로그인นับแต่นี้ต่อไปซูเฟยคงต้องปรับตัวเสียใหม่ การมาอยู่ในร่างของฟางหนิงฮวานี้ทำให้นางต้องเปลี่ยนจากหญิงสาววัยทำงานมาเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่นก็ออกจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงแปลกทั้งหมดเสียทีเดียวเพราะในชีวิตที่ผ่านมานั้นก็เคยผ่านช่วงของความเป็นวัยรุ่นมาแล้ว เพียงแต่ว่าวัยรุ่นของยุคนี้กับยุคนั้นก็คงจะไม่เหมือนกัน
ฟางหนิงฮวาคนใหม่ก้าวเดินลงบันไดไปอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะห้องชั้นบนกับร้านขายซาลาเปาที่ชั้นล่างก็ไม่ได้ไกลกัน แต่เมื่อมาถึงชั้นล่างแล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ถึงกับทำให้ฟางหนิงฮวาต้องอ้าปากค้าง ผู้คนที่มาต่อคิวซื้อซาลาเปาที่ร้านของนางนั้นยาวเหยียดราวกับผู้คนที่ไปต่อคิวซื้อสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังในห้างสรรพสินค้าเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่ร้านซาลาเปาของนาง ร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่รู้ว่าขายอะไรก็ขายดีเช่นกัน จะว่าไปแล้วก็ไม่คิดว่าในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองถู่หยางจะมีการค้าขายที่รุ่งเรืองเช่นนี้
"หนิงฮวา…มัวยืนทำอะไรอยู่ มารีบปั้นแป้งซาลาเปาเร็วเข้า เดี๋ยวจะต้องเอาไปส่งที่จวนต่าง ๆ อีก" นิ่งหรงมารดาของฟางหนิงฮวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเดินลงบันไดมาแล้ว
ฟางหนิงฮวาคนใหม่ได้แต่ยืนงุนงงอยู่ชั่วครู่ กว่าจะตั้งสติได้ก็หมดเวลาไปสองสามอึดใจจากนั้นจึงค่อยเดินมาช่วยมารดาปั้นแป้งซาลาเปาที่กองเป็นภูเขาเลากาอยู่บนโต๊ะ
"แต่ละวันพวกเราต้องทำซาลาเปากันเยอะถึงเพียงนี้เลยหรือท่านแม่" ฟางหนิงฮวาถาม เพราะความทรงจำที่ได้มาจากเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยละเอียดนัก มีเพียงแต่เรื่องหลัก ๆ ที่ต้องรู้เท่านั้น เรื่องบางเรื่องก็จำไม่ได้อย่างเช่นเรื่องนี้
"ถามอะไรของเจ้า ซาลาเปาที่ร้านของเราก็ขายดีอย่างนี้ทุกวัน จำไม่ได้หรืออย่างไรหรือว่าจะป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว ไหนขอแม่ตรวจดูเจ้าสักหน่อย" คนที่งุนงงยิ่งกว่าเห็นจะเป็นมารดาของนาง อยู่ ๆ บุตรสาวก็มาถามคำถามแปลก ๆ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เห็นอยู่ทุกวันแท้ ๆ ก็ยังถามออกมาได้
"เจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาพยักหน้าเข้าใจ
กองแป้งซาลาเปาที่อยู่ตรงหน้าใหญ่มาก คนที่ทำหน้าที่ปั้นและใส่ไส้ซาลาเปานั้นมีเพียงแค่นางกับมารดาเท่านั้น ส่วนบิดามีหน้าที่นึ่งและขายซาลเปาอยู่ที่หน้าร้าน เขาขายอยู่คนเดียวแต่ลูกค้ามาเยอะก็เลยทำให้ต้องรอนานกันบ้าง
