Masukครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างบางในชุดสีกลีบบัวก็เดินออกมาด้านนอกด้วยท่าทางอิดโรย นางยกยิ้มเล็กน้อยก่อนมองไปทางชายชุดดำที่ยืนกอดกระบี่ด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ท่าน เข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ให้.....เขา” เอ่ยยังไม่ทันจบลู่หยวนซีก็ล้มลงไปตรงนั้นทันที แต่ร่างโชกเลือดที่เคยนอนหายใจรวยรินอยู่ด้านในกลับพุ่งออกมารับนางเอาไว้ได้ทัน ทำให้ลู่หยวนซีไม่หงายหลังลงไปกระแทกพื้น บุรุษผู้นั้นมองใบหน้าที่ดูซีดเซียวของนางจากนั้นจึงอุ้มร่างบางเข้าไปด้านในอีกครั้ง ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มาเห็น คงจะคิดว่าคนที่บาดเจ็บเป็นหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเป็นแน่ “ท่านเข้าไปตรวจดูอาการของนาง” ร่างสูงใหญ่เดินออกมาด้านนอกสั่งหมอชรา ก่อนจะย้อนกลับเข้าไปในห้องพร้อมกัน ไม่นานหมอชราก็เดินออกมาเพียงคนเดียวเพื่อเขียนใบสั่งยาบำรุงให้กับลู่หยวนซี จากนั้นจึงสั่งให้ผู้ช่วยไปต้มมา บุรุษร่างสูงในชุดขาดวิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้างเตียง มองใบหน้ายามหลับของหญิงสาวผู้ช่วยชีวิตตนอย่างสงสัย ความจริงตั้งแต่ที่ถูกหามเข้ามาภายในห้องนี้เขาไม่ได้หมดสติไปเสียทีเดียว เพราะยังคงสัมผัสและรับรู้ได้ถึงทุกอย่างที่นางกระทำแม้จะมองไม่เห็นก็ตามที สตรีผู้นี้นางเป็นใครกันแน่ เฮ่อเหวินเจ๋อสัมผัสไปยังจุดที่เคยมีบาดแผลของตนที่สมานเข้าหากันเรียบร้อยแล้ว ธนูสี่ดอกถูกยิงเข้าจุดตายทุกจุด นักฆ่าที่ถูกส่งมาลอบสังหารต้องการให้เขาตายอยู่ที่แคว้นจ้าวแห่งนี้ หากไม่ได้รับภารกิจที่แสนสำคัญจากเสด็จแม่เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด การเดินทางมายังแคว้นจ้าวเป็นความลับแต่กลับยังมีคนรู้เรื่องเช่นนี้ แสดงว่าข้างกายของเสด็จแม่จะต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่ เฮ่อเหวินเจ๋อบีบไปที่แขนของตนแน่นด้วยท่าทางโกรธแค้น ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้พวกกบฏก็ไม่สามารถกวาดล้างให้สิ้นซากได้เสียที คนของเสด็จลุงนี่ช่างมีความจงรักภักดีเสียเหลือเกิน เสียงเปิดประตูจากด้านนอกทำให้เฮ่อเหวินเจ๋อหลุดจากภวังค์ เขาไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าผู้ที่เข้ามาเป็นใคร เป็นหมอชราที่กำลังยกถ้วยยาบำรุงเดินเข้ามา เขายืนรอว่าชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใดหรือไม่ แต่แล้วเขากลับยังคงนั่งเงียบอยู่เช่นเดิม หมอชราจำต้องเอ่ยบางอย่างกับเขาก่อนที่ยาในถ้วยจะเย็นไปเสียก่อน “คุณชายท่านจะเป็นผู้ป้อนยานางด้วยตนเอง หรือจะให้ข้าเป็นคนป้อนขอรับ” เฮ่อเหวินเจ๋อหันไปมองชายชราชั่วอึดใจก่อนจะรับถ้วยยามาเอาไว้ในมือ แต่หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ได้สติเขาจะป้อนยาให้นางอย่างไร ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของชายหนุ่ม ทำเอาหมอชราถึงกับส่ายหน้าอย่างจนใจ “เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้คุณชายป้อนยานางก็แล้วกัน” เอ่ยจบชายชราก็เดินออกจากห้องไป เฮ่อเหวินเจ๋อที่เป็นทั้งเชื้อพระวงศ์และนักรบมีหรือที่เขาจะเคยดูแลผู้อื่นเช่นนี้ เมื่อไม่รู้ว่าตนควรทำเช่นไรจึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เขาพอจะนึกได้ ร่างสูงประคองนางให้พิงกับอกของตน ก่อนจะยกถ้วยยาขึ้นมาแล้วอมเอาไว้ในปาก ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปหาใบหน้าเล็กช้าๆ กำลังจะประกบปากเพื่อป้อนยาให้ลู่หยวนซี แต่แล้วนางก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยความตกใจร่างบางจึงต่อยไปที่ใบหน้าของเขาอย่างแรง ท่าทางตื่นตระหนกของนางทำเอาเขาเองก็ตกใจจนเผลอกลืนยาลงไป