บทที่ 31
ออกรบ
บรรยากาศในค่ายที่เคยคึกคักเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อรองแม่ทัพซุนก้าวเข้ามาในกระโจมบัญชาการ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม บ่งบอกถึงเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรายงาน
“ท่านแม่ทัพ ข้าศึกส่งคนเข้ามาสอดแนมในค่ายของเรา ตอนนี้พวกเราจับตัวมันได้แล้ว ข้ารอคำสั่งท่านว่าจะให้จัดการอย่างไร”
เซียวป๋อเหวินวางพู่กันลงจากมือ ดวงตาสงบนิ่งแต่ลึกลงไปภายในแฝงความเด็ดขาด “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง สะบัดชายเสื้อแล้วเดินตามรองแม่ทัพซุนออกจากกระโจมไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นของเขาก้องสะท้อนเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เหล่าทหารที่พบเห็นต่างหลีกทางให้ด้วยความเคารพ
เมื่อมาถึงลานประหารกลางค่าย สายตาของเซียวป๋อเหวินจับจ้องไปที่ชายสองคนที่ถูกมัดไว้กับเสา แขนและขาของพวกมันเต็มไปด้วยรอยแผลจากการถูกซ้อมแต่ใบหน้ากลับแข็งกร้าว ไม่มีแววหวาดกลัวหรือยอมจำนน
เขาก้าวเข้าไปใกล้ พลางถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด”
หนึ่งในสายลับแสยะยิ้มมุมปาก แม้ใบหน้าจะบวมช้ำจากการถูกซักถามก่อนหน้านี้
“จะฆ่าก็ฆ่าเสีย อย่าพูดให้มากความ เจ้าคิดหรือว่าจะทำให้พวกข้าพูดได้” หนึ่งในนั้นตอบ
เซียวป๋อเหวินเพียงหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความอำมหิต “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าเลือกจะตายโดยไม่ปริปาก ข้าก็จะมอบความตายให้”
เขาพยักหน้าให้ทหารสองนายที่ยืนอยู่ข้างหลัง ชายทั้งสองถูกดึงขึ้นมาคุกเข่า ณ ใจกลางลาน ก่อนที่เพชฌฆาตจะก้าวเข้ามา มือของเขากำดาบคมกริบเอาไว้แน่น
เสียงกระซิบดังขึ้นจากกลุ่มทหารที่ยืนล้อมรอบ ไม่มีใครสงสารศัตรู ไม่มีใครแสดงความเห็นใจต่อสายลับที่แฝงตัวเข้ามา เพราะทุกคนรู้ดีว่าหากพวกมันหนีรอดออกไปได้ค่ายของพวกเขาอาจตกอยู่ในอันตราย
เซียวป๋อเหวินยกมือขึ้นส่งสัญญาณ เพชฌฆาตยกดาบขึ้นสูงเหนือศีรษะ แล้วในพริบตาเดียวดาบก็ฟันฉับลงมา
ศีรษะทั้งสองกลิ้งหล่นลงพื้น เลือดสีแดงสดกระเซ็นเปื้อนพื้นดิน กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ แต่แทนที่จะสร้างความหวาดหวั่นกลับเป็นการส่งสารที่ชัดเจน
เซียวป๋อเหวินปรายตามองร่างไร้หัวของพวกมันก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “เสียบหัวพวกมันไว้ที่เสาเรือ ส่งมันกลับไปให้ข้าศึกเห็นว่าพวกเรารู้ทันและไม่มีวันยอมให้พวกมันลอบโจมตีพวกเราได้ง่าย ๆ”
เหล่าทหารรับคำสั่ง ก่อนจะนำร่างไร้วิญญาณออกไป
คืนนั้นพื้นที่รอบค่ายเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เมื่อเรือลำหนึ่งแล่นออกไปสู่แม่น้ำใหญ่ บนหัวเสาของเรือปรากฏศีรษะของสายลับที่ถูกจับได้ถูกเสียบประจานให้ข้าศึกได้เห็น
เป็นคำเตือนที่โหดเหี้ยม เป็นประกาศิตของเซียวป๋อเหวินว่าผู้ใดก็ตามที่คิดหักหลังหรือสอดแนม พวกมันจะไม่มีวันได้กลับไปเล่าเรื่องให้ใครฟังอีกต่อไป
