‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’ นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัว หยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว หากนางหาเงินได้ จะสร้างรั้วบ้านให้ดีกว่าเดิม และจะไม่ยอมให้ใครมองเข้ามาในบ้านของนางได้อีก นางเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้เล็ก ๆ ข้างลำธาร มันตั้งอยู่ริมธารน้ำใสที่ไหลผ่านบ้านหลังนี้ สายตาของนางเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันกลมโตส่องแสงเรืองรอง ลมเย็นพัดผ่านกาย พาให้นางรู้สึกเหงาขึ้นกว่าเดิม หยางฉิงมองออกไปนอกบ้าน เห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากเรือนใกล้เคียง กลิ่นดินชื้นและกลิ่นแม่น้ำลอยมาตามสายลม นางสูดหายใจลึก รับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด อากาศดีเช่นนี้ ไม่มีอีกแล้วในยุคที่จากมา… ภายในบ้านตระกูลหลี่ หลังจากที่หลี่เจิงเดินกลับบ้านมาด้วยสภาพย่ำแย่ นางก็แสร้งวิ่งร้องไห้เข้ามา บ้านของนางเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ใหญ่โตกว่าบ้านอื่นในหมู่บ้าน เพราะสร้างขึ้นจากเงินที่น้องชายคนเล็กส่งมาให้ทั้งหมด นางกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาท่านแม่ แล้วก็เห็นจางเฟิงกำลังนั่งต่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ที่โต๊ะด้านในเรือน หลี่เจิงไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปฟ้อง “ท่านแม่!” นางร้องเรียกเสียงดัง จางเฟิงหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพลูกสาวสุดรัก หลี่เจิงเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง “หลี่เจิง! เจ้าไปทำอะไรมากันแน่? ข้าให้เจ้าไปดูว่านังหยางฉิงตายหรือยังไม่ใช่หรือ ทำไมกลับมาในสภาพนี้?” “ตายอะไรกัน! มันนั่นแหละที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ตาย ยังตีข้าอีกด้วย ท่านแม่ต้องไปจัดการมันให้ข้านะ!” นางร้องฟ้อง น้ำเสียงแฝงความอาฆาต พลันเหลือบไปเห็นบิดาเดินออกมาจากตัวเรือน สีหน้าของเขาดูไม่พอใจนัก ภายในบ้านหลังนี้ หากถามว่านางกลัวใครที่สุด ก็คงเป็นท่านพ่อ เพราะเขาเป็นคนที่ห่วงหน้าตาชื่อเสียงของตระกูลมาก “ตอนนี้บ้านของเราแยกออกมาแล้ว เจ้ายังจะไปบ้านนั้นทำไม? วัน ๆ เอาแต่หาเรื่อง ถึงได้ไม่มีใครมาสู่ขอเช่นนี้!" หลี่เฉากล่าวเสียงเข้ม "อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้ายังไปวุ่นวายกับบ้านหลี่เซิงอีก! อย่าให้ชาวบ้านนินทามาถึงข้า! แค่นี้ข้าก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!” “แต่ท่านพ่อ! ท่านไม่คิดจะทวงความเป็นธรรมให้ลูกเลยหรือ ท่านจะปล่อยให้นางหยางฉิงทำร้ายลูก…” “หุบปาก! โตป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่!” เสียงตวาดของหลี่เฉาทำให้หลี่เจิงสะดุ้ง นางรู้ดีว่าบิดาเป็นคนเคร่งครัดและหัวโบราณ เขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลมากกว่าสิ่งใด