวดไทเฮาทราบเรื่อง มีหวังเว่ยลี่จวินได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง ไปอบรมกิริยามารยาทตามแบบฉบับเชื้อพระวงศ์เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิอาจนับได้… เฮ้อ! ไฉนเขาถึงเกิดวันเดียวกันกับนางได้ล่ะเนี่ย ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ! หลังจากทอดถอนใจเรื่องของพี่สาวจบ ท่านอ๋องน้อยก็ดึงสายตากลับไปมองน้องชายผู้อ่อนหวานของตน ครั้นเห็นว่าเว่ยเฉินฮ่าวกำลังทำสิ่งใด ผู้เป็นพี่ชายมุมปากกระตุกไม่หยุด ท่านชายน้อยผู้งดงาม กำลังตั้งท่าขุดดินอยู่ข้างกำแพง โดยมีนางกำนัลทั้งสองเป็นผู้ช่วย ทั้งสามสุมหัวปรึกษากันว่า วันนี้จะต้องขุดช่องหมาลอดให้มีขนาดเท่ากับตัวเว่ยเฉินฮ่าว ห้ามเล็กหรือใหญ่ไปกว่านี้ เพราะเขากลัวว่าพี่หลางจื่อจะแอบมุดออกไปเที่ยว! “…” เว่ยเทียนฉี ให้ตายสิ! พี่ชายอย่างเขาเห็นแล้วอยากกุมขมับ เพียงแค่ได้ฟังเรื่องราวการพบรักของเสด็จพ่อและเสด็จ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /4 นักเลงทั้งสามเงียบงันไปชั่วครู่ หน้าตาเลิ่กลั่กพยายามหาข้อแก้ตัว “อ๋อ ขะ ข้า…ข้าจำผิดน่ะ มิใช่เมื่อวาน แต่เป็น…เมื่อวันก่อน! ใช่แล้วเมื่อวันก่อน!” คราวนี้สุ่ยเจียวเจียวยิ้มเย็น นิ้วเรียวพลิกบันทึกไปอีกหน้า “วันก่อนอย่างนั้นรึ? ขออภัยเถิด ที่ร้านทำ ไส้ลูกบัวขายไปสองร้อยชิ้น ไม่มีถั่วแดงเช่นกันเจ้าค่ะ” เสียงฮือฮาเริ่มดังมาจากกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู “โอ้โห…ว่าแล้วเชียว! ที่แท้มาก่อกวนนี่เอง” “หน็อยแน่ ปล่อยไก่กลางตลาดเลยนะนั่น” นักเลงทั้งสามคนหน้าแดงก่ำ พวกเขาไม่รู้นี่ว่าร้านเล่อสุ่ยขายเซาปิ่งในแต่วันมีไส้ต่างกันไป ถูกจ้างมาให้ก่อกวนก็ทำตามหน้าที่ ไม่คิดว่าจะพลาดท่าเผลอปล่อยไก่ออกมาเยี่ยงนี้ “ข้า เอ่อ ข้าอาจจะจำผิดร้านก็เป็นได้! ช่างเถิด! ไม่เอาเรื่องแล้ว!” ชาวบ้านบางคนเริ่มโห่ไล่หลัง นักเลงทั้งสามคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม วิ่งหนีหายไปในพริบตา ทิ้งไก่ตัวใหญ่หน้าแหกไว้หน้าร้านน้ำชาเล่อสุ่ย สุ่ยเจียวเจียวหันมายิ้มแย้มกับลูกค้าและคนที่มามุงดู…คิดว่าเล่นงานนางแบบนี้ แล้วจะลอยนวลไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ในเมื่อมีคนกล้ามาหาเรื่องนางก่อนถึงที่ แล้วเรื่องอะไรที่นาง
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /3 ซ่งจงเจิ้งใบหน้าดำคล้ำ เขวี้ยงจอกชาลงบนพื้น ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยโทสะสูงเสียดฟ้า เขาชี้มือสั่นเทามาที่บุตรี บริภาษนางเสียงดังว่าไร้หัวคิดและไร้ประโยชน์เหมือนมารดาไม่มีผิด ซ่งเจียวเจียวที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นกัดริมฝีปากด้านในจนเลือดซิบ นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต้องออกไปจวนสกุลซ่งให้ได้ ชีวิตใหม่ที่สวรรค์มอบให้ครั้งนี้ นางจะไม่มีวันทำมันพังอีกเป็นอันขาด “ขอใต้เท้าซ่งโปรดเมตตาข้าด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งเจียวเจียวโขกศีรษะอ้อนวอนบิดา “ขอใต้เท้าโปรดเมตตาคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่รีบคุกเข่าอ้อนวอนอีกแรง เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเนี่ยซื่อ นางรีบมาช่วยเกลี้ยกล่อมสามี