LOGINสิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไป
ลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตา แต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ กู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก “ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก” กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเหมือนจะเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด แต่ความจริงนางนั้นดื้อรั้นเสียยิ่งกว่าอะไร เป็นสตรียังมิทันได้ออกเรือนแต่กลับไปนั่งคุยอยู่กับบุรุษสองต่อสองเช่นนี้ นางไม่กลัวว่าผู้คนจะเอาไปนินทาว่าร้ายหรืออย่างไร กู้จิ่งเหยียนลืมไปว่าสถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือเรือนของเฮ่อเหวินเจ๋อ แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีผู้อื่นนอกจากคนของเขาแน่นอน แต่เพราะความหึงหวงทำให้เขาขาดความสุขุมและรอบคอบที่เคยมีไป เขานอนฟังเสียงของคนทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน แต่แล้วแผนการหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ถ้าหากเจ้าไม่ยอมจากไปเช่นนั้นข้าก็จะทำให้นางไม่ว่างไปคุยกับเจ้าเอง เสียงตุ๊บ! ดังขึ้นภายในห้องทำให้คนทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน เฮ่อเหวินเจ๋อยังไม่ทันได้ขยับตัวหรือเอ่ยสิ่งใด ร่างเล็กของลู่หยวนซีก็พุ่งเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็วราวกับมีดบิน นางถีบประตูเข้าไปอย่างแรงก่อนจะมองเห็นร่างของกู้จิ่งเหยียนนอนอยู่บนพื้น นางรีบเขาไปพยุงเขาด้วยท่าทางเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะคุณชาย เหตุใดไม่เรียกใช้ข้า ลงมาจากเตียงเองเช่นนี้มันอันตรายมากรู้หรือไม่” ลู่หยวนซีพยุงกู้จิ่งเหยียนกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง ร่างสูงแอบยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ สุดท้ายนางก็เห็นเขาเป็นที่หนึ่งเสมอ ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดหรืออยู่กับใครก็ตาม นางก็จะรีบมาหาเขาทุกครั้งเมื่อเขาต้องการนาง เฮ่อเหวินเจ๋อที่ตามเข้ามาทีหลังทันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และด้วยดวงตาที่เฉียบคมของคนที่ฝึกวรยุทธมานานทำให้เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มของกู้จิ่งเหยียนด้วยเช่นกัน ร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังขมวดคิ้วอย่างสงสัยในรอยยิ้มนั้น แต่เพราะคุณชายรูปงามผู้ตกยากตรงหน้าทั้งเดินไม่ได้และดวงตามองไม่เห็น ทำให้เขาละทิ้งความสงสัยนั้นไป “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” ลู่หยวนซีหันไปมองบุรุษที่พึ่งเดินตามเข้ามา ก่อนที่จะส่ายหน้าพร้อมกับกระซิบกับเฮ่อเหวินเจ๋อเสียงเบา “ท่านกลับไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าต้องดูแลคุณชายของข้าก่อน เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่ต้องอยู่ต่อหน้าผู้อื่น” เฮ่อเหวินเจ๋อหันไปมองกู้จิ่งเหยียนเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับจากนั้นจึงก้าวออกจากห้องไป ทิ้งให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง “ข้าไม่ชอบเขา ต่อไปเจ้าเองก็อยู่ให้ห่างจากเขาด้วยเหมือนกัน” คำแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยกับนางหลังจากที่แสดงท่าทีมึนตึงมาทั้งวัน ลู่หยวนซีเข้าใจในอารมณ์แปรปรวนของคนป่วยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายของนางถึงได้ไม่ชอบคุณชายเฮ่อเหวิน ทั้งที่เขาพึ่งจะช่วยชีวิตพวกตนเอาไว้ “คุณชาย