ณ ตำหนักของจวนเฉินอ๋อง เฉินตงหยางนอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างหน้าต่าง ชุนเต๋อองครักษ์คนสนิทเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อรับลมและแสงแดด ก่อนจะหันมารินชาส่งให้ผู้เป็นนาย
“มีข่าวอะไรเกิดขึ้นบ้าง” เฉินอ๋องเอ่ยถามเหมือนเช่นทุกวัน เพราะตัวเขาเองมองไม่เห็นมาได้10ปีแล้ว เนื่องจากเขาถูกลอบทำร้าย ยามต่อสู้กันถูกคนร้ายสาดพิษใส่เขาที่ใบหน้า ทำให้เขามองไม่เห็นมาจนถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ให้คนตามหาหมอที่มีฝีมือมาทำการรักษา แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาได้เลยสักคน เฉินอ๋องมีองครักษ์คนสนิทอยู่สองคน ที่เติบโตมาด้วยกัน คือชุนเต๋อและชุนไห่ ทั้งสองคนต้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาหลังจากที่เขามองไม่เห็น ช่วงแรกๆ เขาก็อึดอัดจนแทบเป็นบ้าอยู่ๆ ก็มาตาบอดมองไม่เห็น อารมณ์จึงขึ้นๆ ลงๆ โมโหร้ายเอาแต่ใจ ไม่มีใครเข้าหน้าติดสักคน มาหลังๆ เขาเริ่มทำใจ และใช้ชีวิตไปวันๆ เขาเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่พระสนมกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดา ร้องไห้คุกเข่าข้อร้องไม่ให้เขาคิดสั้น หากว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายให้ได้ นางก็จะขอตายตามเช่นเดียวกัน ยามนั้นเขาถึงสำนึกได้ว่ายังมีมารดาที่รักและห่วงใยเขามาก การมีชีวิตอยู่ถึงแม้จะลำบากเพราะมองไม่เห็น แต่ถ้าหากทำให้ผู้เป็นมารดามีความสุขเขาก็ยินดีทำ “ข่าวด้านนอกก็ปกติดีพะยะค่ะ แต่เห็นว่าอีกไม่นานฮ่องเฮาจะจัดงานชมบุปผา และจะเชิญบรรดาคุณหนูตระกูลต่างๆ ที่ถึงวัยปักปิ่นให้เข้าร่วมงาน คงอยากหาชายาให้องค์รัชทายาท” ชุนเต๋อรายงานตามที่รู้มา “แต่ข้ามีข่าวซุบซิบอีกเรื่องพะยะค่ะ ตระกูลไป๋คหบดีอันดับหนึ่ง เปิดประตูจวนตอนรับบุตรสาว ที่จากไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองตงฟางถึง15ปี และข่าวลือที่ว่านางตั้ครรภ์โดยไม่มีพ่อของลูก น่าจะเป็นความจริงเพราะนางได้พาบุตรสาววัย15หนาวกลับมาโดยไร้บุรุษซึ่งเป็นบิดา ซึ่งทางตระกูลไป๋บอกกับคนทั่วไปว่า สามีของนางเสียชีวิตไปนานแล้ว” ชุนไห่สายข่าวซุบซิบรีบรายงาน “และข่าวยังบอกอีกว่า แม่นางน้อยตระกูลไป๋ ถึงแม้จะมีวัยเพียง15หนาว แต่ก็งดงามไม่ต่างจากมารดาของนาง คาดว่าในวันข้างหน้าบุรุษคงเข้าแถวให้แม่สื่อไปสู่ขอ” “เหตุใดเจ้าถึงชอบข่าวซุบซิบนักเล่า เจ้าเป็นบุรุษแต่มีนิสัยดั่งกับสตรีมิมีผิด” ชุนเต๋อพี่ชายของชุนไห่ตำหนิออกมา “มันเรื่องของข้า ไม่เหมือนท่านที่ชอบข่าวการบ้านการเมือง ใครจะครองราชย์ไม่ครองราชย์ ขุนนางถกเถียงกันในห้องประชุม ใครจะสนับสนุนใครบ้างแบบนั้น ข้าไม่อยากสนใจเบื่อเต็มทน” ชุนเต๋อบ่นออกมาเบื่อหน่าย เฉินอ๋องนอนฟังสองพี่น้องถกเถียงกัน ซึ่งเขาได้ยินเป็นประจำทุกวัน จนเสมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่าก็เขามองไม่เห็น รำคาญก็ต้องทนเพราะหากไล่ไป ยามต้องการใช้ก็ลำบากอีก “ข่าวยังมีมาอีกนะท่านพี่ว่า คุณหนูไป๋มีฝีมือในการทำอาหารแบบว่าขั้นเทพ เห็นไป๋ซูอันไปทำงานคุยอวดว่าหลานสาวทำอาหารอร่อยอย่างนั้นอร่อยอย่างนี้ ข้าก็อยากรู้ว่าจะอร่อยขนานไหนกันเชียว ก็เลยได้ไปติดสินบนกับบ่าวรับใช้ในจวนสกุลไป๋ ว่าหากนางทำอาหารอีกให้แอบแบ่งมาขายให้ข้า” “นี่เจ้า!!