LOGINลู่หยวนซีมองสตรีที่แต่งกายที่แตกต่างจากชาวแคว้นจิ้นและแคว้นจ้าว นางไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้มาจากที่ใดแต่ดูจากการแต่งกายน่าจะมาจากต่างแคว้นแน่นอนตั้งแต่ที่หญิงสาวก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เฮ่อเหวินจิ่งเหยียนก็มิได้มองหน้าหรือสบตาของนางอีกเลย แม้แต่คำถามของนางเขาก็ตอบกลับเพียงสั้นๆ ราวกับมิได้ใส่ใจ ตอนนี้เขาดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน“เราสองคนคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”สตรีนางนั้นตั้งแต่ต้นก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำเพียงจับมือของเฮ่อเหวินจิ่งเหยียนเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาท้าทายมาที่ลู่หยวนซี“มีสิ่งใดเจ้าสามารถพูดคุยกับข้าได้เลย ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเพราะนางเองก็กำลังจะกลายมาเป็นคนของข้าเช่นเดียวกับเจ้า”ลู่หยวนซีที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของชายหนุ่ม ความรู้สึกชาหนึบที่เกิดขึ้นในหัวใจของนางราวกับมีมือนับพันมาบีบเค้น ดวงตากลมโตสั่นไหวระริกนางไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนไปได้อีกนานแค่ไหนเวลานี้นางไม่รู้เลยว่าตนเองควรทำเช่นไรดี รู้สึกเพียงราวกับหัวใจกำลังถูกฉีกทึ้งออกเป็นสองส่วน นางพยายามคิดว่ามันจะเป็นเพียงการแสดงของเขาเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดท่านั้น ความรู้สึกที่ดั่งฟ้าด
หญิงสาวเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะดึงเอามีดผ่าตัดออก ร่างของเจ้านอนตัวนั้นก็หล่นลงไปที่พื้นดังตุบ เมื่อนางมองที่ส่วนปลายของอาวุธกลับพบว่ามันหายไป มันหายไปราวกับละลายมิใช่แตกหัก ลู่หยวนซีมองด้วยสายตามึนงงก่อนจะรู้สึกว่าร่างของเจ้าหนอนที่หล่นอยู่ที่พื้นกำลังขยับไปมา นางรีบกระโดดออกห่างก่อนสบถเสียงดังอย่างหัวเสีย“ตายยากเหลือเกินนะแก”ยังไม่ทันที่ลู่หยวนซีจะทันได้ปาอาวุธลับของตนไปที่เจ้าหนอนตัวนั้น ร่างอวบอ้วนสีขาวของมันก็แตกออกเป็นทางยาว พลันแสงสีขาวเล็กๆ เป็นเส้นขนาดสามชุ่น (สามนิ้ว) ก็พุ่งมาที่ข้อมือของนาง“เอ๊ะ!”ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนทำให้นางไม่สามารถตอบสนองได้ทัน เมื่อรู้ตัวอีกทีเจ้านั่นก็พันอยู่รอบข้อมือของนางเสียแล้ว ส่วนปากเล็กๆ ของมันที่มีลิ้นสองแฉกแลบออกมาก็อ้ากว้าง ก่อนจะงับเข้าที่นิ้วชี้ของนางอีกครั้งแม้ลู่หยวนซีจะเกลียดสัตว์ประเภทหนอน แต่งนางไม่กลัวงู ทั้งตัวนางยังสามารถกำจัดพิษด้วยระบบได้จึงไม่กลัวว่าตนเองจะต้องตายเพราะพิษ แต่ที่นางรู้สึกสงสัยคือเจ้างูน้อยสีขาวตัวนี้มันไปอยู่ในร่างของเจ้าหนอนน่าเกลียดนั่นได้อย่างไรหลังจากที่ดูดเลือดของหญิงสาวจนพอใจ เจ้างูน้อยก็ผงกหัวขึ้นมอง
“จะให้เจ้าไปส่งหรือข้าไปส่งย่อมเหมือนกัน รัชทายาทจ้าวหลี่เสวียนต้องเข้าใจอย่างแน่นอนเพราะข้าบอกเขาแล้วว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่ อีกอย่างเขายังฝากฝังให้เจ้าช่วยดูแลเจียงจื่ออิ๋งแทนเขาที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าเองก็รับปากแล้วมีเรื่องใดให้เจ้าต้องออกหน้ากัน เอาล่ะ เจ้าเลิกโมโหได้หรือไม่ โบราณว่าสตรีโมโหมากๆ จะท้องอืด”ลู่หยวนซีได้ยินดังนั้นนางก็ถลึงตากลมโตส่งค้อนไปยังชายหนุ่ม ที่เขาหาว่านางจะตดออกมาถ้านางโมโหมากๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยอมแพ้ที่จะเอาชนะ“ก็ได้ ก็ได้ ขี้หึงจริงเชียว ไม่รู้ว่าท่านจะต้องมาหึงหวงอันใด ก็เห็นๆ อยู่ว่าองค์รัชทายาทนั้นปักใจต่อเจียงจื่ออิ๋งแค่ไหน”ลู่หยวนซีดันตนเองออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม ก่อนหันหลังล้มตัวลงนอนโดยมิได้สนใจร่างสูงที่กำลังจ้องมองมายังแผ่นหลังอันบอบบางของตน“ข้ามิได้หึงหวงอันใด แต่เจ้าเป็นของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยว”เฮ่อเหวินจิ่งเหยียนเอ่ยขึ้นหลังจากที่ล้มตัวลงนอนด้านหลังของนาง ลู่หยวนซีได้ยินดังนั้นนางจึงพลิกกายหันเข้าหาเขาก่อนจะทำปากยื่นเอ่ยเหน็บแนมชายหนุ่มพลางพยักหน้าขึ้นลงซ้ำๆ“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว ท่านองค์ชายไหน้ำส้มเคล