ทั้งยังไม่พอใจที่ลูกสาวของตนหาคู่แต่งงานไม่ได้ “ท่านก็พูดแรงเกินไปหรือไม่ ลูกของเรากำลังเสียใจนะ” จางเฟิงกล่าวขึ้น “เจ้าก็เลิกตามใจลูกได้แล้ว! เลี้ยงกันแบบนี้ ถึงไม่มีใครมาสู่ขอไง เอาเวลาไปหาคนแต่งงานให้ลูกยังจะดีเสียกว่า!” หลี่เฉาหันไปทางภรรยา “ภายในเดือนหน้า เจ้าต้องหาชายหนุ่มมาแต่งกับนางให้ได้ ปล่อยไว้อีกไม่นานคงไม่มีใครเอาแล้ว!” หลี่เฉาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินจากไป “ท่านแม่ ดูสิว่าท่านพ่อพูดกับข้าเช่นไร! ท่านแม่จะไม่ไปจัดการนังหยางฉิงให้ข้าหรือ?” จางเฟิงมองลูกสาวที่ร้องไห้ฟูมฟาย แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าคิดหรือว่าข้าจะทำอะไรได้? เจ้าดูพ่อของเจ้าสิ คำพูดของเขาข้าจะขัดได้หรือ? ถ้าเรื่องบานปลาย เจ้าจะเดือดร้อนเสียเอง” “แต่ท่านแม่...” “ตอนนี้ เจ้าควรดูแลตัวเองให้ดี แต่งตัวให้สวยเข้าไว้ ข้าจะหาชายหนุ่มฐานะดีจากหมู่บ้านอื่นให้แต่งงานกับเจ้า ดีหรือไม่?” พอได้ยินเช่นนั้น หลี่เจิงก็หยุดร้องไห้ทันที “จริงหรือ? ท่านแม่ต้องหาคนดี ๆ ให้ข้านะ!” ขณะเดียวกัน สายตาของหลี่เจิงก็เหลือบไปเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยืนก้มหน้าฟังพวกนางพูดกันอยู่ “พี่สะใภ้ จะยืนฟังพวกข้าอีกนานไหม?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ไม่ได้ยินที่ลูกของข้าพูดหรือ? ไป! จะไปไหนก็ไปได้แล้ว! พวกข้าหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว ยังจะมายืนเอ้อระเหยอะไรอีก รีบไปทำอาหารเสีย!” อู๋เจิงได้ยินคำสั่งของแม่สามี นางก็รีบเดินไปยังห้องครัว บางครั้ง นางก็อดอิจฉาน้องสะใภ้เล็กไม่ได้ อย่างน้อยหยางฉิงก็ได้แยกบ้านออกไป ไม่ต้องทนลำบากเช่นนาง… หยางฉิ่งนั่งอยู่หน้าบ้านไม่นานเท่าไหร่นัก นางเดินเข้าไปตรงที่ดินด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างขาดคนดูแลเอาใจใส่ นางมองพื้นที่ว่างเปล่าประมาณสองไร่ ถ้ามองจากพื้นที่ด้านหลังบ้านก็จะสามารถมองเห็นหน้าต่างที่เปิดอ้าออกของห้องนอนหลี่เซิงพอดี ‘นี่เขามองวิวแบบนี้มาตลอดเลยสินะ’ นางอยากทำอะไรบางอย่างให้เขาได้รู้สึกดีแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร นางใช้เวลาที่เหลือมองหาจอบที่พอใช้ขุดหญ้าออกไปได้บ้าง หยางฉิงเดินไปรอบตัวบ้านสายตาของนางจับจ้องไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อมองหาอุปกรณ์ที่ใช้ได้ นางเดินไปด้านข้างห้องน้ำ นางพบเจอเข้ากับจอบที่มีรอยบิ่นและขึ้นสนิ่มด้ามจับของมันยังพอให้ใช้งานได้อยู่ นางเดินไปหยิบจอบนั้นขึ้นมาขุดดินด้านหลังบ้าน โดยเริ่มจากข้างหน้าต่างห้องนอนของหลี่เซิง นางอยากปลูกเป็นไร่ผสมที่มีความหลากหลายร่วมอยู่ในนั้น หลี่เซิงมองดูหยางฉิงนางกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าต่างที่เขานอนอยู่ เขามองดูว่านางกำลังทำอะไร ก็เห็นว่านางกำลังขุดหญ้าที่รกร้างขึ้นอยู่เต็มไปหมดเมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด