Masuk“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!! ระบบ!! คุณรู้ไหมว่าทำไมระบบรักษาถึงได้ขึ้นแจ้งเตือนแบบนี้”
ลู่หยวนซีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางตกใจ “ผมยังคุยเรื่องนี้กับคุณไม่ได้ แต่ดูเหมือนผู้เขียนกำลังเข้าแทรกแซงเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดขึ้นในนิยาย เธอกำลังเปลี่ยนบทและเร่งเขียนเนื้อเรื่องให้กู้จิ่งเหยียนตาย... ℗♯ºº₪¤큐Ω ж фю Ю√ $ @ * & # ※卐 々∞Ψ ∪∩∈∏ の℡ ぁ §∮ เร็ว...ขึ้น....รีบพาเขาหนีไป!!” “คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ระบบ!! กลับมาก่อน!!” ไม่ว่าจะเรียกยังไงลู่หยวนซีก็ไม่ได้ยินเสียงของระบบตอบกลับมาอีกเลย มีเพียงเสียงดังซ่าๆ เหมือนกับเสียงของทีวีที่ไม่มีสัญญาณ นางหันกลับไปมองกู้จิ่งเหยียนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสียงหอบหายใจของเขาแรงขึ้น ร่างของกู้จิ่งเหยียนกระตุกและชักเกร็งท่าทางดูทรมานเป็นอย่างมาก เหมือนกับคนที่จะหมดลมหายใจลงไปได้ทุกเมื่อ ลู่หยวนซีรีบเข้าไปจับตัวเขาเอาไว้เพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะตกลงมาจากเตียง นางไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำยังไงต่อไปเพราะนางเองก็ไม่ใช่หมอ ไม่มีความรู้เรื่องการรักษาแม้แต่น้อย ที่พึ่งเดียวของนางอย่างระบบเวลานี้ก็ไม่รู้หายไปที่ไหนแล้ว วันนี้ถ้ากู้จิ่งเหยียนตายชีวิตของนางเองก็คงจะรอดด้วยเช่นกัน แต่แล้วลู่หยวนซีก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เปิดระบบรักษาอัตโนมัติ รักษาพิษที่อยู่ในร่างของเขา” แต่แล้วสัญลักษณ์ตกใจตัวสีแดงก็เด้งขึ้นมา และมีเสียงดังขึ้นภายในหัวของนางว่า ระบบยังไม่ได้รับการอัพเกรดไม่สามารถรักษาได้ ลู่หยวนซีได้ยินดังนั้นถึงกับแข้งขาอ่อน นางจะปล่อยให้เขาตายไปอย่างนี้เช่นนั้นหรือ ไม่มีทางช่วยเขาได้เลยหรืออย่างไร ในเนื้อเรื่องของนิยายบอกเอาไว้ว่า พี่ชายของกู้จิ่งเหยียนได้รับยาถอนพิษที่มีเพียงเม็ดเดียวจากหมอเทวดา ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องรู้ว่าส่วนประกอบในการทำยาถอนพิษมีอะไรบ้าง ถ้าหากนางหาตัวเขาพบ กู้จิ่งเหยียนก็น่าจะยังมีทางรอด แต่คนผู้นี้นางจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน อีกอย่างคำพูดสุดท้ายของระบบบอกว่าให้นางพาเขาหนีไปจากที่นี่ นางควรจะทำตามที่เขาบอกดีหรือไม่ ตอนนี้ลู่หยวนซีไม่มีเวลาให้คิดเรื่องอื่นมีทางเดียวคือต้องเชื่อคำพูดของระบบเท่านั้น นางรีบเก็บข้าวของที่พึ่งซื้อมารวมถึงสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อของกู้จิ่งเหยียนออก รีบแบกเขาออกไปทางด้านหลังเรือนตรงเข้าไปในภูเขาทันที หลังจากที่ลู่หยวนซีพาร่างที่อาการร่อแร่ของกู้จิ่งเหยียนออกจากเรือนไป ตกดึกมือสังหารนับสิบก็ตรงมายังเรือนหลังน้อยบนเนินเขาของนาง พวกมันพุ่งเข้าไปด้านในอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว เพราะได้รับรายงานมาว่าที่นี่มีเพียงกู้จิ่งเหยียนและสาวใช้ของเขาเท่านั้นที่อาศัยอยู่ แต่เมื่อค้นหาจนทั่ว กลับพบว่าข้างในว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใดอาศัยอยู่ที่นั่น ภายในเรือนไม่มีข้าวของหลงเหลืออยู่แล้ว แต่เรือนที่ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี มีข้าวของตกระเกะระกะเล็กน้อยเหมือนกับว่าพวกเขาออกไปจากที่นี่อย่างรีบร้อน “บ้าจริง พวกเขารู้ตัวก่อนได้อย่างไรถึงได้หนีไปจากที่นี่แล้ว แยกกันออกตามหาเร็วมีเพียงสตรีและคนป่วยเท่านั้นน่าจะยังหนีไปได้ไม่ไกล จงระวังอย่าให้องค์รัชทายาทได้ตัวพวกเขาก่อน” บุรุษชุดดำเหล่านั้นรับคำจากหัวหน้าของตน จากนั้นจึงรีบแยกกันออกเป็นสองกลุ่มก่อนที่จะหายลับไปในความมืด ห่างออกไปราวหนึ่งลี้ (500เมตร) สามร่างที่แอบซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ มองการกระทำของมือสังหารเหล่านั้นด้วยความสงสัย พวกมันมาทำอันใดที่เรือนของชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งกัน “ถ้าไม่ได้รับรายงานความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อนหน้านี้ คงไม่รู้ว่านอกจากข้าแล้วพวกมันยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีก ให้คนของเราไปสืบมาว่าผู้ใดกัน ที่อาศัยอยู่ภายในเรือนหลังนั้น” เอ่ยจบเฮ่อเหวินเจ๋อก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ หลังจากที่ลู่หยวนซีเร่งพากู้จิ่งเหยียนหนีออกมาจากหมู่บ้าน นางก็เดินเท้าไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดพัก เพราะไม่รู้ว่าอันตรายที่กำลังไล่หลังมาอยู่ไกลแค่ไหน ลู่หยวนซีเดินแบกร่างที่สูงกว่าตนเองไม่ยอมหยุดพัก จนกระทั่งพระอาทิตย์ของวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง แรงทั้งหมดที่มีภายในกายเวลานี้ได้ใช้ไปจนหมดแล้ว นางค่อยๆ วางร่างของกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่อย่างเบามือ ก่อนตนเองจะล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรง “ข้า....เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว” ลู่หยวนซีอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างสูงที่นอนไม่ได้สติอยู่ไม่ไกล แต่แล้วเสียงตี๊ดๆ ก็ดังขึ้นภายในหัวของนางอีกครั้ง ทันใดนั้นกู้จิ่งเหยียนก็กระอักเลือดสีดำคล้ำออกมาเปรอะเปื้อนร่างกายของตน ลู่หยวนซีเห็นดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก เลือดพวกนี้มีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งคล้ายกับว่าอวัยวะภายในของเขาได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว “กู้จิ่งเหยียน!! เจ้าเป็นอะไร” เพราะความตกใจแม้แต่ชื่อจริงของเขานางก็เอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ลู่หยวนซีประคองร่างสูงเอาไว้ในอ้อมแขนนางพยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดบริเวณปากของเขา แต่เสียงแจ้งเตือนที่ดังอยู่แล้วก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง “เลือดของคุณมีลักษณะพิเศษ สามารถเจือจางพิษในร่างกายของผู้ป่วยได้ กรุณาให้เขาดื่มเลือดของคุณเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้” แล้วเสียงแจ้งเตือนนั้นก็หายไป แต่กู้จิ่งเหยียนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของนางพลันชักเกร็งขึ้นอย่างแรง ลู่หยวนซีไม่มีเวลาให้คิดทบทวนแล้วเพราะตอนนี้การช่วยชีวิตของคนสำคัญกว่า นางคว้ามีดผ่าตัดออกมาจากช่องว่าอากาศ ก่อนจะกรีดลงไปที่มือของตนเบาๆ จากนั้นจึงบีบมันให้ไหลลงไปที่ปากของเขา แต่เพราะร่างกายของกู้จิ่งเหยียนยังคงชักกระตุกเกร็งทำให้เลือดเข้าไปในปากไม่ได้ ลู่หยวนซีพยายามง้างปากของกู้จิ่งเหยียนจากนั้นจึงใช้มือของตนยัดเข้าไปแทน แรงกัดที่เกิดขึ้นส่งผลให้มือของนางมีบาดแผลเพิ่ม จากนั้นเลือดก็ไหลลงไปในลำคอของเขา ไม่นานอาการกระตุกของร่างสูงก็ค่อยๆ หยุดลง ลู่หยวนซีกัดฟันอดทนดึงมือของตนเองออกจากปากของเขา พลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “บ้าจริง มันเจ็บมากๆ เลยนะเนี่ย กู้จิ่งเหยียนเจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้าอีกครั้งแล้ว หวังว่าในอนาคตเจ้าจะทำดีกับข้ามากกว่านี้ ก่อนที่ข้าจะกลับไปยังโลกเดิมของตนเอง” ลู่หยวนซีพ่นลมหายใจออกมาจากปาก ก่อนจะพูดเปรยๆ กับร่างที่ยังคงนอนหลับตาสงบนิ่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกคนนั้นได้สติกลับมาแล้ว หลังจากที่เห็นว่าชายหนุ่มมีอาการสงบลงลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นเพื่อสำรวจรอบๆ ป่า ว่ามีที่ทางสามารถให้พวกเขาพอที่จะใช้พักได้บ้างหรือไม่ นางเดินมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้นอนเลยสักงีบ ต่อให้แข็งแรงมากขนาดไหนร่างกายก็คงจะทนไม่ไหวแน่ลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให






![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