ซาลาเปาที่กำลังนึ่งอยู่ส่งกลิ่นหอมฉุยโชยออกมาจากลังถึงทำเอาฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นรู้สึกหิวขึ้นมาทันที แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นอย่างนั้นเพราะก่อนหน้าที่นางจะฟื้นขึ้นมานั้นนางอดข้าวไปสามวันสามคืน ตอนที่ตื่นขึ้นมาถึงได้ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสักเท่าไร
เสียงท้องร้องดังมาทีหนึ่ง นิ่งหรงหันมามองบุตรสาวที่ผอมกะหร่องและดูขี้โรคของตนก่อนจะกล่าวว่า "อาหารเช้าอยู่ในครัว รีบไปกินแล้วรีบออกมาช่วยแม่ปั้นซาลาเปา"
"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่" ฟางหนิงฮวาตอบรับด้วยความดีใจ จากนั้นจีงวางซาลาเปาที่ปั้นเสร็จในมือลงแล้ววิ่งเข้าไปในครัวทันที
หญิงสาวใช้เวลากินข้าวไม่นานนักก็รีบกลับออกมา ด้วยความเคยชินตอนทำงานอยู่ที่ร้านอาหารนางมักจะเร่งรีบเสมอเวลาที่มีลูกค้าเข้าเยอะ ดังนั้นเมื่อเห็นร้านซาลาเปามีลูกค้ามายืนรออยู่มากมายนางก็อดไม่ได้ที่จะรีบออกไปช่วยทำช่วยขาย
เมื่อมองสำรวจไปรอบ ๆ ร้านเห็นว่ามีคนแค่สามคนก็เพิ่งมาเอะใจ "แล้วท่านอารองเล่าเจ้าคะ วันนี้ไปส่งซาลาเปาแต่เช้าหรือ"
"ไปส่งซาลาเปาที่ไหนกันเล่า อารองของเจ้ากลับบ้านนอกเมืองไปตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่แล้ว มีคนจากหมู่บ้านมาบอกว่าอาสะใภ้ของเจ้าป่วย" นิ่งหรงตอบ
"แล้วท่านอาสะใภ้เป็นอะไรมากหรือไม่" ฟางหนิงฮวาถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
เหมือนว่าความเป็นห่วงนี้มันก่อเกิดขึ้นมาเอง ถึงแม้ว่าวิญญาณของซูเฟยที่อยู่ในร่างของฟางหนิงฮวาผู้นี้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้คนที่นี่ แต่อาจจะเพราะว่านางเข้ามาอยู่ในร่างของคนสกุลฟางดังนั้นความรักความห่วงใยของคนครอบครัวเดียวกันจึงได้สะท้อนอยู่ในจิตใจของนางด้วย
นิ่งหรงนวดแป้งไปด้วยพูดไปด้วยว่า "ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าท่านอาของเจ้าก็คงจะพาหมอไปด้วยตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ อ้อ…แล้ววันนี้เจ้าจะต้องทำหน้าที่ไปส่งซาลาเปาแทน ซาลาเปาทั้งหมดแม่จัดไว้ให้บนโต๊ะแล้วเจ้าไปตรวจดู"
"เจ้าค่ะ ท่านแม่" ฟางหนิงฮวารับคำด้วยความตื่นเต้น
เพิ่งจะมาถึงเพียงวันแรกก็ได้รับหน้าที่ให้ไปส่งซาลาเปาเสียแล้ว ฟางหนิงฮวาดีใจมากเพราะว่าสถานที่ที่จะไปส่งซาลาเปานั้นกระจายอยู่ทั่วเมือง ทั้งจวนเจ้าเมือง จวนของคหบดีค้าหยก สถานศึกษาของเมืองนี้ วันนี้นางจะได้ออกท่องเที่ยวสำรวจเมืองอย่างเต็มที่ ไม่เสียแรงที่ตายแล้วมาเกิดที่นี่ คิดไปแล้วเมืองนี้ก็น่าจะมีอะไรที่น่าสนุกอยู่ไม่น้อย
"จะให้นางไปจริง ๆ หรือ ข้าว่าจะไม่ไหวเอานะ ร่างกายก็ออกจะอ่อนแอบอบบางถึงเพียงนั้น จะเดินไปถึงสถานศึกษาหรือไม่ก็ไม่รู้ ไว้ข้าไปเองดีกว่า" เสียงพูดดังมากจากทางหน้าร้าน เป็นเสียงฟางตวนบิดาของฟางหนิงฮวานั่นเอง