จ้าวหลี่เสวียนดันนางให้ออกห่างจากตนเองเล็กน้อย ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาของนางด้วยความรู้สึกแน่วแน่และลึกซึ้ง“เจียงจื่ออิ๋งเจ้าฟังเราให้ดีนะ เรารักเจ้า มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่กล้ายอมรับมัน เป็นเราที่ผิดเองที่รู้ตัวช้าไป ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าหนีมาที่นี่ได้เช่นนี้”เจียงจื่ออิ๋งไม่คิดว่าตนจะได้ฟังคำนั้นถูกเปล่งออกมาจากปากของเขา นางไม่คิดว่าคนที่แสดงสีหน้ารังเกียจตนออกมาอย่างชัดเจนอย่างองค์รัชทายาทจ้าวหลี่เสวียน จะมีวันเอ่ยคำบอกรักต่อนางเช่นนี้“ท่าน...พูดจริงหรือเพคะ”ถึงแม้จะดีใจเพียงใด แต่คำพูดของลู่หยวนซีที่เคยเอ่ยกับนางก่อนออกเดินทางจากแคว้นจ้าวก็ยังคงฝังประทับอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจียงจื่ออิ๋งสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเพิ่มความกล้าที่จะเอ่ยออกมาและตัดสินใจตัดความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างเด็ดเดี่ยว“หม่อมฉันดีใจที่องค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนั้นออกมาเพคะ หม่อมฉันรู้สึกดีใจจริงๆ แต่เรื่องระหว่างเราสองคนมันไม่มีทางเป็นไปได้ ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนใจแล้วกลับไปเถิด”จ้าวหลี่เสวียนไม่คิดว่านางจะปฏิเสธตนเองเช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกมึนงงและส
แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อต้องการรับพระชายาเอกก็ทำให้เขาปวดหัวอยู่หลายวัน เพราะเจ้าตัวไม่ยอมไปเหยียบที่ตำหนักของพระชายารองอีกเลยหลังคืนเข้าหอ น้องสาวต่างมารดาของเขาหรือก็คือองค์หญิงเจ็ดจ้าวหว่านหรงจึงเอาแต่เข้ามารบกวนจนไม่สามารถปลีกตัวไปที่ใดได้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่านี่เป็นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นมิอาบังคับให้ทั้งสองมีใจต่อกันได้ ดังนั้นจึงไม่คิดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในตำหนักของผู้อื่น อีกอย่างจ้าวหว่านหรงเองก็เป็นคนที่เมิ่งฮองเฮาเสนอให้นางทำหน้าที่นี้เขารู้ดีว่านางทำเช่นนี้เพราะคิดจะเพื่อพูนอำนาจให้แก่องค์ชายแปด เพราะอย่างนั้นจึงไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ขององค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อและองค์หญิงเจ็ดทางด้านพระชายารองอย่างองค์หญิงจ้าวหว่านหรง เมื่อคิดว่าจะมีคนมาแย่งชิงอำนาจกับตนก็รู้สึกร้อนรนจนทนอยู่เฉยไม่ได้ และด้วยถูกเมิ่งฮองเฮาเลี้ยงมาอย่างตามใจ จึงไม่คิดหน้าคิดหลังว่าตนเองนั้นไร้อำนาจเมื่ออยู่ที่ต่างแคว้นนางอาละวาดและแสดงกิริยาหยาบคายต่อองค์รัชทายาทอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ถูกจำกัดบริเวณห้ามออกนอกตำหนักของตนจนกว่าจะได้รับอนุญาตเหล่าบ่
เฮ่อเหวินจิ่งเหยียนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเอ่ยเตือนสติ คนแข็งกระด้างอย่างเขามักจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองเสมอ เมื่อได้รู้สึกพิเศษกับใครบางคนก็มักจะแสดงออกมาเช่นนั้น อย่างที่เขาเคยรู้สึกกับลู่หยวนซี แค่คิดว่าพี่ชายเคยชอบสตรีของตนชายหนุ่มก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อยากจะเตะโด่งเขาออกไปไกลๆ เสียเลยตอนนี้ แต่ก็ทำมิได้เพราะอย่างน้อยเจ้านี่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร“เฮ่อเหวินเจ๋อท่านมิใช่เด็กน้อยควรรับผิดชอบในความรู้สึกของตน ในเมื่อท่านคิดว่าตนเองชอบนางเช่นนั้นก็จงกราบทูลต่อฮ่องเต้เถิด ทำให้ถูกต้องตามประเพณีอย่าได้ให้นางต้องอับอายหรือด้อยกว่าผู้อื่น” แม้ในยามปกติมักจะทำตัวเย็นชา แต่เมื่อเขามีเรื่องที่คิดไม่ตกน้องชายผู้นี้ก็มักจะเข้ามาช่วยเหลือเสมอ ร่างสูงยื่นนิ้วอันหยาบกร้านที่จับหอกจับดาบมานานแรมปี เกลี่ยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาวแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้าวออกไปจากศาลาเขาหันกลับมาประสานมือค้อมกายให้ผู้เป็นน้องชายเล็กน้อย “ขอบใจเจ้าที่เตือนสติ” หลังจากที่องค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อจากไป นางกำนัลสองสามคนก็เดินเข้ามายังศาลา จากนั้นจึงพาร่างของสตรีทั้งสองที่เมาหลับไปแล้ว กลับไปพักยังเรือนรับแ







