ตะวันที่อยู่ๆก็ทะลุมิติมาในยุคจีนโบราณแบบงงๆ และนางยังได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาว นามว่าไป่ซูหนี่ว์ซึ่งมีอายุเพียงสิบห้าหนาว ตะวันได้แต่นอนหลับตาทบทวนเรื่องราวที่แสนเหลือเชื่อ เพียงแค่เธอแวะไปร้านขายของเก่า และได้พบกับกำไลโบราณวงหนึ่ง ซึ่งเธอก็รู้สึกถูกใจตั้งแต่แรกเห็น จึงคิดที่จะลองสวมดู แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะว้าป!!มาอยู่ในร่างของเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ซูหนี่ว์เป็นเพียงเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าหนาว หลังจากตกนำ้และป่วยหนักจนสิ้นใจ ตะวันที่อยู่ในยุคปัจจุบันก็เข้ามาแทนที่ แม้จะไม่อยากเชื่อแต่หลังจาก หลับๆตื่นๆอยู่หลายครั้ง และยังคงอยู่สถานที่เดิม เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า มันคือเรื่องจริง ร่างกายของซูหนี่ว์อ่อนแอเพราะป่วยมานาน ทำให้ตะวันที่มาสวมรอยรู้สึกขัดใจ อยากลุกขึ้นเดินออกไปสำรวจภายนอก แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่นอนคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ความทรงจำของร่างนี้ยังอยู่ครบ ทำให้นางไม่ต้องลำบากในการใช้ชีวิตเป็นซูหนี่ว์เท่าใดนัก ถือว่าโชคดีไม่อย่างนั้น นางคงต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม
View Moreสองเดือนต่อมาอยู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนอยากหนัก จนเขาลุกไม่ไหวที่ออกมาว่าราชกิจในท้องพระโรง หมอหลวงจึงรีบมาตรวจอาการก็ยังหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงซูหนี่ว์ที่พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นอะไร ก่อนนางจะให้หมอหลวงตรวจอีกคนเพื่อยืนยันความแน่ใจ หลังจากตรวจอาการของฮองเฮา หมอหลวงก็เผยยิ้มด้วยความยินดี“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอหลวง ที่จริงข้าก็พอจะรู้อยู่บ้างเพียงแต่อยากตรวจเพื่อความแน่ใจ สงสารแต่ฝ่าบาทที่ต้องมาแพ้ท้องแทนข้าเช่นนี้”“เดี๋ยวก็คงหายพ่ะย่ะค่ะ หากเรารู้สาเหตุก็ไม่ต้องกังวลเพียงแค่หาอะไรให้ฝ่าบาทเสวย บรรเทาอาการคลื่นไส้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหนี่ว์พอจะรู้อาการพวกนี้อยู่บ้าง เพียงแต่นึกสงสารเขาเท่านั้นเองที่ต้องมาทรมานแทนนาง ซูหนี่ว์จึงเอ่ยเบาๆ กับลูกในท้องว่า “อย่าทรมารบิดาเจ้ามากนักสงสารเขาบ้างเถอะ” เหมือนเด็กในท้องนางจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางบอก อาการของฮ่องเต้จึงเริ่มทุเลาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ โชคดีที่ช่วงนี้ราชกิจในท้องพระโรง ก็ไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวล เหล่าขุนนางเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ฮองเฮาเสนอขึ้น ท
ข่าวจากทางราชสำนักออกติดประกาศ ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์และแต่งตั้งเฉินตงหยางเป็นฮ่องเต้ ส่วนซูหนี่ว์ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ทำเอาฮือฮากันทั้งเมืองหลวง ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายคนคอยจับตาและฟังข่าวว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป เช้าวันต่อมาการประชุมในท้องพระโรงก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเป็นปกติเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อขันทีประกาศการมาของฮ่องเต้และฮองเฮา “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สีหน้าทุกคนก็บ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่เห็นว่ามีฮองเฮามาร่วมด้วย“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเหล่าขุนนางเฒ่าว่าเป็นแบบใด ซูหนี่ว์ฮองเฮาแม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่ง แต่แอบสังเกตมองเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้รอดพ้นสายตา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้หากวันนี้กล้าหาเรื่องนางละก็ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางกรมพิธีการหยุดชะงัก เมื่อฮ่องเต้ยกมือห้ามให้เขาหยุด“ก่อนที่ท่านจะพู
สามวันต่อมาการจัดทำโรงทานแจกอาหารก็มาถึง ซูหนี่ว์ให้องครักษ์ที่เป็นทหารยี่สิบคนช่วยทำ เพราะพวกเขาคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไวมาก จึงคิดจะดึงพวกเขาไว้ที่จวนส่วนทหารอีกแปดสิบคนนางส่งไปอยู่ที่วังหลวง นางจะทำโรงทานสามวัน วันแรกนางตั้งใจจะทำโจ๊กทรงเครื่อง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซึ่งนางคิดว่าดูเรียบง่ายและสะดวก อีกทั้งนางยังใส่หมูสับและไข่ เครื่องปรุงนางก็ให้คนหั่นเตรียมไว้ หากมีใครอยากจะใส่ขิง ต้นหอมผักชีซอยและกระเทียมก็สามารถใส่ได้ ก่อนนางจะยกหม้อโจ๊กมาตั้ง นางก็ให้ถิงถิงและชิงอีตั้งโต้ะเหมือนทุกครั้งเพื่อบวงสรวงอาหาร แต่ครั้งนี้นางให้ซูเจียว เฉินอ๋อง ชุนไห่ ชุนเต๋อ และบ่าวในจวนมาจุดธูปไหว้ด้วยเช่นกัน นางไม่รู้ว่าดวงวิญญาญจะจากไปเมื่อใด แต่เพราะวันนี้เป็นประหารชีวิตของสองตระกูล นางคิดว่าดวงวิญญาณอาจจะสลายและจากไป ซูหนี่ว์มองเห็นท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และบ่าว ยืนมองนางและทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอิบอย่างมีความสุข“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และดวงวิญญาณทุกดวงขอให้ไปสู่ภพที่ดีนะเจ้าคะ”“ซูหนี่ว์ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองให้ดี ปู่ได้เห็นเจ้าเติบโตมาดีเช่นนี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว” จ้าวซีห่าวเอ่ยขึ
