หยางฉิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตามใจท่าน” นางกล่าว ก่อนเดินไปดูของอย่างอื่น แล้วหยิบหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันเป็นหยกสีขาว ตกแต่งด้วยพู่สีน้ำเงิน ดูเข้ากับหลี่เซิงยิ่งนัก นางพลิกดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจซื้อเพิ่มหลังจากเจ้าของร้านนำผ้าออกมา หยางฉิงก็บอกความต้องการของพวกเขาไป ผ้าทั้งสองผืนตกพับละสองตำลึงทอง นางกับหลี่เซิงจึงจ่ายเงิน แล้วนางยังได้พู่ห้อยข้างเอวสำหรับบุรุษมาอีกชิ้น ในราคาสามตำลึงทอง นางไม่เสียดายเงิน แค่ซื้อความสุขให้ตัวเองและคนรักบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เป็นไรเมื่อซื้อของเสร็จ ทั้งสองก็พากันเดินออกจากร้านผ้าเดินไปได้ไม่ไกล หลี่เซิงก็เอ่ยขึ้นว่าเขาลืมของไว้ ขอให้นางยืนรอตรงนี้ก่อน จากนั้นจึงรีบเดินกลับไปที่ร้านทันที ส่วนหยางฉิงก็เก็บของที่ซื้อมาเข้าไปไว้ในมิติทั้งหมด เพราะกลัวจะทำหายหากถืออยู่ด้านนอกหลี่เซิงรีบรุดกลับไปที่ร้านผ้าด้วยความกังวล เขากลัวว่าปิ่นที่เขาสนใจจะถูกซื้อไปเสียก่อน แต่พอไปถึงก็พบว่ามันยังอยู่ที่เดิมเจ้าของร้านเห็นชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านลืมสิ่งใดหรือ?”“ข้ามาซื้อของ” เขาตอบ แล้วชี้ไปที่ปิ่นที่ต้องการ “ไม่ทราบว่าปิ่นนี้ราค
“เปล่าหรอก ข้าเพียงมาเยี่ยมดูว่าอาการป่วยของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หยางฉิงมองสำรวจ พบว่าท่านลุงดูแข็งแรงขึ้นมาก อาการป่วยแทบไม่เหลือให้เห็น นางเหลือบมองโจวเล่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยส่งยิ้มมาให้นางเช่นกัน“พี่สาว ข้าคิดถึงพี่สาวยิ่งนัก!” โจวเล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสหยางฉิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู “พี่สาวก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน นี่เป็นของฝากสำหรับเด็กดี” นางยื่นถังหูลู่ให้โจวเฉียวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เด็กคนนี้พูดถึงพวกท่านบ่อยนัก ข้าก็เคยพาหลานไปหาท่านตามที่บอก แต่ก็ไม่พบ นึกว่าพวกท่านหายไปเสียแล้ว”หลี่เซิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “ช่วงนั้นพวกข้ามีธุระต้องจัดการ จึงหยุดขายของไปพักหนึ่ง ท่านลุงหายป่วยมานานหรือยัง?”เขามองดูท่านลุงที่ดูแข็งแรงขึ้นกว่าก่อนมาก รอคอยคำตอบด้วยความสนใจ...“ข้าหายป่วยมาหลายวันแล้ว ตอนนี้รู้สึกแข็งแรงกว่าเก่ามาก ต้องขอบคุณยาของพวกท่านที่ช่วยให้ข้าฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” โจวเฉียวยิ้มตอบด้วยความสุข เป็นเพราะยาของทั้งสองคนจริง ๆ ที่ทำให้อาการของเขาดีขึ้นเช่นนี้“ไม่เป็นไรหรอก เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หยางฉิงกล่าวพลางยิ้ม “ข้ายังมีธุระต้องทำต่อ ถ้าเช
พวกเขาใช้เวลาเดินทางทั้งวันจนกระทั่งถึงหน้าประตูรั้วบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป หลี่เซิงก็ได้ยินเสียงสัตว์ร้องระงมดังออกมาจากด้านใน เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปทันที…“ไม่รู้ว่าทำไมสัตว์พวกนั้นถึงร้องกันเช่นนี้… หรือว่าพวกมันหิว?” หลี่เซิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองหยางฉิงเพื่อความมั่นใจหยางฉิงส่ายหน้า “ก่อนที่ข้าจะตามท่านไป ข้าได้เตรียมอาหารไว้ให้พวกมันสำหรับห้าวันแล้ว หรือว่าพวกมันร้องเพราะไม่เห็นคน?” นางพูดพลางเดินไปดูด้านหลังบ้านเมื่อไปถึง นางจึงพบว่าสัตว์พวกนั้นร้องเพราะน้ำหมด โชคดีที่ลูกเป็ดและลูกไก่ที่เลี้ยงไว้ยังมีน้ำเพียงพอ มีเพียงแพะตัวแสบที่เตะภาชนะใส่น้ำจนหกหมด และเป็นต้นเหตุของเสียงร้องดังลั่น“น้ำของมันหกไปหมด มันคงจะหิวน้ำ ข้าจะไปตักน้ำให้พวกมันก่อน ท่านเข้าไปพักก่อนเถิด” นางกล่าวพลางหันไปมองหลี่เซิงที่เพิ่งหายดีแต่เขากลับส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนแล้ว เป็นเจ้ามากกว่าที่ควรจะพักบ้าง เจ้าดูแลข้ามามากแล้ว” พูดจบ เขาก็โน้มตัวลงมาหอมนางที่ศีรษะเบา ๆหยางฉิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่เปิดใจให้กัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พ
