LOGINลู่หยวนซีหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่นางก็เห็นว่าหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ร่างบางเอ่ยกับเขาอย่างใจเย็น เพราะคิดว่าเขาเองก็คงมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้
“ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นค่าของชีวิตตน แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้ามิได้คิดเช่นนั้น คุณชายข้าบังอาจขอร้องท่านสักเรื่องได้หรือไม่ ไม่ว่าท่านจะประสบกับเรื่องที่หนักหนาเพียงใด ขอให้ท่านอย่าได้ทำร้ายตนเองเช่นนี้อีก ต่อให้ท่านโมโห ท่านโกรธแค้น หรือไม่พอใจสิ่งใด ขอให้มาลงที่ข้า ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย แต่เรื่องทุกอย่างของท่าน ขอให้ข้าเป็นคนแบกรับเอาไว้เองได้หรือไม่” ลู่หยวนซีจับมือผอมแห้งที่ขาวซีดของกู้จิ่งเหยียนมากุมเอาไว้ จากนั้นจึงตบลงไปเบาๆ เพื่อให้กำลังใจแก่เขา นางไม่รู้ว่าคำพูดของนางจะซึมลึกเข้าไปในจิตใจของเขาได้หรือไม่ หรือต่อให้เขาตั้งกำแพงกับนางสูงเสียดฟ้านางก็ไม่สน ขอเพียงเขาไม่ทำร้ายตนเองในยามที่นางไม่อยู่เท่านั้นเป็นพอ เพราะถ้าเขาตายตัวนางเองก็คงไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมของตนได้ แล้วสัญญาที่นางเคยให้ไว้กับผอ.ฟางว่าจะสร้างบ้านเด็กกำพร้าฉือชุนขึ้นมาใหม่ คงจะกลายเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น แม้กู้จิ่งเหยียนจะไม่ได้ตอบกลับนาง แต่ลู่หยวนซีก็ไม่ยอมแพ้ นางให้ระบบหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยติดเตียงมาอ่าน ก่อนจะพยายามทำความเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงคิดฆ่าตัวตาย หลายวันหลังจากที่เกิดเรื่อง ลู่หยวนซีก็ไม่ยอมออกจากเรือนไปไหน วันทั้งวันนางนั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างกาย บางครั้งก็พาเขาออกไปนั่งรับแสงแดดหน้าเรือน หรือไม่ก็เล่านิทานจากโลกของนางให้เขาฟัง เรื่องซุนหงอคงถล่มสวรรค์ เป็นเรื่องที่เขาดูจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือไม่ก็เรื่องราวเกี่ยวกับหนังละครที่นางเคยได้ดู แค่นำมาแปลงสักหน่อยนางก็สามารถมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้เขาฟังแล้ว กูจิ่งเหยียนที่มองเผินๆ เหมือนจะมิได้สนใจในนิทานของนาง แต่ลู่หยวนซีมองออกว่าเขากำลังฟังอย่างตั้งใจ ที่นางรู้ก็เพราะเคยดูแลเด็กใหม่ที่เข้ากับเด็กคนอื่นๆ ในบ้านเด็กกำพร้าไม่ได้ พวกเขาจะเก็บตัวและแสดงอาการต่อต้านออกมา แต่ถ้าพยายามเข้าใจสักหน่อยจะเห็นว่าเด็กเหล่านั้นเองก็อยากมีเพื่อน เพียงแค่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดีเท่านั้น ปฏิกิริยาเพียงเท่านี้ของเขา ก็ทำให้นางรู้สึกมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมากโข ลู่หยวนซีแอบสัญญากับตนเองเอาไว้ว่า กำแพงที่เขาตั้งเอาไว้ป้องกันตนเองนางจะทุบมันให้แตกละเอียดเลยคอยดู และจากนี้นางหวังว่าเขาจะไม่คิดกลับไปทำร้ายตนเองอีก นานนับเดือนที่ลู่หยวนซีพยายามหาทางทลายกำแพงของกู้จิ่งเหยียน และเป็นช่วงเวลาที่นางพยายามหาทางรักษาร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน ลู่หยวนซีที่กำลังตากผ้าอยู่หลังเรือนหวนนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่ตนอ่านจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน เนื้อเรื่องตอนต้นของนิยายเขียนเอาไว้ว่า พระเอกกู้เยี่ยนชิงถูกพิษพร้อมกับน้องชายต่างมารดาอย่างกู้จิ่งเหยียนที่เป็นตัวร้ายอย่างไม่รู้ที่มา ยาแก้พิษมีเพียงหนึ่งเม็ดและพ่อแท้ๆ เลือกที่จะช่วยชีวิตพี่ชายที่เกิดจากฮูหยินเอกและปล่อยให้ลูกชายอีกคนต้องตาย “ให้เลือกแบบนี้ก็เลือกยากเหมือนกันแฮะ ทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกแท้ๆ หากใช้แค่ความรู้สึกก็คงเลือกไม่ได้ แต่ถ้าใช้ภาระหน้าที่ตำแหน่งหรือความสำคัญเป็นตัวชี้วัดในการเลือก กู้เยี่ยนชิงนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ในนิยายเรื่องนี้เขียนทำนองว่าบิดาต้องการเลือกให้ใครคนใดคนหนึ่งตาย