ไม่คิดว่าตนจะถูกจับได้ว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีกับหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ เฮ่อหวินเจ๋อยกนิ้วโป้งแตะมุมปากที่มีเลือดไหลของตน ก่อนกระแอมไอเบาๆ อย่างอึดอัด “ข้ามิได้มีเจตนาทำไม่ดีกับเจ้า แม่นางอย่าได้เข้าใจผิด” ลู่หยวนซีที่กระโดดไปยืนอยู่ตรงมุมห้องมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ในใจคิดเพียงว่านางได้ช่วยชีวิตงูพิษเอาไว้หรือไม่ หลังจากหายดีเขาถึงได้หันมาแว้งกัดตนเองเช่นนี้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากำลังคิดจะทำอันใดกับข้ากันแน่ ถึงได้เอาหน้าเข้ามาใกล้เช่นนั้น” เฮ่อเหวินเจ๋อชี้ไปยังถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะอธิบายกับลู่หยวนซีอีกครั้ง “เจ้าหมดสติไป ท่านหมอบอกว่าร่างกายของเจ้าเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแอ จึงได้ต้มยาบำรุงมาให้ แต่เจ้าหมดสติอยู่ข้าไม่มีทางเลือกจึงได้....” เฮ่อเหวินเจ๋อพูดประโยคต่อไปออกมาไม่ได้ ได้แต่ทำไม้ทำมือให้นางเข้าใจ จากนั้นจึงชี้ไปที่ริมฝีปากของตน ลู่หยวนซีถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้จะมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแต่นางก็มิใช่เด็กเรื่องเหล่านี้ย่อมต้องเคยมาบ้าง อีกทั้งเขายังเป็นคนที่นางพึ่งจะยื้อแย่งชีวิตมาจากมือของพญามัจจุราช จนทำให้นางเองก็เกือบเอาชีวิตตนเองไม่รอดเช่นกัน ถึงจะตกใจกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แต่ลู่หยวนซีก็ไม่คิดตำหนิเขาอีก “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องดื่มยา ในเมื่อท่านหายดีแล้ว เช่นนั้นเราก็แยกย้ายเถอะ ข้ายังมีคนที่บ้านรออยู่ ขอตัวก่อน” เอ่ยจบ ลู่หยวนซีก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เฮ่อเหวินเจ๋อยืนอยู่ภายในห้องอย่างโดดเดี่ยวและสับสนมึนงง เขาไม่เคยพบสตรีเช่นนี้มาก่อน นางเห็นใบหน้าของเขาแล้วมิใช่หรือ ทั้งนางยังเป็นคนช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ด้วย นางสามารถเรียกร้องสิ่งใดจากเขาก็ได้ แต่นางกลับเมินเฉยทั้งยังแสดงออกว่าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเขาอีก เป็นไปได้อย่างไร ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ เฮ่อเหวินเจ๋อนั้นมั่นใจในบุคลิกและหน้าตาของตนเป็นอย่างมาก ไม่มีสตรีนางใดที่สบตากับเขาแล้วไม่แสดงท่าทางเอียงอายออกมา แต่สตรีนางนี้กลับสงบนิ่งดุจสายน้ำในทะเลสาบ มิได้แสดงท่าทีและความรู้สึกใดๆ ออกมาทางสีหน้าแม้สักนิด เฮ่อเหวินเจ๋อไม่รู้ว่าที่ลู่หยวนซีเป็นเช่นนั้นเพราะนางได้เห็นบุรุษที่หล่อเหลามากกว่าเขาหลายเท่าอยู่ทุกวี่วัน มิใช่ว่าเขารูปไม่งามแต่ยังมีผู้ที่เหนือกว่าเขาอยู่ข้างกายนาง และลู่หยวนซีก็ได้รับเกราะป้องกันเรื่องหน้าตาของบุรุษมาจากเขาคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ร่างบางเดินตัวปลิวออกไปจากจี้หมิงถังอย่างไม่เหลียวหลัง นางไม่อยากต้องเพิ่มความยุ่งยากให้กับตนเองอีก เรื่องที่บุรุษผู้นั้นจะต้องกลายมาเป็นผู้หนุนหลังของกู้จิ่งเหยียนหรืออะไรก็ช่าง เวลานี้นางแค่ต้องการช่วยให้เขาหายดี แล้วกลับไปยังโลกเดิมของนางก็เท่านั้นเอง หลังจากที่กลับมายังเรือนหลังน้อยบนเนินเขา ลู่หยวนซีก็แวะเข้าไปดูกู้จิ่งเหยียนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเห็นว่าเขายังคงหลับอยู่นางจึงหันไปเก็บข้าวของที่พึ่งซื้อมากลับเข้าที่ แล้วทำอาหารเที่ยงเพื่อรอให้คนในห้องตื่นขึ้นมารับประทาน แต่ในระหว่างนั้นลู่หยวนซีได้ลองสแกนดูร่างกายของกู้จิ่งเหยียนดูอีกครั้ง พบว่าระบบขึ้นสัญลักษณ์ตกใจตัวสีแดงแล้วเสียงตี๊ดๆ ก็ดังขึ้น ทั้งที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