“ข้าไม่รู้ว่าวิญญาณของนางไปที่ใด แต่ตอนที่ข้าตายจากโลกเดิมที่ข้าเคยอยู่ ข้าก็มาเข้าร่างนี้แล้ว ข้ามาอยู่ในร่างของนางก็ตั้งแต่เกิดเรื่องกับหยางฉิงคนเก่า นางคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น” นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องมาอยู่ในร่างนี้เช่นกันหลี่เซิงอาจรู้สึกแปลกใจในคราแรก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป ความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีให้หยางฉิงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่นางเปลี่ยนไป ไม่ว่าวิญญาณของนางเป็นใคร เขาก็ไม่เคยคิดจะทิ้งนาง“ถ้าอย่างนั้น... รูปภาพพวกนี้ก็คือเจ้า ก่อนที่จะตายใช่หรือไม่?” เขาถือสมุดภาพขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วลองเปรียบเทียบใบหน้าของหญิงสาวในรูปกับหยางฉิง ทั้งสองมีส่วนคล้ายกันมาก“ใช่แล้ว นั่นคือรูปของข้าเอง” นางพยักหน้ารับ "ส่วนห้องนี้ก็เป็นห้องของข้าในโลกเดิม ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันติดตัวข้ามาได้อย่างไร โลกที่ข้าเคยอยู่แตกต่างจากโลกของท่านมาก ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาไปไกลแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือ โลกที่ข้าจากมาคืออนาคตของโลกนี้" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้โลกเดิมของนางจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด แต่จิตใจของผู้คนกลับเสื่อมถอย ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักเมื่อหลี่เซิงคิดตามคำพูดของนาง มันยากจะเชื่อจริง ๆ แต่เมื่อต
หลี่เซิงกอดหยางฉิงอยู่นาน กระทั่งนางหยุดร้องไห้ เขาจึงค่อย ๆ ดึงตัวนางออกมาเพื่อมองใบหน้าของนางให้ชัดเจน เขาใช้มือเกลี่ยแก้มของนางเบา ๆ ดวงตาของนางบวมแดงเพราะร้องไห้มาเป็นเวลานาน“เจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม พลางใช้นิ้วลูบแก้มของหยางฉิงอย่างแผ่วเบา“อืม… ข้าดีขึ้นมากแล้ว” นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง "แล้วร่างกายของท่านล่ะ ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่"นางกวาดตามองทั่วร่างของหลี่เซิง ราวกับพยายามค้นหาความผิดปกติใด ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่หลี่เซิงเห็นแววตาห่วงใยของนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย "ข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก" อาจเป็นเพราะนางใช้พลังรักษาเขาก็เป็นได้“ท่านสบายดี ข้าก็ดีใจมากแล้ว" หยางฉิงยิ้ม” พรุ่งนี้ข้าจะรักษาให้ท่านอีกครั้ง คราวนี้ท่านคงไม่รู้สึกเจ็บที่บาดแผลอีก" วันนี้นางเพิ่งใช้พลังรักษาให้เขาไป ครั้งหน้าจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้“ท่านนอนหลับไม่ได้สติไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ตอนนี้ท่านคงหิวมากแล้ว ข้าจะไปเอาอาหารมาให้” หยางฉิงกล่าว ก่อนจะเดินออกไปเพื่ออุ่นข้าวต้มที่นางทำไว้ให้หลี่เซิงหลี่เซิงเดินตามนางไปยังห้องครัว แม้เขายังไม่ได้ถามเรื่องภาพว
เมื่อนางกวาดตามองจากที่สูง ด้านบนดูไม่สูงมากนัก แต่เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง นางกลับมองไม่เห็นพื้นดินเลย แสดงว่าหน้าผานี้ลึกมาก โชคดีที่หลี่เซิงตกลงมาในบริเวณนี้หยางฉิงสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างตรงจุดที่หลี่เซิงตกลงมา นางเพิ่งพบว่ามีกระเป๋าใบหนึ่งค้างอยู่ มันเป็นกระเป๋าที่นางเคยทำให้หลี่เซิง ‘หลี่เซิงโยนมันทิ้งไปแล้ว แต่มันกลับมาตกอยู่ตรงนี้เอง’ นางคิด ก่อนจะหยิบมันใส่ในมิติจากนั้นนางเริ่มมองหาสิ่งที่มีค่าเผื่อว่าจะพบของดีติดตัวกลับไปบ้าง นางสังเกตเห็นว่ามีกล้วยไม้ป่าขึ้นอยู่บริเวณหน้าผา มันมีรูปร่างแปลกตาแต่สวยงาม นางตัดสินใจจะนำมันกลับไปปลูกที่บ้านหยางฉิงเก็บกล้วยไม้เหล่านั้นทั้งหมด โดยเหลือรากไว้เล็กน้อยเพื่อให้มันสามารถขยายพันธุ์ต่อไปเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย นางนำเชือกที่เคยมัดไว้มาเช็กความแน่นหนาอีกครั้ง ก่อนจะใช้มันมัดตัวเองให้มั่นคง นางกระตุกเชือกเพื่อทดสอบว่ามันแข็งแรงพอจะพานางปีนกลับขึ้นไปหรือไม่…ระหว่างที่หยางฉิงออกไปจากมิติ หลี่เซิงก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขายกมือขึ้นจับศีรษะ อาการมึนงงยังคงมีอยู่บ้าง เมื่อค่อย ๆ ลืมตา เขาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเขาค่อย ๆ ขยับ