และแล้วก็มาถึงวันที่เซียวป๋อเหวินจะต้องออกรบ กลางแม่น้ำกว้างใหญ่ คลื่นน้ำกระเพื่อมไหวสะท้อนประกายแสงตะวันยามเช้า กองเรือรบทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในระยะประชิด เสียงกลองศึกดังก้องไปทั่วผืนน้ำ ประกาศการเปิดฉากรบอย่างเป็นทางการ
เสียงปะทะของเรือรบดังกึกก้อง ลูกธนูมากมายพุ่งออกจากเรือฝ่ายศัตรูดั่งพายุฝน ห่าธนูสีดำทะมึนแหวกอากาศ พุ่งเข้ามายังเรือของกองทัพเซียวป๋อเหวิน ทหารจำนวนมากยกโล่ขึ้นป้องกัน ขณะที่มือธนูของพวกเขาตอบโต้กลับอย่างไม่ลดละ
“ยกโล่ขึ้น!” เสียงตะโกนสั่งดังขึ้นจากนายกอง ทหารที่อยู่แถวหน้ารีบตั้งแนวป้องกัน ขณะที่ทหารอีกส่วนใช้หอกยาวและตะขอเกี่ยวเรือศัตรู พยายามดึงเรือเข้ามาใกล้เพื่อเปิดทางให้กองทัพสามารถบุกขึ้นไปได้
เซียวป๋อเหวินยืนมั่นอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสมรภูมิรบ ท่ามกลางเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงโห่ร้องของทหาร เขาถือดาบเอาไว้แน่น ก่อนจะกระโจนข้ามไปยังเรือข้าศึกอย่างไม่ลังเล ตามมาด้วยกองทหารที่ภักดีต่อเขา
การต่อสู้บนเรือเป็นไปอย่างดุเดือด ดาบปะทะดาบ เลือดสาดกระเซ็นทั่วดาดฟ้าเรือ ร่างของทหารล้มลงสู่แม่น้ำที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
ทว่าในขณะที่ศึกดำเนินไปอย่างเข้มข้น ศัตรูฝ่ายตรงข้ามกลับมีมือธนูฝีมือฉกาจประจำการอยู่บนเสากระโดงเรือ มือธนูผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหนึ่งในมือธนูที่ขึ้นชื่อของเฮยจั้ง เขาซุ่มอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะมองเห็น และเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เซียวป๋อเหวิน รอคอยโอกาสที่จะปลิดชีพแม่ทัพหนุ่ม
ฟิ้ว! ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่างของเซียวป๋อเหวิน ลูกธนูปักเข้าที่ตำแหน่งใกล้หัวใจ เขาชะงัก ร่างกายเสียสมดุลเล็กน้อย เลือดสีแดงเข้มซึมออกจากบาดแผล ทว่าเขายังคงกัดฟันแน่น พยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลง
“ท่านแม่ทัพ!” เสียงของทหารฝ่ายตนดังขึ้นด้วยความตกใจ พวกเขาตะโกนเรียกชื่อเขา ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีเวลาสำหรับความลังเล
เซียวป๋อเหวินพยายามยืนหยัด มือยังกำกระบี่แน่น เขายังไม่สามารถล้มลงได้ในเวลานี้
“ถอยทัพ” เขาออกคำสั่งเสียงเข้ม แม้จะบาดเจ็บสาหัสทว่าจิตใจของเขายังคงแข็งแกร่ง
ทหารฝ่ายของเขารีบช่วยกันพยุงร่างของแม่ทัพกลับไปยังเรือหลัก ขณะที่เรือรบเริ่มถอนตัวออกจากสมรภูมิ เลี่ยงการเสียกำลังพลมากกว่านี้
เมื่อกลับถึงค่ายทหารก็รีบพาร่างของเซียวป๋อเหวินเข้าไปในกระโจมรักษา เลือดของเขาไหลซึมออกจากบาดแผลเป็นทางยาว สีหน้าซีดเผือด หายใจติดขัดอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าหมอในค่ายต่างมารวมตัวกัน ทว่าทุกคนต่างลังเลที่จะลงมือ ไม่มีผู้ใดกล้าดึงลูกธนูออกมา เพราะตำแหน่งที่ถูกยิงนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ใกล้หัวใจเพียงนิดเดียว หากพลาดไปเพียงเสี้ยวเดียวอาจทำให้แม่ทัพสิ้นชีพในทันที
รองแม่ทัพซุนยืนกำหมัดแน่นด้วยความเครียด ดวงตาของเขาฉายแววร้อนรน
“ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาท่านแม่ทัพได้เลยหรือ” เขาตะโกนถามเสียงดัง
หมอคนหนึ่งก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “บาดแผลนี้ต้องใช้หมอที่มีฝีมือมาก หากพลาดไปเพียงนิดเดียวหัวใจของท่านแม่ทัพอาจได้รับความเสียหายขอรับ”
รองแม่ทัพซุนกัดฟันแน่น ก่อนจะหันไปสั่งการทหารที่ยืนรอรับคำสั่ง “ส่งสารไปยังวังหลวง ขอพระราชทานหมอหลวงโดยด่วน”
ทหารรับคำสั่งก่อนจะรีบควบม้าออกจากค่ายไปด้วยความเร็วสูง หวังว่าสารนี้จะถึงมือฮ่องเต้โดยเร็วที่สุด
ด้วยศักดิ์ฐานะของเซียวป๋อเหวินที่เป็นถึงบุตรชายคนเล็กของชินอ๋องทำให้การขอพระราชทานหมอหลวงสามารถทำได้โดยไม่ติดขัดอะไร ดังนั้นรองแม่ทัพซุนจึงมั่นใจว่าอย่างไรฮ่องเต้จะต้องส่งหมอหลวงมาอย่างแน่นอน แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่ากว่าหมอหลวงจะเดินทางมาถึงเมืองเสวี่ยคังนั้นเซียวป๋อเหวินจะสามารถทนได้นานสักเพียงใด
เซียวป๋อเหวินนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในกระโจมใหญ่ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง เหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทว่าดวงตาของเขายังไม่ปิดลง
เขายังต้องมีชีวิตอยู่
เขาไม่อาจล้มลง ณ ที่แห่งนี้
เขายังมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ยังมีศึกที่ต้องนำพาทหารไปคว้าชัยให้ได้
บทที่ 31 ออกรบ บรรยากาศในค่ายที่เคยคึกคักเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อรองแม่ทัพซุนก้าวเข้ามาในกระโจมบัญชาการ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม บ่งบอกถึงเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรายงาน“ท่านแม่ทัพ ข้าศึกส่งคนเข้ามาสอดแนมในค่ายของเรา ตอนนี้พวกเราจับตัวมันได้แล้ว ข้ารอคำสั่งท่านว่าจะให้จัดการอย่างไร”เซียวป๋อเหวินวางพู่กันลงจากมือ ดวงตาสงบนิ่งแต่ลึกลงไปภายในแฝงความเด็ดขาด “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง สะบัดชายเสื้อแล้วเดินตามรองแม่ทัพซุนออกจากกระโจมไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นของเขาก้องสะท้อนเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เหล่าทหารที่พบเห็นต่างหลีกทางให้ด้วยความเคารพเมื่อมาถึงลานประหารกลางค่าย สายตาของเซียวป๋อเหวินจับจ้องไปที่ชายสองคนที่ถูกมัดไว้กับเสา แขนและขาของพวกมันเต็มไปด้วยรอยแผลจากการถูกซ้อมแต่ใบหน้ากลับแข็งกร้าว ไม่มีแววหวาดกลัวหรือยอมจำนนเขาก้าวเข้าไปใกล้ พลางถามด้ว
บทที่ 30 วุ่นอยู่กับการทำศึกแต่ในใจก็คิดถึงเช่นกัน อีกด้านเซียวป๋อเหวินตอนนี้กำลังทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือบริเวณแม่น้ำฉางเป่ย การต่อสู้ครั้งนี้ใช้กองทัพเรือ เป็นการต่อสู้กับชนเผ่าเฮยจั้งที่พยายามจะตีเอาดินแดนเหนือของแคว้นรวมทั้งเมืองเสวี่ยคังด้วย เดิมทีชนเผ่าเฮยจั้งอยู่เหนือขึ้นไปหลายพันลี้ทว่าด้วยภัยความหนาวทำให้อากาศแห้งแล้ง ปลูกพืชผลก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ เลยทำให้พวกเขาต้องอพยพลงใต้มาตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีที่ดินทำกินให้คนในเผ่าได้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ชนเผ่าก็จริงทว่าชาวเฮยยจั้งนั้นรวม ๆ แล้วก็มีไม่ต่ำกว่าแสนคน ที่เป็นทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็น่าจะราว ๆ สามหมื่น พื้นฐานของพวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายที่ทรหดอดทนมาก ทั้งยังสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน ทำให้ศึกครั้งนี้เซียวป๋อเหวินรับมือยากอยู่เล็กน้อย “ลูกธนู
บทที่ 29 และแล้วก็ต้องจากกัน ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน “พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง” “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน” “น้อมส่งท่านเจ้าเมือง” “ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ” เสียงของชาวเมืองยังคงกล่า
บทที่ 28 เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก “หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ “ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมา
บทที่ 27 ข้าว่าจะเปิดร้านอาหาร ท่านว่าดีหรือไม่ ฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปามาส่งทุกวัน ทุกครั้งทั้งสองก็จะพูดคุยกันและสนิทกันมากขึ้น สำหรับเซียวป๋อเหวินนอกจากหมอหลิวแล้วก็แทบจะไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยยกันเรื่องทั่วไปได้เลย ส่วนมากก็จะพูดแต่เรื่องที่เป็นทางการกับองครักษ์แล้วก็ทหารเท่านั้น แต่กับฟางหนิงฮวาเขากลับรู้สึกว่าทั้งเขาและนางมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน ทั้งความคิดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ จึงได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาเองเมื่อได้พูดคุยกับเซียวป๋อเหวินก็เหมือนกับได้พูดคุยกับหยางจื้อเจ๋อ จึงมีความสุขทุกครั้ง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะมาถามความเห็นจากท่าน” ฟางหนิงฮวาพูดขณะที่เอากล่องใส่ซาลาเปาวางลงบนโต๊ะอาหารของเซียวป๋อเหวิน “อะไรหรือ น่าสนใจหรือไม่&
บทที่ 26 กลับมาพร้อมชัยชนะ ขบวนทัพเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาด้วยความสง่าผ่าเผย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เหล่าราษฎรมายืนเรียงแถวรอต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาเต็มสองข้างทาง พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยวีระบุรุษผู้ปกป้องรักษาบ้านเมืองเอาไว้ รอที่จะกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ เซียวป๋อเหวินขี้ม้าสีดำคู่กายเข้ามาในประตูเมืองตามด้วยทหารองรักษ์คนสนิทและเหล่าแม่ทัพนายกองอีกหลายคน เขาโบกมือและยิ้มทักทายให้กับทุกคนพร้อมประกาศชัยชนะในครั้งนี้ “ชาวเมืองถู่หยางทุกคน บัดนี้พวกโจรภูเขาทั้งหลายได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเมืองถู่หยางของพวกเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อย่าได้เป็นกังวล” “