ไม่ใช่เลือกให้ใครมีชีวิตอยู่ต่อแต่ก็นะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับปลายปากกาของนักเขียน ถ้าหากเขียนให้กู้จิ่งเหยียนรอดตายเขาก็คงจะกลายเป็นพระเอกที่ได้คู่กับนางเอกกระมัง” ลู่หยวนซีหันกลับไปมองห้องนอนที่ทั้งสองใช้นอนร่วมกันเมื่อหลายวันก่อน ราวกับว่ามองไปแล้วจะทำให้สามารถมองเห็นคนที่กำลังนอนหลับอยู่ภายในห้องได้อย่างไรอย่างนั้น นางละสายตาจากห้องนั้นพลางสะบัดน้ำออกจากผ้าสองสามทีก่อนยกขึ้นตากบนราว ภายในใจก็ยังคงทบทวนเรื่องราวของนิยายไปด้วย เจียงจื่ออิ๋ง นางเอกของนิยาย ชาติก่อนตายไปเพราะตัวร้ายพาชีวิตดิ่งลงเหวหลังจากที่การก่อกบฏขององค์ชายแปดล้มเหลว พอได้เกิดใหม่จึงเลือกที่จะแต่งให้กู้เยี่ยนชิงผู้เป็นพี่ชาย เพราะชาติก่อนคิดว่าน้องชายโดดเด่นมีความสามารถมากกว่าจึงได้ไม่ลังเลที่จะแต่งให้เขา แต่พอได้เกิดใหม่อีกครั้งคิดว่าครั้งก่อนตนเลือกสามีผิด จึงหันมาเลือกกู้เยี่ยนชิงแทนและยุยงให้ผู้นำตระกูลกู้มอบยาแก้พิษให้กับพี่ชายและทอดทิ้งอดีตสามีในชาติก่อนของตน แปลว่าเนื้อเรื่องหลักในชาตินี้ยังคงดำเนินต่อไปเพราะองค์ชายแปดยังไม่ได้ก่อกบฏ กู้เยี่ยนชิงที่อยู่ทางฝั่งองค์รัชทายาทยังต้องช่วยให้เขาขึ้นนั่งบนบัลลังก์ เดิมทีกู้จิ่งเหยียนเป็นคนขององค์ชายแปด แต่ครั้งนี้หลังจากที่เขาถูกพิษกลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ จึงได้ถูกองค์ชายแปดเขี่ยทิ้ง ทำไมเนื้อเรื่องในนิยายรอบนี้เขาถูกพิษก่อนที่จะแต่งงาน แต่ตอนนี้ก็ผ่านไปสองปีแล้ว เนื้อเรื่องหลักก็คงไม่ได้เอ่ยถึงกู้จิ่งเหยียนอีกหลังจากที่ถูกส่งตัวมายังหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งนี้ แปลว่าคนเขียนได้ตัดจบเรื่องของกู้จิ่งเหยียนไปแล้ว แบบนี้ก็ดี นางคงจะวางใจได้เล็กน้อย ช่วงนี้ก็พยายามบำรุงร่างกายของเขาให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมก่อน จากนั้นก็หาวัตถุดิบสมุนไพรมาช่วยรักษาพิษให้เขาแล้วเราทั้งสองก็จากกันด้วยดี จากนี้เขาจะรนหาที่ตายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ลู่หยวนซีคิดอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่ทำงานบ้านเสร็จแล้วนางก็ย้อนกลับมาดูว่าคุณชายผู้เอาแต่ใจกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเขากำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสงบ ลู่หยวนซีก้มหน้าลงไปใกล้กู้จิ่งเหยียนเพื่อมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ไม่ว่าจะมองเท่าใดก็ไม่รู้สึกเบื่อเสียที ก่อนที่ลำแขนเรียวจะเกี่ยวเข้าที่ลำตัวของนางทำให้ลู่หยวนซีเสียหลักล้มคะมำไปด้านหน้า ร่างของนางโถมทับลงไปบนตัวเขาทั้งตัว ทำให้นางตกใจจนร้องออกมาเสียงหลง “ว๊าย!!คุณชายท่านทำอะไรเจ้าคะ ข้าเอง” ลู่หยวนซีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เพราะนางเองก็ไม่ทันตั้งตัวเช่นกันที่ถูกเขากระทำเช่นนั้น แม้ว่าร่างนี้จะค่อนข้างผอมแต่เมื่อเทียบกับลำตัวของกู้จิ่งเหยียนแล้ว ตัวนางในตอนนี้ก็ถือว่าหนักไม่น้อย “ข้าทำให้ท่านตกใจตื่นอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” เกือบเดือนที่ทั้งสองอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นลู่หยวนซีที่เป็นฝ่ายพูดเสียมากกว่า แต่กู้จิ่งเหยียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านนางอย่างครั้งแรกที่มาที่นี่ เวลานี้เหตุใดเขาถึงได้แสดงท่าทีคล้ายกำลังจับโจรเช่นนั้นเล่า “ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าทับอยู่บนตัวท่านเช่นนี้ อาจทำให้ท่านบาดเจ็บได้นะเจ้าคะ” ลู่หยวนซีเอ่ยออกมาเสียงเบา เมื่อไม่เห็นอาการตอบสนองมาจากร่างที่นอนอยู่บนเตียง กลิ่นหอมที่ยังคงติดตรงอยู่ที่ปลายจมูกทำให้กู้จิ่งเหยียนเหม่อลอยไปเล็กน้อยก่อนสติของเขาจะกลับคืนมาอีกครั้ง เขายกแขนออกจากเอวบางของนางโดยมิได้ปริปากพูดสิ่งใด ลู่หยวนซีเองก็เดาไม่ออกเช่นกันว่าภายในใจของเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ถึงได้ทำเช่นนั้นลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