เจ้านี่ไร้ยางอายจริงๆ ฮึ่ย!!” ชุนเต๋อยิ่งฟังยิ่งรับไม่ได้ หากเรื่องนี้หลุดออกไปชื่อเสียงจวนอ๋องจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด “แล้วเจ้าไปสนิทชิดเชื้อกับบ่าวสกุลไป๋ได้อย่างไร?” ชุนเต๋อแม้จะบ่นแต่ก็ถามต่อด้วยความอยากรู้ “ก็เมื่อวานข้าไปทำธุระและได้ขี่ม้าผ่านจวนสกุลไป๋ ท่านเชื่อหรือไม่ว่ากลิ่นอาหารมันลอยมาเตะจมูกข้า ข้าก็หยุดม้าทันทีแล้วมองหาที่มาของกลิ่นนั้น ข้ายืนสูดกลิ่นอยู่นานและเริ่มหิวมากด้วย พอเห็นบ่าวจวนสกุลไป๋ เปิดประตูข้างออกมาข้าก็เลยไปตีสนิทซะเลย” “ชุนไห่เจ้ามันกินแก่กินเสียจริง หน้าด้านไร้ยางอาย หากมีผู้ใดรู้เข้า จวนท่านอ๋องจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” “ข้าเริ่มรำคาญพวกเจ้าสองคนเต็มที ว่าแต่ไม่เห็นมีใครเอาอาหารมาให้ข้าเลย ข้าก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” เฉินอ๋องเริ่มทนไม่ไหวกับสองสหายองครักษ์ “ขออภัยท่านอ๋อง ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ” ชุนไห่เมื่อได้ยินนำ้เสียงเบื่อหน่ายของเฉินอ๋อง ก็รีบพุ่งตัวไปที่ห้องครัวทันที เฉินอ๋องฟังสองคนคุยกันจนรำคาญ เขาอยากลุกขึ้นไปถีบเจ้าชุนไห่ซักทีสองที แต่ก็ติดที่ว่ามองไม่เห็น พูดถึงอาหารเขาก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาเหมือนกัน พ่อครัวจวนเขาทำอาหารได้ไม่ถึงกับอร่อยนัก แต่ก็ไม่ถึงกับแย่จนกินไม่ได้ พอได้ยินชุนไห่พูดถึงเรื่องอาหาร เขาถึงนึกได้ว่าอาหารที่อร่อยจริงๆ นั้นรสชาติเป็นเช่นไร หลังจากเขาตาบอดการใช้ชีวิตในแต่วัน ก็อยู่อย่างไร้ความหมาย กินเพื่ออยู่รสชาติจะอร่อยหรือไม่เขาไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมาได้ยินว่าชุนไห่ถึงขนานไปติดสินบน เพื่ออยากลองชิมรสชาติอาหารที่แสนอร่อย ความรู้สึกเขาตอนนี้ก็เหมือนอยากลองเช่นเดียวกัน //////////////////////////////////////////// หลังจากรับอาหารเช้าเสร็จ ซูเจียวก็บอกกับบิดาว่าจะพาซูหนี่ว์ออกไปเดินเที่ยวเล่นในตลาด นางต้องยอมโกหกเพราะไม่อยากให้บิดาและมารดาเป็นห่วง รถม้าจอดรออยู่หน้าจวนเมื่อซูเจียวและซูหนี่ว์มาถึง ซูเจียวบอกให้คนขับรถม้าพาไปที่ทำการ ที่ทางการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นนายหน้าขายที่ดิน บ้านเรือนที่ฝากขายหรือปล่อยให้เช่า พอนางไปติดต่อขอดูจวนสกุลจ้าว เจ้าหน้าที่ก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูก ที่จู่ๆ แม่นางผู้มีน่าตางดงามผู้นี้ จะไปขอดูบ้านผีสิง “แม่นางแน่ใจนะว่าจะไปดู ท่านไม่กลัวรึ?” เจ้าหน้าที่ย้ำอีกครั้ง “ถ้ากลัวคงไม่ขอเข้าไปดู” คำตอบนี้มาจากซูหนี่ว์ เจ้าหน้าที่พอเห็นซูหนี่ว์ก็ยิ่งเป็นห่วง สตรีสองนางนี้คิดจะทำอะไรเหตุใดถึงใจกล้านัก “เจ้าออกมาทำไม?" “ก็ข้าขี้เกียจรอ ท่านแม่เรียบร้อยหรือยังเจ้าค่ะ?” “เสร็จแล้วไปกันเถอะ” รถม้าจวนสกุลไป๋แล่นมาเทียบหน้าจวนตระกูลจ้าวที่ยามนี้ดูเงียบวังเวงเพราะไร้ผู้คนเดินผ่าน ซูเจียวและซูหนี่ว์ก้าวลงจากรถม้า มองเข้าไปที่หน้าจวนที่ถูกล็อกกุญแจไว้ด้านนอก เจ้าหน้าที่ที่ควบม้าตามมา รีบกระโดดลงมาและตรงเข้าไปไขกุญแจให้ แต่ไม่ยอมเข้าไปด้านในบอกจะยืนรออยู่ด้านหน้าจวน ท่านลุงลู่กังก็ขออยู่เฝ้ารถม้า ส่วนป้าฮุ่ยเหมยแม้จะหวาดกลัว แต่ก็อดเป็นห่วงนายสาวไม่ได้ จึงยอมลากขาที่สั่นค่อยๆ เดินตามเข้าไป ซูหนี่ว์เดินก้าวข้ามประตูเข้าไปอย่างไม่หวาดหวั่น แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงลานหน้าบ้าน กลุ่มคนที่มายืนรอหนึ่งในนั้น นางจำได้ดีคือชายที่อยู่ในความฝัน “ท่านพ่อ” นางเพลอเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว จากกลุ่มคนที่อยู่ในชุดเหมือนสีขาวมัวๆ และมองไม่ค่อยเห็นเด่นชัดมากนัก ก็เริ่มปรากฎเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น “ลูกพ่อ เจ้ามาได้เสียทีขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาข้า” จ้าวซีซวนกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ ไม่คิดว่านางจะมาจริงๆ “ท่านเป็นพ่อของข้าค่ะจริงๆ รึเจ้าค่ะ?” ซูหนี่ว์ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป เพียงแค่ลองสนทนาในใจดู เพราะกลัวว่าท่านแม่และป้าฮุ่ยเหมยจะหวาดกลัว “ใช่ และนี่ก็คือท่านปู่และท่านย่าของเจ้า” “คารวะท่านปู่ท่านย่าเจ้าค่ะ" จ้าวซีห่าวและจ้าวซินเหยียนยกยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง “เหตุใดพวกท่านถึงยังอยู่ที่นี่ละเจ้าค่ะ? “เดี๋ยวเข้าไปด้านในแล้วพ่อจะเล่าให้เจ้าฟัง” ซูหนี่ว์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองมารดาและป้าฮุ่ยเหมยที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ท่านแม่ท่านป้าท่านรอข้าอยู่ตรงนี้นะเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ เชื่อใจข้านะเจ้าค่ะท่านแม่” ซูหนี่ว์จับมือซูเจียวมาบีบเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในจวน พร้อมบิดาท่านปู่และก็ท่านย่า ห้องโถงรับแขกนี้ใหญ่โตกว้างขวางพอๆ กับจวนท่านตา บรรดาบ่าวที่เป็นวิญญาณ ก็พากันยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม ท่านพ่อเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ15ปีก่อน ว่าถูกคนขุนนางชั่วใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ หลักฐานทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายตระกูลจ้าว ท่านปู่และท่านพ่อโกรธแค้น ไม่ยินยอมต่อโชคชะตานี้ ก่อนประหารได้กราบวิงวอนต่อสวรรค์ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์มีจริง ก็โปรดส่งคนมาช่วยแก้ไขสิ่งที่ตระกูลจ้าวไม่ได้ทำ หลังประหารชีวิตวิญญาณทุกดวงที่อยู่ที่ตระกูลจ้าวก็ไม่ยอมไปไหน พ่อและท่านปู่เชื่อว่าที่วิญญาณไม่ไปไหน คงเพราะรอคนที่จะมาแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต อยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีนักพรตได้แวะมาที่จวนตระกูลจ้าว นักพรตผู้นั้นบอกว่าให้รออีกไม่นาน ผู้สืบทอดตระกูลจ้าวจะกลับมา แล้วก็ได้ทิ้งจดหมายไว้ให้หนึ่งฉบับ บอกว่าเมื่อใดที่ผู้สืบทอดกลับมา ให้เอาจดหมายให้ฉบับนี้ให้ พอเล่ามาถึงตรงนี้ ท่านปู่ก็หยิบจดหมายออกมาให้ซูหนี่ว์ “แล้วท่านพ่อรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นลูกของท่านละเจ้าค่ะ? “ตอนที่ตระกูลจ้าวเกิดเรื่องพ่อและท่านปู่ คิดว่าตระกูลจ้าวคงจบสื้นแล้ว แต่พ่อก็มีความคิดหนึ่งซึ่งฟังดูอาจจะไม่เข้าท่านัก ซึ่งยามนั้นพ่อก็แอบชอบมารดาของเจ้ามานาน จึงตัดสินใจวางยากำหนัดแม่ของเจ้า เพื่อที่ตระกูลจ้าวจะได้มีคนสืบสกุล พ่อไม่ได้คาดหวังอะไรว่านางจะตั้งครรภ์หรือไม่แต่สวรรค์ก็เมตตา พ่อไม่อยากให้แม่เจ้ารู้ว่าพ่อเป็นใคร และไม่อยากให้ใครรู้เช่นเดียวกัน