เช้าตรู่วันถัดมา เสียงกรีดร้องโหยหวนของท่านเสนาบดีกรมขุนนางดังลั่นไปทั้งจวน “อ๊ากกกกก!!! ใครมันเอาสัตว์ประหลาดมาไว้ในเป้ากางเกงข้า!! มันดูดตรงนั้นของข้า ม่ายยยยย!” กงฮูหยินลมจับล้มทั้งยืนเมื่อเห็นสภาพของสามี องครักษ์พากันวิ่งวุ่นเกือบชนกันเอง หมอประจำจวนถูกลากลงจากเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า รีบหอบสังขารแก่ๆมายืนมองเป้าของกงจ้านจนตาแถบถลนออกมานอกเบ้า “เอ่อ ท่านเสนาบดี ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนขอรับ อนุของท่านคนไหนสอนมา…” ปลิงสามตัวอวบอ้วนเกาะอยู่ตรงส่วนสำคัญแน่น พวกมันยังดูดเลือดไม่อิ่มเลยยังไม่ยอมคายคมเขี้ยว…หากฝืนดึงออกตอนนี้ ส่วนนั้นของท่านเสนาบดีอาจเสียหายใหญ่หลวงได้ การประชุมเช้าในท้องพระโรงวันนี้ท่านเสนาบดีกรมขุนนางจำต้องลาป่วย หลังเลิกประชุมเช้า เว่ยลี่หยางเดินตามพระบิดาไปยังห้องทรงงาน เขามอบเอกสารสำคัญทั้งหมดที่เย่หลินนำมาให้แก่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้เว่ยจินหยางเปิดอ่านอย่างใจเย็น ทว่าอ่านไปได้เพียงครึ่งเล่มแรกสีพระพักตร์พลันดำคล้ำจากโทสะ เขาวางสมุดบัญชีเล่มนั้นลง เปลี่ยนมาเขียนพระราชโองการก่อนยื่นให้โอรส “จวิ้นอ๋องรับราชโองการ นำทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจับกุมคนสกุลกงเจ็ดชั่
บทที่ 43 ควบคุมตัว ตอนต้น สิ่งที่ทำให้เว่ยลี่หยางมั่นใจว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ต้องเป็นฝีมือของซ่งเจียวเจียวหาใช่ความโชคร้ายแต่อย่างใด หากวิเคราะห์ดูจากเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นกับม้าของซ่งซินเหวินในงานล่าสัตว์ที่เพิ่งผ่านพ้น ไม่มีทางที่จู่ๆม้าพวกนั้นจะวิ่งเตลิดลงหน้าผาไปเอง เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน เรื่องที่รถม้าของตวนอ๋องพลัดตกเขา กลายเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงของต้าเว่ย หลายคนเห็นใจความสูญเสียของเจ้ากรมโยธา บุตรีเพิ่งผ่านการแต่งงานได้ไม่กี่วัน กำลังเดินทางไปบ้านสามีแต่ต้องมาจบชีวิตลงเสียก่อน… ทว่ายังมีอีกหลายคนที่รู้สึกสมน้ำหน้าในความโชคร้ายของซ่งเจียวเจียว โดยเฉพาะเนี่ยหลี ฮูหยินรองของเจ้ากรมโยธาและบุตรีอย่างซ่งซินเหวิน แม่ลูกหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ ตอกย้ำว่านี่คงเป็นการลงโทษจากสวรรค์และคำสาปแช่งของพวกนาง “สมน้ำหน้านังแพศยานั่น ตายเสียได้ก็ดี!” ซ่งซินเหวินเหยียดปากด้วยความเดียดฉันท์ หากไม่ใช่เพราะนางถูกวางยาปลุกกำหนัด มีหรือจะพลาดท่าจนต้องแต่งให้กู้จื่อฝานอย่างไม่เต็มใจ! ชื่อเสียงของนางต้องป่นปี้เพราะซ่งเจียวเจียว ยังมีอีกคนที่ไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือสงสารซ่งเจีย