เช้าวันต่อมาทางราชสำนักจากวังหลวงได้ส่งทหารมาปิดประกาศความผิดของสองตระกูลหลี่และตระกูลเซี๊ยะโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์ตระกูลเซี๊ยะเข้าวังหลวง ส่วนทรัพย์สินของตระกูลหลี่ยึดทรัพย์เป็นกองกลาง ซึ่งชายาเฉินในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลจ้าว จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้นางต้องการทำโรงทาน และบริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับวิญญาณที่จากไป ในท้องพระโรงฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งเฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด ที่จริงเฉินอ๋องไม่อยากรับตำแหน่งเพราะเขาอยากใช้ชีวิตอิสระนอกวังมากว่า แต่เพราะตำแหน่งรัชทายาทจะว่างไม่ได้ เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ไปชั่วคราว หลังจากเสร็จกิจจากท้องพระโรง เฉินหลงฮ่องเต้และเฉินอ๋องก็มายังห้องทรงอักษร ที่มีไท่ซ่างหวงและซูหนี่ว์รออยู่ ซูหนี่ว์อยากวางรากฐานให้ราชวงศ์มีความมั่นคง นางไม่อยากแทรกแซงการเมืองการปกครอง แต่นางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องมีลูก นางจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแม้จะดูไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม“เอาละเรามาเริ่มกันเลย ลูกสะใภ้เจ้าก็อย่าเป็นกังวล เป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไร
ฮ่องเต้สั่งให้ทหารจับกุมคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับซูหนี่ว์“ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนผิด เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ซูหนี่ว์มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น“ตระกูลหลี่สมควรถูกประหารเช่นเดียวกับตระกูลจ้าวเมื่อสิบห้าปีก่อน ติดป้ายประกาศความผิดของสกุลหลี่ว่าเคยใส่ร้ายสกุลจ้าวและโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำโรงทานแจกอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ ส่วนตระกูลเซี๊ยะ ตัดสินโทษประหารเช่นเดียวกัน ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้ากองคลัง”“ได้ข้าจะจัดการตามนี้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ลูกสะใภ้เขาคนนี้ทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็นบุญและวาสนาของชาวเป่ยเซียงจริงๆ“งานวันนี้ย้ายไปที่อุทยานเถิด หม่อมฉันให้ท่านตาและท่านแม่จัดเตรียมไว้รอแล้วเพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยยิ้มๆ “หะ…นี่เจ้า” ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก นางวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ลูกสะใภ้ผู้แสนดี“ขออภัยทุกท่านที่ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างในวันนี้ เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันได้จัดเตรียมอาหารและสุราที่อุทย
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฉินอ๋องก็ยังไม่สามารถสยบฉีอ๋องลงได้ ฉีอ๋องดูแข็งแกร่งดั่งหินผา มีพละกำลังลมปราณอย่างล้นเหลือ วรยุทธก็เหนือชั้นกว่าเฉินอ๋องหลายเท่า แต่เฉินอ๋องก็สู้ยิบตาไม่ถอย จังหวะต่อมาฉีอ๋องหมุนตัวหลบ และสะบัดฝ่ามือกระแทกลงไปบนหน้าอกของเฉินอ๋องอย่างแรง แรงกระแทกทำให้เฉินอ๋องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว เฉินอ๋องรู้สึกปวดร้าวไปทั่วหน้าอกกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ฉีอ๋องที่เห็นเป็นโอกาสก็ปล่อยพลังปราณใส่เขาทันที คราวนี้แรงกระแทกของพลังทำเอาร่างเฉินอ๋องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนแทบลืมหายใจตกตะลึงมองภาพนั้นตาค้าง ซูหนี่ว์ที่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น ความโกรธแล่นเข้าสู่จิตใจจนยากจะระงับ รีบพุ่งทะยานไปรับร่างเฉินอ๋องก่อนที่จะร่วงกระแทกลงพื้น “ท่านอ๋อง!!!!” นางร้องออกไปอย่างสุดเสียง หัวใจบีบอัดอย่างรุนแรง ระหว่างที่นางพุ่งไปรับร่างของเขา แสงสีทองก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างของซูหนี่ว์ จากนั้นปีกสีทองคล้ายปีกนก ก็งอกออกมาจากกลางหลังของนาง ซูหนี่ว์รับร่างของเฉินอ๋องเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุ้มร่างของเขาบินกลับมาตร
Comments