Masuk“ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้ามานะ”
ลู่หยวนซีบอกกับร่างที่นอนไม่ได้สติของกู้จิ่งเหยียนก่อนจะเดินผละจากไป ทันทีที่เสียงเดินของนางหายไปร่างที่เคยนอนหลับตานิ่งพลันก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีม่วงของเขาเวลานี้มันค่อยๆ จางลง แม้จะไม่มากแต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าด้านข้างที่เคยมีร่องรอยของตะขาบไฟก็ค่อยๆ หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ความมืดมิดที่อยู่กับเขามาสองปีกว่า มันเริ่มสว่างจ้าขึ้นทุกที กู้จิ่งเหยียนยกมือขึ้นป้องดวงตาของตนที่มีแสงส่องลงมาอย่างรำไร ภาพที่ปรากฏอยู่รอบกายเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสีม่วงที่เคยอยู่ในดวงตาของเขาก็จางหายไปด้วยเช่นกัน กู้จิ่งเหยียนกระพริบตาหลายครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาก้มลงมองที่ฝ่ามือที่ซีดขาวของตน ก่อนจะหันมองไปรอบๆ อีกครั้ง ช่างน่าอัศจรรย์นัก เขากลับมามองเห็นได้แล้วอย่างนั้นหรือ กู้จิ่งเหยียนลองขยับเท้าของตนเองแต่มันยังคงไร้ความรู้สึก แต่เขาก็มิได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด อย่างน้อยเวลานี้เขาก็น่าจะพอยังมีความหวังที่ตนเองจะกลับมาหายเป็นปกติได้ เพราะแม้แต่ดวงตาที่มืดบอดของเขามันยังสามารถมองเห็นได้เลย สตรีผู้นั้นนางทำอะไรกับเขากันแน่ กู้จิ่งเหยียนยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน เขาคิดว่าภาพที่เห็นก่อนหน้านี้น่าจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น นางให้เขาดื่มเลือดของนางอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ เลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่รอบๆ หน้าอกของเขามันมีทั้งสีดำคล้ำและสีแดงสด นั้นหมายความว่านอกจากเลือดของเขาน่าจะยังมีเลือดของผู้อื่นปะปนอยู่ด้วย แม้ดวงตาของกู้จิ่งเหยียนจะสามารถกลับมามองเห็นได้แล้ว แต่หูของเขาก็ยังคงใช้การได้ดีอยู่ เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นลู่หยวนซี ชายหนุ่มแสร้งหลับตาลงเช่นเดิมเพื่อรอดูว่านางจะทำเช่นไรกับเขาต่อไป “ข้างหน้ามีถ้ำเล็กๆ อยู่ ข้าจะพาท่านไปพักที่นั่นก็แล้วกัน รอให้เจ้าระบบกลับมาก่อนแล้วค่อยมาดูกันว่าเราจะสามารถกลับไปที่หมู่บ้านได้อีกครั้งหรือไม่” ลู่หยวนซีพูดกับชายหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าทุกคำพูดของตนนั้นเขาได้ยินมันทั้งหมด ความสงสัยที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้กู้จิ่งเหยียนมั่นใจว่าสตรีนางนี้มิใช่สาวใช้ที่เคยดูแลตน เช่นนั้นแล้วนางเป็นใคร เหตุใดนางถึงได้อยู่ที่นี่แล้วยังต้องคอยกังวลว่าเขาจะอยู่หรือตาย ลู่หยวนซีแบกร่างของกู้จิ่งเหยียนเดินไปตามทางที่นางพึ่งจากมา เพียงไม่นานก็ได้เห็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ตรงหน้า หากไม่สังเกตให้ดีก็คงจะมองไม่เห็นเพราะมีต้นไม่ใหญ่ขึ้นบดบังอยู่ นางแหวกพงหญ้าเข้าไปด้านใน จากนั้นจึงวางร่างของกู้จิ่งเหยียนพิงผนังถ้ำเอาไว้ นางหยิบผ้านวมผืนใหม่ที่พึ่งซื้อมาปูบนพื้นก่อนอุ้มกู้จิ่งเหยียนวางลงไปอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงห่มผ้าให้เขา หลังจากที่เตรียมที่ทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลู่หยวนซีก็ออกจากถ้ำไปอีกครั้ง นางเก็บฟืนมาเตรียมเอาไว้มากมายเพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อใด ช่วงบ่ายท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสกลับมืดครึ้ม เสียงคำรามที่ดังแว่วมาเบาๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนจะต้องเทลงมาแน่ กลิ่นชื้นในอากาศทำให้ลู่หยวนซีรู้สึกไม่สบายใจนัก ตอนนี้อาการของกู้จิ่งเหยียนยังไม่มั่นคง นางเกรงว่าหากเขาต้องมาโดนความชื้นของอากาศเช่นนี้เขาอาจจะไม่สบายขึ้นมาอีก ลู่หยวนซีดึงเอาข้าวของที่เก็บเอาไว้ในช่องว่างอากาศออกมา