ให้ตัดชื่อซ่งเจียวเจียวออกจากตระกูลอย่างไม่รีรอ “ท่านพี่เจ้าคะ ในเมื่อคุณหนูใหญ่หาได้เคารพเชื่อฟังท่านดั่งในคำสอนคุณธรรมสตรี ยังไม่รวมเรื่องที่นางทั้งหัวรั้น อละมักก่อเรื่องให้ท่านปวดหัวอยู่เป็นประจำ สกุลซ่งต้องเสียชื่อเสียงเพราะนางก็ตั้งหลายหนแล้วนะเจ้าคะ เนื้อร้ายหากปล่อยไว้ในอนาคตก็ยิ่งจะลุกลาม มิสู้ตัดทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีกว่า!” หากซ่งเจียวเจียวถูกตัดชื่อออกไปจริง ต่อไปซินเอ๋อร์ของนางก็
ตัวนางเองมีฝีมือในเรื่องการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า แม้แต่ฮูหยินรองที่ปกติไม่ถูกกันยังเอ่ยปากชมยามเห็นชุดที่นางใส่ เพราะคิดว่านางไปสั่งตัดมาจากข้างนอก สองวันต่อมาซ่งเจียวเจียวได้สั่งสารถีให้พานางไปยังเมืองเหอผิงซึ่งเดินทางด้วยรถม้าราวชั่วยามกว่าๆ นางต้องการมาดูสถานที่ ศึกษาข้อมูลและหลักเกณฑ์การเปิดร้านของเมืองเหอผิง หลังจากเสร็จธุระจึงไปหามื้อกลางวันกินยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล เพียงแต่ขณะที่กำลังเจรจากับหลงจู๊ของร้านอาหารเพื่อถามหาห้องส่วนตัวอยู่นั้น ได้มีชายหนุ่มสามคนที่เดินผ่านหน้าร้านอาหารแห่งนี้สายตาพลันสะดุดเข้ากับความงามของซ่งเจียวเจียวเข้าพอดี คนที่ลักษณะดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าเดินอาดๆตรงมาหานางด้วยท่าทางอวดดีกึ่งลวนลาม “คุณหนูท่านนี้ช่างงดงามดุจนางเซียนข้าไม่เคยเห็นท่านที่เมืองเหอผิงมาก่อน ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันไม่ทราบว่าคุณหนูพอจะให้เกียรติข้าได้เลี้ยงอาหารท่านในวันนี้จะได้หรือไม่” พูดจบก็ยกมือขึ้นมาหมายจะสัมผัสมือของซ่งเจียวเจียวทว่าหญิงสาวขยับเท้าก้าวถอยหลังหนีได้ทัน หลงจู๊ผู้ดูแลร้านลอบกลอกตามองบน เมื่อเห็นหน้าเทพโรคระบาดแห่งเมืองเหอผิง ‘นางน่ะหน้าตางดงาม แต่เจ้านี่สิ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส “ข้าจะฆ่าเจ้านังสารเลว” ตวนอ๋องคำรามลั่นก้องรถม้าที่กำลังดิ่งลงเหว แข่งกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติของซ่งเจียวเจียว “ฮ่าๆๆๆลงนรกไปพร้อมกับข้าเสียเถิดเจ้าคนชั่วช้า!” ทุกอย่างรอบตัวหมุนคว้างก่อนจะเกิดแรงกระแทกหนักหน่วง ยามที่รถม้ากระทบหินก้อนใหญ่ก้นเหวตัวรถแตกเป็นเสี่ยงๆเสียงเนื้อไม้แตกหักกรีดผ่านอากาศ แรงเหวี่ยงกระชากให้ร่างกายของซ่งเจียวเจียวกระเด็นออกมาจากรถม้า ลอยไปกระแทกหินก้อนใหญ่อีกก้อนนางเจ็บปลาบไปทั่วทั้งร่างกระอักเลือดออกมามากมาย ก่อนที่แสงสุดท้ายในดวงตาจะดับลง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นริษยาเกลียดชังทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะของซ่งเจียวเจียว…บัดนี้ได้สิ้นสุด ซ่งเจียวเจียวเดินอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมายรอบกายเต็มได้ด้วยม่านหมอกสีขาวและความเงียบงัน ใบหน้าของนางเฉยชาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ทว่าปากกลับพร่ำบ่นว่าสวรรค์ช่างอยุติธรรม นางเดินอยู่ในหมอกขาวนั้นนานเท่าไหร่มิอาจทราบได้ ทว่าจู่ๆก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าพร้อมการปรากฏของชายชรา ทั้งเรือนผมหนวดเครารวมถึงชุดล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะแรก เขาเอ่ยวาจากับซ่งเจียวเจียวด้วยน้ำเสีย