เพราะตระกูลจ้าวได้รับข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏ คนที่เกี่ยวข้องกับพ่ออาจถูกประหารไปด้วย หลังจากถูกประหาร พ่อก็อยู่ทีนี่และเฝ้ารอ ไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ พ่อก็เห็นนิมิต ว่าเจ้ามาจากที่ที่แสนไกล วิญญาณของซูหนี่ว์ได้มาร่ำลาพ่อ บอกว่าซูหนี่ว์ที่ได้ไปเกิดอีกภพหนึ่งกำลังจะกลับมา จากนั้นก็ไม่รู้ทำไมพ่อถึงได้ไปเข้าฝันลูกได้” ซูหนี่ว์เปิดอ่านเนื้อหาข้อความในจดหมาย แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่บอกว่า “จงใช้มือของเจ้าเปิดประตูแห่งความลับที่ซ่อนอยู่ที่จวนแห่งนี้” ซูหนี่ห์อ่านแล้วก็หมวดคิ้ว ปริศนาเสี่ยงทายอะไรเนี่ยะ ยุคโบราณนี่มีแต่อะไรแปลกๆ “ท่านพ่อ ท่านปู่ คิดว่าข้อความนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าค่ะ?” นางหันไปขอความคิดเห็น เพราะไม่เข้าใจความหมาย “จะส่งเจ้ามาช่วยทั้งที ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก ปู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าละคิดว่าอย่างไร?” จ้าวซีห่าวบ่นออกมา “ท่านพ่อ ข้าก็ไม่รู้เลยขอรับ เคยแต่จับดาบออกรบและต่อสู้ ให้มาไขปริศนาไม่ใช่งานถนัดข้า “เดี๋ยววันนี้ข้าจะกลับไปก่อน ข้าจะขอให้ท่านแม่ซื้อจวนหลังนี้ แล้วข้าจะกลับมาใหม่ แต่ข้าอยากมีเรื่องขอร้อง หากเป็นมารดาข้า หรือคนที่มาจากจวนข้า พวกท่านอย่าทำให้พวกเขาตกใจได้หรือไม่ เพราะหากข้าให้ท่านแม่ซื้อจวน ข้าต้องพาคนมาทำความสะอาด หรือไม่ก็อาจซื้อบ่าวมาเพิ่มเจ้าค่ะ” “ได้ๆ ปู่รับปาก/พ่อก็รับปากสองเดือนต่อมาอยู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนอยากหนัก จนเขาลุกไม่ไหวที่ออกมาว่าราชกิจในท้องพระโรง หมอหลวงจึงรีบมาตรวจอาการก็ยังหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงซูหนี่ว์ที่พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นอะไร ก่อนนางจะให้หมอหลวงตรวจอีกคนเพื่อยืนยันความแน่ใจ หลังจากตรวจอาการของฮองเฮา หมอหลวงก็เผยยิ้มด้วยความยินดี“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอหลวง ที่จริงข้าก็พอจะรู้อยู่บ้างเพียงแต่อยากตรวจเพื่อความแน่ใจ สงสารแต่ฝ่าบาทที่ต้องมาแพ้ท้องแทนข้าเช่นนี้”“เดี๋ยวก็คงหายพ่ะย่ะค่ะ หากเรารู้สาเหตุก็ไม่ต้องกังวลเพียงแค่หาอะไรให้ฝ่าบาทเสวย บรรเทาอาการคลื่นไส้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหนี่ว์พอจะรู้อาการพวกนี้อยู่บ้าง เพียงแต่นึกสงสารเขาเท่านั้นเองที่ต้องมาทรมานแทนนาง ซูหนี่ว์จึงเอ่ยเบาๆ กับลูกในท้องว่า “อย่าทรมารบิดาเจ้ามากนักสงสารเขาบ้างเถอะ” เหมือนเด็กในท้องนางจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางบอก อาการของฮ่องเต้จึงเริ่มทุเลาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ โชคดีที่ช่วงนี้ราชกิจในท้องพระโรง ก็ไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวล เหล่าขุนนางเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ฮองเฮาเสนอขึ้น ท
