LOGINลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง
“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ” ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง “ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่” กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง “ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ” ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็กน้อย นางก็อุทานออกมาเสียงดัง “ตายแล้ว!! นี่มันบ่ายแล้วนี่นา คุณชายยังไม่ได้ทานอะไรเลย รอสักครู่นะเจ้าคะข้าจะรีบเข้าครัวเดี๋ยวนี้” ร่างเล็กรีบกระวีกระวาดเดินออกนอกเรือนไปทางด้านหลังที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะเพื่อพวกเขาสองคน ต้องขอบคุณเฮ่อเหวินเจ๋อที่ทำตามคำขอร้องของนางทุกอย่าง ลู่หยวนซีจึงไม่ต้องใช้ห้องครัวร่วมกับบ่าวในเรือนหลังนั้น กู้จิ่งเหยียนมองตามร่างเล็กของนางไป มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น เขารู้สึกอารมณ์ดีทุกครั้งที่นางนึกถึงเขาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเพียงใดนางก็จะทำเหมือนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การที่ได้รับความสำคัญมันเป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ลู่หยวนซีออกจากห้องไปเพียงไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูยุ่งยากเล็กน้อย กู้จิ่งเหยียนที่แสร้งมองไม่เห็นแต่ก็เอ่ยถามนางออกไปอย่างหยอกเย้า “อาหารเที่ยงเสร็จเร็วเพียงนี้เชียว ดูเหมือนฝีมือของเจ้าจะยอดเยี่ยมขึ้นทุกวันแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักจากกู้จิ่งเหยียนลู่หยวนซีก็ถึงกับอึ้งไป นางไม่คิดว่าคุณชายผู้เอาแต่ใจจะเอ่ยหยอกล้อนางเหมือนเช่นคนปกติ ทำเอานางถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก ยังดีที่เขามองไม่เห็นไม่อย่างนั้นคงต้องหัวเราะท่าทางของนางเป็นแน่ “มิใช่เจ้าค่ะ ข้าลืมไปเลยว่ายังมิได้ซื้ออาหารมาเตรียมเอาไว้ ทั้งที่ใช้วัตถุดิบทุกอย่างหมดไปตั้งแต่เมื่อเช้า เป็นความผิดของข้าเอง” ลู่หยวนซีก้มหน้าสำนึกผิด ท่าทางของนางทำเอากู้จิ่งเหยียนมองแล้วรู้สึกใจเหลวเป็นน้ำ เขาไม่คิดที่จะตำหนินางแม้สักนิดแต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะเสียใจไม่น้อยที่ตนเองทำพลาด “ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่ได้ซื้อก็ออกไปซื้อเถอะ ข้าก็ยังมิได้หิวขนาดนั้น รออีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร” ร่างสูงเอ่ยปลอบนางเล็กน้อย ก่อนเข็นรถเข็นหันไปทางหน้าต่างเพื่อมิให้นางสังเกตเห็นท่าทางที่พยายามกลั้นหัวเราะของเขา ลู่หยวนซีเงยหน้าขึ้นก่อนพยักหน้ารับ จากนั้นจึงพุ่งออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางหิ้วตะกร้าสะพายหลังเดินออกจากจวนของเฮ่อ เหวินเจ๋อไปด้วยท่าทางรีบร้อน นางมาอยู่ในอำเภอถงอันได้เกือบสามเดือนแล้ว จึงทำให้คุ้นชินกับเส้นทางเป็นอย่างมากโดยมิต้องมีผู้นำทาง จวนของเฮ่อเหวินเจ๋อตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกรอบนอกเกือบสุดกำแพงเมือง ค่อนข้างไกลจากตลาดทำให้เวลาที่ต้องไปซื้อของลู่หยวนซีจำต้องหาทางลัดเพื่อย่นระยะเวลา แม้เฮ่อเหวินเจ๋อจะบอกให้นางใช้รถม้าได้ตามสบาย แต่ลู่หยวนซีก็ไม่คิดรบกวนพวกเขาไปมากกว่านี้ เหตุผลก็เพราะนางและกู้จิ่งเหยียนมาอาศัยอยู่ที่เรือนของพวกเฮ่อเหวินเจ๋อโดยมิได้จ่ายค่าเช่านั่นก็ทำให้นางรู้สึกเกรงใจเขามากพออยู่แล้ว