ที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้นตั้งแต่เล็กจนโตมีร่างกายที่ไม่แข็งแรง เชิญหมอมาตรวจกี่คนก็บอกว่าเป็นภาวะร่างกายอ่อนแอ หยินพร่อง ไม่สามารถรักษาได้ ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ให้บุตรสาวทำงานหนักอีกทั้งยังไม่ให้ไปไหนไกล ๆ ด้วย เพราะกลัวว่านางจะไปเป็นลมล้มพับที่อื่นแล้วจะช่วยไว้ไม่ทัน
“หากท่านพี่ออกไปแล้วผู้ใดจะขายของหน้าร้านเล่า ข้ากับหนิงฮวาแค่สองคนคงไม่ทันหรอกนะ” นิ่งหรงหันไปพูดกับสามี
"ข้าไปได้เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าแข็งแรงขึ้นแล้ว" ฟางหนิงฮวาตอบอย่างกระตือรื้อร้น นางอยากทำงานนี้มากจึงแสดงออกมาให้บิดามารดาเห็นว่าตนแข็งแรงแล้วจริง ๆ
จะว่าไปตั้งแต่วิญญาญของซูเฟยเข้ามาอยู่ในร่างของฟางหนิงฮวาร่างนี้ก็ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ผู้เป็นบิดามารดาที่อยู่ด้วยกันกับนางมาตลอดยังสังเกตได้ ยามนี้ใบหน้าของนางไม่ได้ขาวซีดเหมือนดั่งคนป่วยแล้วทว่ากลับสดใสมีเลือดฝาดขึ้นมา
"ข้าว่านางดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะ ให้นางลองดูเถอะ" นิ่งหรงกล่าว
แต่ว่าก่อนที่จะไปนั้นนางจะต้องช่วยมารดาปั้นซาลาเปาให้ได้สามร้อยลูกก่อน เพราะตอนที่นางเอาซาลาเปาไปส่งนั้นมารดาของนางจะต้องปั้นคนเดียวกลัวว่าน่าจะไม่ทันขาย ซาลาเปาสามร้อยลูกสำหรับฟางหนิงฮวานั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไร เพราะชาติที่แล้วนางเป็นถึงเชฟมืออาชีพการันตีรางวัลมากมาย ดังนั้นเวลาเพียงไม่ถึงสองเค่อนางก็สามารถปั้นซาลาเปาทั้งหมดออกมาได้สำเร็จทำเอาบิดามารดาถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยเห็นบุตรสาวมีความสามารถเช่นนี้มาก่อน
ปั้นซาลาเปาเสร็จหญิงสาวก็เดินไปคว้าเอากล่องใส่ซาลาเปาที่เตรียมเอาไว้แล้วยิ้มอย่างสดใสให้กับบิดามารดาหนึ่งที "ข้าไปก่อน แล้วจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ"
ท่าทางที่แปลกไปของบุตรสาวในวันนี้ทำเอาสองสามีภรรยาถึงกับมองหน้ากันอย่างงุนงง ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแรงขึ้นและความกระตือรือร้นที่ผิดปกติของนางช่างแตกต่างจากฟางหนิงฮวาในเมื่อก่อนลิบลับ สองสามีภรรยามองหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนในที่สุดฟางตวนก็กล่าวประโยคหนึ่งออกมา "ข้าว่าคงต้องให้ท่านหมอมาตรวจดูนางอีกสักหน่อย คิดว่าบางทีนางอาจจะป่วยจนสมองได้รับการกระทบกระเทือนก็เป็นได้"
“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน นี่ดูไม่เหมือนลูกสาวของพวกเราเลยสักนิด” นิ่งหรงพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