ขณะรับมื้อเย็นด้วยกัน โจวฉู่เจียงมองพระชายารองที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป จากที่เคยตัวสั่นงันงกน้ำตาคลอเบ้ายามที่เขาเข้าใกล้นาง ทว่าสองวันมานี้กลับสงบจนน่าแปลกใจ พอถามว่านางไม่กลัวเขาแล้วหรือ ซ่งเจียวเจียวตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเทา “กลัวสิเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันแต่งให้ท่านอ๋องแล้ว ต่อไปท่านอ๋องก็คือแผ่นฟ้าและชีวิตของหม่อมฉัน อะไรที่ทำให้ท่านอ๋องพอพระทัย หม่อมฉันก็จะอดทนเพคะ ขอเพียงท่านอ๋องเมตตาหม่อมฉันสักเล็กน้อยก็พอ” คำตอบของนางสร้างความประหลาดใจกึ่งพอใจให้โจวฉู่เจียง แต่กระนั้นนิสัยวิปริตของเขาก็มิได้จางหาย เพียงแต่ยั้งมือไว้บ้างยามร่วมหอ ซ่งเจียวเจียวจึงไม่สะบักสะบอมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ค่ำคืนนั้นหลังเสร็จกิจ เขาจึงมอบยาชะลอพิษให้ เพราะเห็นว่านางเริ่มมีอาการเจ็บปวดในทรวงอกพร้อมกับมีกำเดาไหล เป็นผลพวงจากฤทธิ์ของยาพิษที่เขาบังคับให้นางกินเข้าไป ในที่สุดก็มาถึงวันเดินทางกลับแคว้นโจว ภายในรถม้าของตวนอ๋องซ่งเจียวเจียวได้รับอนุญาตให้เดินทางร่วมกับเขา นางแต่งกายเรียบง่ายทว่ายังคงความงดงาม เกลัาผมอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว บนมวยผมประดับเพียงปิ่นทองคำสองอันและกำไลทองคำไร้ลวดลายสองวงเพื่อสะดวกแก
บทที่ 42 เจ้าทำอะไรลงไป! ตอนต้น เลือดในกายของซ่งเจียวเจียวเย็นเยียบขึ้นมากะทันหัน คาดไม่ถึงว่าเผิงกั๋วกงจะรู้เรื่องที่นางลงมือกับโกวเหมี่ยนจือ ทว่าก่อนที่นางจะอ้าปากกล่าวคำใด ตวนอ๋องที่เดินมาถึงหน้าจวนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้าย ได้ก้าวมารวบเอวของนางออกแรงดึงกึ่งบังคับให้เดินเข้าจวนไปกับเขาเสียก่อน “จิ๊ๆๆ คุณหนูซ่งชอบบรรยากาศนอกเมืองหลวงไฉนไม่บอกเปิ่นหวางดีๆ แอบหนีออกไปเที่ยวไม่ชวนเปิ่นหวางแบบนี้…เปิ่นหวางไม่ชอบใจเลยรู้หรือไม่” ตวนอ๋องจิ๊ปากอย่างขัดใจเอ่ยตำหนิซ่งเจียวเจียวทีเล่นทีจริง ทว่าน้ำเสียงท้ายประโยคกลับเหี้ยมเกรียม ซ่งเจียวเจียวเหงื่อกาฬไหลซึมทั่วกรอบหน้าขาแข้งอ่อนแทบทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น “ทะ ท่านอ๋อง คือ…คือว่าหม่อมฉัน ฮึก” “หึ!เอาไว้ค่อยบอกเปิ่นหวางทีหลังก็แล้วกัน” ตวนอ๋องเปลี่ยนจากประคองเป็นช้อนอุ้มนางก่อนตรงไปยังเรือนนอน เขาหันมาบอกหยวนทงให้พาสาวใช้ไป เสี่ยวหมี่หน้าซีดเป็นกระดาษก้าวถอยหลังกรูดเตรียมวิ่งหนี แต่ยังช้ากว่าหยวนทงที่แสยะยิ้มร้ายขยับขาพุ่งมาคว้าแขนและลากนางไปยังเรือนพักท้ายจวน เสี่ยวหมี่ร้องโวยวายได้เพียงสองสามคำก็ถูกมือของเขาอุดปาก ก่อนถูกอุ้มพาดบ่าพาตัว