ข่าวจากทางราชสำนักออกติดประกาศ ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์และแต่งตั้งเฉินตงหยางเป็นฮ่องเต้ ส่วนซูหนี่ว์ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ทำเอาฮือฮากันทั้งเมืองหลวง ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายคนคอยจับตาและฟังข่าวว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป เช้าวันต่อมาการประชุมในท้องพระโรงก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเป็นปกติเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อขันทีประกาศการมาของฮ่องเต้และฮองเฮา “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สีหน้าทุกคนก็บ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่เห็นว่ามีฮองเฮามาร่วมด้วย“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเหล่าขุนนางเฒ่าว่าเป็นแบบใด ซูหนี่ว์ฮองเฮาแม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่ง แต่แอบสังเกตมองเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้รอดพ้นสายตา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้หากวันนี้กล้าหาเรื่องนางละก็ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางกรมพิธีการหยุดชะงัก เมื่อฮ่องเต้ยกมือห้ามให้เขาหยุด“ก่อนที่ท่านจะพู
สามวันต่อมาการจัดทำโรงทานแจกอาหารก็มาถึง ซูหนี่ว์ให้องครักษ์ที่เป็นทหารยี่สิบคนช่วยทำ เพราะพวกเขาคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไวมาก จึงคิดจะดึงพวกเขาไว้ที่จวนส่วนทหารอีกแปดสิบคนนางส่งไปอยู่ที่วังหลวง นางจะทำโรงทานสามวัน วันแรกนางตั้งใจจะทำโจ๊กทรงเครื่อง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซึ่งนางคิดว่าดูเรียบง่ายและสะดวก อีกทั้งนางยังใส่หมูสับและไข่ เครื่องปรุงนางก็ให้คนหั่นเตรียมไว้ หากมีใครอยากจะใส่ขิง ต้นหอมผักชีซอยและกระเทียมก็สามารถใส่ได้ ก่อนนางจะยกหม้อโจ๊กมาตั้ง นางก็ให้ถิงถิงและชิงอีตั้งโต้ะเหมือนทุกครั้งเพื่อบวงสรวงอาหาร แต่ครั้งนี้นางให้ซูเจียว เฉินอ๋อง ชุนไห่ ชุนเต๋อ และบ่าวในจวนมาจุดธูปไหว้ด้วยเช่นกัน นางไม่รู้ว่าดวงวิญญาญจะจากไปเมื่อใด แต่เพราะวันนี้เป็นประหารชีวิตของสองตระกูล นางคิดว่าดวงวิญญาณอาจจะสลายและจากไป ซูหนี่ว์มองเห็นท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และบ่าว ยืนมองนางและทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอิบอย่างมีความสุข“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และดวงวิญญาณทุกดวงขอให้ไปสู่ภพที่ดีนะเจ้าคะ”“ซูหนี่ว์ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองให้ดี ปู่ได้เห็นเจ้าเติบโตมาดีเช่นนี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว” จ้าวซีห่าวเอ่ยขึ
เช้าวันต่อมาทางราชสำนักจากวังหลวงได้ส่งทหารมาปิดประกาศความผิดของสองตระกูลหลี่และตระกูลเซี๊ยะโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์ตระกูลเซี๊ยะเข้าวังหลวง ส่วนทรัพย์สินของตระกูลหลี่ยึดทรัพย์เป็นกองกลาง ซึ่งชายาเฉินในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลจ้าว จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้นางต้องการทำโรงทาน และบริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับวิญญาณที่จากไป ในท้องพระโรงฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งเฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด ที่จริงเฉินอ๋องไม่อยากรับตำแหน่งเพราะเขาอยากใช้ชีวิตอิสระนอกวังมากว่า แต่เพราะตำแหน่งรัชทายาทจะว่างไม่ได้ เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ไปชั่วคราว หลังจากเสร็จกิจจากท้องพระโรง เฉินหลงฮ่องเต้และเฉินอ๋องก็มายังห้องทรงอักษร