อีกอย่างคือคุณชายผู้เอาแต่ใจไม่ชอบให้นางเข้าไปพัวพันหรือสนิทกับเขามากเกินไป ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย นางเดินไปดีกว่าจะได้คุ้นชินเส้นทางในเมืองด้วย เผื่อว่าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจะได้มีทางหนีทีไล่เอาไว้เพื่อช่วยเหลือตนเอง ร่างบางเดินเข้าในซอยเล็กแห่งหนึ่งด้วยท่าทางรีบร้อน แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่การก้าวเดินของนางกลับรวดเร็วและแผ่วเบาราวกับนางกำลังจะโบยบินขึ้นฟ้า แต่แล้วเมื่อลู่หยวนซีที่กำลังรีบอยู่นั้นกลับต้องชะงักไป เพราะเสียงพูดคุยดังแว่วออกมาจากเรือนหลังหนึ่ง นางหยุดยืนเพื่อฟังเสียงนั้นเล็กน้อย ก่อนที่ประตูด้านหลังเรือนจะเปิดออก ชายชราผมขาวแซมดำที่ลู่หยวนซีคุ้นหน้าเดินออกมาพร้อมกับผู้ช่วยของเขา นางเห็นดังนั้นจึงได้เอ่ยทักขึ้น “ท่านหมอ บังเอิญเสียจริงท่านมารักษาใครที่นี่อย่างนั้นหรือ” ลู่หยวนซีมองเข้าไปด้านในด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยที่ลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังจะรีบไปไหน หมอชราที่ได้ยินเสียงทักขึ้นเขาก็เงยหน้ามอง เมื่อเห็นว่าเป็นสตรีน้อยนางนั้นเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “แม่นางเจ้านั่นเอง ข้ากำลังกังวลอยู่พอดีเลยว่าจะไปตามหาเจ้าได้ที่ไหน เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วได้โปรดช่วยเหลือข้าสักเรื่องเถิด” ลู่หยวนซีเลิกคิ้วมองหมอชราด้วยความสงสัย ท่านหมอผู้นี้ต้องการให้นางช่วยเหลือสิ่งใดกันแน่ ร่างบางถูกพาเข้าไปทางประตูหลังของเรือนหลังนั้นที่หมอชราพึ่งจะกลับออกมา ที่นั่นมีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกำลังเดินวนไปวนมาด้วยท่าทางเป็นกังวล ลู่หยวนซีเห็นหมอชราพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนเหล่านั้นเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ จากนั้นสายตาทุกคู่ก็มองตรงมาที่นางเป็นจุดเดียว “แม่นาง ภายในห้องนั้นมีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่ .....กระบี่ที่ปักอยู่ที่หน้าอกของเขาเฉียดใกล้หัวใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากดึงอย่างไม่ถูกวิธีรับรองว่าเขาไม่มีทางรอดเป็นแน่” หมอชราเอ่ยออกมาเสียงเบาในตอนท้าย ลู่หยวนซีมีท่าทีลังเลเล็กน้อย นางไม่สามารถเปิดเผยความลับความสามารถของตนเองได้ เรื่องรักษาคนเจ็บนางไม่กังวล แต่ดูท่าทางคนพวกนี้คงไม่ปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับคนเจ็บเป็นแน่ ช่างเถอะเรื่องนี้ไม่ใช่นางที่เป็นคนตัดสินใจเสียหน่อย หากพวกเขาไม่ยินยอมเช่นนั้นนางก็แค่...... แย่แล้วนางกำลังจะไปซื้อของมาทำอาหารให้คุณชายนี่นา ท่าทางร้อนรนที่ลู่หยวนซีแสดงออก ทำให้ท่านหมอถามนางด้วยความสงสัย “แม่นาง มีอะไรอย่างนั้นหรือ” “ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าระหว่างที่ข้ารักษาคนเจ็บ ห้ามมีผู้ใดรบกวนเด็ดขาด หากไม่ยินยอมเช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน เพราะคุณชายของข้ากำลังรอทานอาหารอยู่” ลู่หยวนซีลองถามหยั่งเชิงคนเหล่านั้น ก่อนที่จับสังเกตสีหน้าของแต่ละคน “นี่!!! เจ้าเห็นการทานอาหารของคุณชายของเจ้าสำคัญกว่าการรักษาฝ่า...เอ่อนายท่านของเราอย่างนั้นหรือ”ลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