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยบีบคั้นหัวใจของผู้ได้ยิน ซ่งเจียวเจียวกำมือแน่นภาพความทรงจำย้อนกลับมา… ไม่ว่านางจะพยายามร่ำเรียนหนังสือหรือเรียนศาสตร์ทั้งสี่ได้ดีแค่ไหนบิดาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยชม แต่หากทำสิ่งผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เขากลับต่อว่านางกับมารดาด้วยประโยคเสียดแทงจิตใจ… “ไร้ประโยชน์ทั้งแม่ทั้งลูก!” ส่วนซ่งเจิ้งเฉียวไม่ว่าทำใดสิ่งผิดก็ไม่เคยถูกลงโทษ กระทั่งทำแจกันล้ำค่าในโถงรับรองแตกบิดาก็เพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนเพียงไม่กี่คำ หากนางเป็นคนทำแตกคงถูกเฆี่ยนหลังขาดไปแล้ว “บิดาสารเลวเช่นนี้อย่านับถือจะดีกว่า“ ซ่งเจียวเจียวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบริภาษบิดาของตนและของเด็กหญิง จากนั้นจึงเดินไปหาเจ้าตัวน้อย “ข้าขอเหมาขนมทั้งหมดของเจ้าเองแม่หนูน้อย” ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความหม่นหมองก่อนหน้านี้พลันสดใสมีความหวังขึ้นมาทันที “จริงหรือเจ้าคะพี่สาวจะซื้อขนมของข้าทั้งหมดจริงๆหรือ” “จริงสิหนูน้อย” ซ่งเจียวเจียวยกมือลูบหัวเด็กหญิงอย่างเอ็นดู เด็กหญิงดีใจอย่างยิ่งในที่สุดนางก็ขายขนมหมดไม่ต้องถูกบิดาลงโทษเหมือนที่ผ่านมา ดวงตากลมโตไร้เดียงสา จ้องมองหญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้าประหนึ่งมองเห็นเทพธิดาอย่างไรอย่างน
บทที่ 41 นี่คือราคาที่เจ้าต้องจ่าย รอยยิ้มเย็นเยียบมาพร้อมไอสังหารน่าพรั่นพรึง ขณะยอมรับว่าตัวนางเป็นใครในอดีต ทำท่านแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเว่ยถึงกับขนต้นคอลุกเกรียว “มือสังหารระดับ มะ…มงกุฎดำของตำหนักจันทราเลยหรือขอรับท่านแม่ยาย” “เพคะ แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้วอย่าพูดถึงอีกเลย หม่อมฉันล้างมือในอ่างทองคำเรียบร้อย หันมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญขอท่านอ๋องอย่าได้กังวลไป แม่ยายคนนี้รอเลี้ยงหลานๆจากท่านอ๋องและหนิงเอ๋อร์อยู่นะเพคะ และขอรบกวนท่านอ๋องทรงช่วยปิดเรื่องในอดีตของหม่อมฉันเป็นความลับด้วยนะเพคะ” เมื่อกล่าวจบ แม่ยายจวิ้นอ๋องหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทรงอักษร ปล่อยให้ลูกเขยตัวโตยืนสติกระเจิดกระเจิงอยู่ตรงนั้น หลังทราบความจริงถึงเบื้องหลังการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเชียนเพ่ย เย่หลินจำต้องข่มกลั้นโทสะอยู่ทุกวี่วัน ยอมหักห้ามใจไม่ให้แล่นไปสังหารกงจ้านด้วยมือตนเอง เพราะเกรงลูกเขยจะเสียแผนเรื่องที่ต้องการกำจัดหอกข้างแคร่อย่างสกุลกงให้ฮ่องเต้ ตามข้อมูลที่เว่ยลี่หยางได้มา มือสังหารระดับสูงสุดของตำหนักจันทราคือระดับมงกุฎทอง มีเพียงสามคน นั่นคือเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทั้งสอง ต่อมาคือระดับม