ท่านช่วยบอกเหตุผลกับข้าได้หรือไม่เจ้าคะว่าเพราะเหตุใด” กู้จิ่งเหยียนอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบคำถามของนาง “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าพวกเขาน่าสงสัยมากเพียงใด เจ้าคิดว่าคนธรรมดาจะสามารถฆ่าคนได้ในดาบเดียวอย่างนั้นหรือ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขานั้นมีแต่เพียงการฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือด ถ้าหากไม่อยากเดือดร้อนเจ้าก็อยู่ให้ห่างจากคนประเภทนี้ซะ ถึงข้าจะตาบอดแต่มิได้หูหนวกและหูของข้าก็ดีกว่าคนทั่วไปนัก ถึงจะแอบฟังอยู่ข้างนอกข้าก็ได้ยิน” กู้จิ่งเหยียนเอ่ยเสียงไม่เบานักเพื่อให้คนที่อยู่นอกห้องรู้ตัว เฮ่อเหวินเจ๋อที่ยังไม่ทันได้จากไปก็แอบสะดุ้งเล็กน้อย เขาประมาทคุณชายรูปงามผู้นี้มากเกินไปเพราะเห็นว่าเขาเป็นเพียงคนพิการเท่านั้น บางทีเขาอาจสัมผัสบางอย่างจากพวกตนได้ ถึงได้แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกมา “ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะคุณชาย” ลู่หยวนซีที่ไม่รู้ว่ายังมีอีกคนที่แอบหลบอยู่ด้านนอกเรือน นางมองไปยังกู้จิ่งเหยียนอย่างไม่เข้าใจ “ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าต่อไปเจ้าทำตามที่ข้าสั่งก็พอ” กู้จิ่งหยียนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจับมือของลู่หยวนซีเอาไว้ นางมองไปยังร่างสูงด้วยความอ่อนใจ ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีก็แอบมีมุมที่คล้ายเด็กน้อยเหมือนกัน แม้เขาจะมิได้เอ่ยออกมาแต่นางก็เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ลู่หยวนซีนั่งลงข้างเตียงก่อนที่จะเล่านิทานให้เขาฟัง ผ่านไปนาน นางเองก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มาหลายวัน ท่าทางนั่งสัปหงกของนางเรียกสายตาเอ็นดูจากคนที่นอนอยู่บนเตียง กู้จิ่งเหยียนปล่อยมือของนางก่อนประคองร่างเล็กให้นอนลงด้านข้างตน จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เข้าสู่นิทรารมณ์ไปพร้อมกัน สองเดือนที่ลู่หยวนซีและกู้จิ่งเหยียนได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่เรือนของเฮ่อเหวินเจ๋อ นางฟังคำเตือนของคุณชายที่บอกให้อยู่ห่างๆ จากพวกเขา แต่บางครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องพบปะพูดคุยได้ เพราะถึงอย่างไรเฮ่อเหวินเจ๋อก็เป็นเจ้าของเรือน และเป็นสองเดือนที่นางไม่ได้ยินเสียงของระบบอีกเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางรู้สึกหวั่นใจว่าตนเองอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป หากไม่หาทางทำอะไรสักอย่าง ร่างบางนั่งหันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยท่าทางเหม่อลอย เสียงถอนหายใจของนางดังลอดออกมาเป็นระยะ ทำให้กู้จิ่งเหยียนผู้ที่ตัวติดกับนางตลอดเวลารู้สึกว่าช่วงนี้เหมือนนางกำลังมีเรื่องหนักใจอะไรบางอย่าง แต่นางมิได้เล่ามันออกมาให้เขาฟัง “เจ้ามีเรื่องหนักใจอะไรอย่างนั้นหรือ” ร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถเข็นที่ลู่หยวนซีขอร้องให้เฮ่อเหวินเจ๋อหาช่างมาสร้างเป็นการเฉพาะเมื่อเดือนก่อน เข็นล้อตรงมาทางร่างเล็กที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ลู่หยวนซีหันกลับไปมองคุณชายของตนเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกเดินมาทางเขา “เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอะไร คุณชายรู้สึกคุ้นชินกับรถเข็นนี้หรือยังเจ้าคะ รออีกหน่อยข้าจะพาท่านออกไปข้างนอก จะได้ไม่ต้องเอาแต่อุดอู้อยู่แค่ภายในเรือน”ลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