นางเตรียมอาหารอ่อนๆ เอาไว้ให้เขา หลังจากที่กู้จิ่งเหยียนได้สติกลับมาเขาจะได้มีอะไรทานรองท้อง ทุกการเคลื่อนไหวของตนลู่หยวนซีไม่รู้เลยว่ากู้จิ่งเหยียนมองเห็นทั้งหมด คราแรกที่เขาเห็นนางเอาสิ่งของออกมาจากความว่างเปล่าเขาตกใจจนแทบหัวใจหยุดเต้น คิดว่าลู่หยวนซีเวลานี้อาจมิใช่มนุษย์อย่างเช่นตนเอง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางทำอาหารและชิมอย่างเอร็ดอร่อยของนาง เขาก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะคิดมากไป หากว่านางเป็นภูตผีแล้วจะทานอาหารไปเพื่ออะไร แต่เขาก็ยังสงสัยว่านางเป็นใครกันแน่ถึงได้มีความสามารถที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี ลู่หยวนซีที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการทำอาหาร ก็หันมาทางกู้จิ่งเหยียนอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อทั้งสองสบตากันกู้จิ่งเหยียนก็แสร้งนั่งทำหน้านิ่งเหมือนกับว่าเขามองไม่เห็นนางอย่างที่แล้วมา “คุณชายท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ดีเลยจะได้ทานอะไรรองท้องสักหน่อย เมื่อวานท่านไม่ได้ทานอะไรเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้” หลังจากที่นางเอ่ยจบ เสียงท้องของกู้จิ่งเหยียนก็ดังขึ้นแข่งกับเสียงฟ้าร้องด้านนอกถ้ำ ใบหน้าที่ยามปกติซีดขาวบัดนี้กลับร้อนผ่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ตัวเขาเองก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนนั้นกำลังเห่อแดง แต่เพราะภายในถ้ำไม่มีแสงสว่างที่มากนัก ทำให้ลู่หยวนซีไม่ทันได้สังเกตถึงอาการผิดปกติของเขา กู้จิ่งเหยียนกระแอมไอเบาๆ จากนั้นจึงพยักหน้ารับ ลู่หยวนซีอดที่จะแปลกใจมิได้ที่วันนี้ของคุณชายผู้หยิ่งยโสของนาง กลับมีท่าทางว่าง่ายต่างจากทุกที แต่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายทำให้นางมองข้ามรายละเอียนเล็กๆ น้อยๆ ของเขา นางตักโจ๊กที่พึ่งเคี่ยวเสร็จใส่ลงไปในชามที่เขาใช้ทุกวัน จากนั้นจึงคนไปมาและเป่าจนโจ๊กเกือบเย็นจึงนำไปวางลงในมือของกู้จิ่งเหยียน ชายหนุ่มมองท่าทางที่เอาใจใส่ของนางอย่างเหม่อลอย ก่อนจะรับชามโจ๊กมาไว้ในมือ ในช่วงเวลาที่ดวงตาของเขามองไม่เห็นนางเอาใจใส่ดูแลเขาดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งที่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ทำไมกัน ความรู้สึกสายหนึ่งก็ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ อาการอยากอาหารของเขาตอนนี้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง มีเพียงความรู้สึกตื้นตันราวกับว่าเขากำลังถูกดูแลเอาใจใส่จากมารดาผู้ให้กำเนิด ที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน ดวงตาสีรัติกาลมีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมารอบดวงตา กู้จิ่งเหยียนก้มหน้าลงทานโจ๊กในมือเพื่อปิดบังอาการของตน ไม่นานหลังจากที่เสียงฟ้าร้องดังอย่างต่อเนื่อง สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาสลับกับเสียงคืนครานที่ดังไม่หยุด ลู่หยวนซีทานโจ๊กในชามของตนจนหมด ก่อนจะนำไปล้างน้ำฝนที่หน้าทางเข้าถ้ำ เถาวัลย์ที่ปรกย้อยลงมาทำให้น้ำฝนไม่สามารถกระเด็นเข้ามาด้านในได้ ลู่หยวนซีเติมฟืนเข้าไปในกองไฟอีกครั้ง จากนั้นจึงเอาที่นอนของตนออกมาปูบ้าง กู้จิ่งเหยียนที่ก้มหน้าทานโจ๊กเงียบๆ แต่สายตาก็มองการกระทำของนางอยู่ตลอด เมื่อได้เห็นนางดึงเอาสิ่งของออกมาจากความว่างเปล่า เขาก็อดที่จะนึกทึ่งในความสามารถของนางขึ้นมาอีกมิได้ ร่างสูงวางชามเปล่าเอาไว้ด้านข้าง หลังจากที่ทานจนหมดแล้ว ลู่หยวนซีเองก็เห็นเช่นกันนางหยิบชามเปล่าของเขาไปล้างก่อนที่จะเก็บเข้าไปในช่องว่างอากาศอีกครั้ง จากนั้นจึงหยิบกระโถนประจำตัวของเขาออกมาวาง “คุณชายท่านอยากเข้าห้องน้ำหรือไม่”ลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