ที่มีไท่ซ่างหวงและซูหนี่ว์รออยู่ ซูหนี่ว์อยากวางรากฐานให้ราชวงศ์มีความมั่นคง นางไม่อยากแทรกแซงการเมืองการปกครอง แต่นางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องมีลูก นางจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแม้จะดูไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม“เอาละเรามาเริ่มกันเลย ลูกสะใภ้เจ้าก็อย่าเป็นกังวล เป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไร
ฮ่องเต้สั่งให้ทหารจับกุมคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับซูหนี่ว์“ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนผิด เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ซูหนี่ว์มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น“ตระกูลหลี่สมควรถูกประหารเช่นเดียวกับตระกูลจ้าวเมื่อสิบห้าปีก่อน ติดป้ายประกาศความผิดของสกุลหลี่ว่าเคยใส่ร้ายสกุลจ้าวและโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำโรงทานแจกอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ ส่วนตระกูลเซี๊ยะ ตัดสินโทษประหารเช่นเดียวกัน ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้ากองคลัง”“ได้ข้าจะจัดการตามนี้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ลูกสะใภ้เขาคนนี้ทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็นบุญและวาสนาของชาวเป่ยเซียงจริงๆ“งานวันนี้ย้ายไปที่อุทยานเถิด หม่อมฉันให้ท่านตาและท่านแม่จัดเตรียมไว้รอแล้วเพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยยิ้มๆ “หะ…นี่เจ้า” ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก นางวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ลูกสะใภ้ผู้แสนดี“ขออภัยทุกท่านที่ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างในวันนี้ เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันได้จัดเตรียมอาหารและสุราที่อุทย
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฉินอ๋องก็ยังไม่สามารถสยบฉีอ๋องลงได้ ฉีอ๋องดูแข็งแกร่งดั่งหินผา มีพละกำลังลมปราณอย่างล้นเหลือ วรยุทธก็เหนือชั้นกว่าเฉินอ๋องหลายเท่า แต่เฉินอ๋องก็สู้ยิบตาไม่ถอย จังหวะต่อมาฉีอ๋องหมุนตัวหลบ และสะบัดฝ่ามือกระแทกลงไปบนหน้าอกของเฉินอ๋องอย่างแรง แรงกระแทกทำให้เฉินอ๋องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว เฉินอ๋องรู้สึกปวดร้าวไปทั่วหน้าอกกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ฉีอ๋องที่เห็นเป็นโอกาสก็ปล่อยพลังปราณใส่เขาทันที คราวนี้แรงกระแทกของพลังทำเอาร่างเฉินอ๋องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนแทบลืมหายใจตกตะลึงมองภาพนั้นตาค้าง ซูหนี่ว์ที่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น ความโกรธแล่นเข้าสู่จิตใจจนยากจะระงับ รีบพุ่งทะยานไปรับร่างเฉินอ๋องก่อนที่จะร่วงกระแทกลงพื้น “ท่านอ๋อง!!!!” นางร้องออกไปอย่างสุดเสียง หัวใจบีบอัดอย่างรุนแรง ระหว่างที่นางพุ่งไปรับร่างของเขา แสงสีทองก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างของซูหนี่ว์ จากนั้นปีกสีทองคล้ายปีกนก ก็งอกออกมาจากกลางหลังของนาง ซูหนี่ว์รับร่างของเฉินอ๋องเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุ้มร่างของเขาบินกลับมาตร