หลังจากทำสัญญาการค้ากันเสร็จ ซูหนี่ว์ก็ขอตัวกลับพร้อมทั้งฝากอาหารไว้ให้ลองชิม เฉินอ๋องและองครักษ์ทั้งสองสนิทกันมาก เขาไม่ถือสาว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ยอมให้ร่วมโต้ะอาหาร เพราะตั้งแต่เขามองไม่เห็น ก็ได้สองคนนี้ดูแลป้อนข้าวป้อนนำ้ เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกชนชั้นใดๆ อาหารถูกนำออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นของอาหารลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ เฉินอ๋องที่ยามปกติมิเคยใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ทว่าบัดนี้ใจกลับทนรอไม่ไหวที่จะได้ลองอาหารฝีมือนาง
“ท่านอ๋อง อาหารพวกนี้น่าตาแปลกประหลาดมากพะยะค่ะ” ชุนเต๋อรายงานเพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน “แปลกอย่างไร?” “อาหารถ้วยนี้มีเนื้อหมูสีนำ้ตาลแล้วไข่ก็สีนำ้ตาลด้วยพะยะค่ะ แต่ตรวจสอบแล้วไม่มีพิษ” ชุนเต๋อรายงาน เพราะเฉินอ๋องมองไม่เห็นเขาจึงต้องทำหน้าที่ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา ชุนไห่รีบใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมู แล้วนำไปจ่อที่ปากของเฉินอ๋อง “ท่านอ๋องอาปากพะยะค่ะ” เฉินอ๋องอ้าปากรับอาหารมาเคี้ยวอย่างช้าๆ แต่แค่เพียงลื้นเขาแตะสัมผัสถึงรสชาติ ก็ถึงกับตกตะลึงกับรสชาติที่แสนอร่อย เนื้อหมูที่นุ่มแทบจะละลายในปาก ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้กินอาหารที่มีรสชาติเลิศรสเช่นนี้ “รสชาติดีมากจริงๆ พวกเจ้าลองดู ชุนเต๋อตักอย่างอื่นมาให้ข้าลองอีก” ชุนเต๋อและชุนไห่ รีบจัดการตักอาหารอย่างอื่นมาให้เฉินอ๋อง ซึ่งเขาก็อ้าปากรับอาหารและเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ชุนไห่ที่เห็นท่าทางมีความสุขของท่านอ๋อง ก็ไม่รอช้ารีบคีบอาหารมาลองบ้าง “ท่านอ๋องนี่มันอาหารประเภทใดกัน รสชาติอร่อยสุดยอดไปเลยพะยะค่ะ ปลาทอดราดพริกก็อร่อยไม่เผ็ดจนเกินไป ผัดผักก็รสชาติดี” ชุนไห่กินไปพูดไปอย่างมีความสุข “ท่านอ๋องคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจทำการค้ากับคุณหนูไป่ ฝีมือการทำอาหารของคุณหนูไป่ เลิศล้ำหาผู้ใดเทียบได้ แต่ว่าเหตุใดท่านอ๋อง ถึงต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง จากราคาที่นางกำหนดละพะยะค่ะ?” ชุนเต๋ออดตั้งคำถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “นางเป็นคนที่พิเศษมาก ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด วันนี้พอนางมาถึงที่นี่ ดวงตาของข้าก็กลับมองเห็นได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน” “หะ!!จริงเหรอพะยะค่ะ?” ชุนไห่และชุนเต๋อร้องถามออกมาอย่างตกใจ นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็น่าเหลือเชื่อเกินไป “ใช่ ข้ายังคงต้องหาเหตุผลว่าทำไม พิษนี้ร้ายแรงขนาดหมอฝีมือดี ยังไม่สามารถรักษาข้าให้หายได้ แต่แค่นางมายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าก็สามารถมองเห็นได้ ไม่แปลกใจเลยหากนางจะตัดสินใจซื้อจวน ที่ร่ำลือกันว่ามีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่ นางคงเป็นคนที่พิเศษมากๆ แน่” เฉินอ๋องยามนี้รู้สึกว่าเขาโชคดีที่ได้รู้จักกับนาง ชาตินี้เขาไม่คาดหวังว่าจะกลับมองเห็นได้อีก แต่สวรรค์คงเมตตาส่งนางมาช่วยเหลือเขาเป็นแน่ “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราควรจะต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ หากไม่แล้วคุณหนูไป๋อาจได้รับอันตรายได้” “ใช่ ข้าก็ได้บอกนางไปบ้างแล้ว เหตุการณ์ที่ข้าถูกลอบทำร้าย ยังหาเบาะแสและตัวคนร้ายยังไม่ได้ เรื่องนี้ซับซ้อนเกินไป หากคนร้ายรู้ว่านางสามารถทำให้ข้ามองเห็น คงไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่” เฉินอ๋องและชุนเต๋อมัวแต่พูดคุยสนทนา โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าชุนไห่คีบอาหารกินไม่หยุด พอหันกลับมามองบนโต๊ะอาหารก็แทบไม่เหลือแล้ว “ท่านอ๋อง!! เจ้าตัวตะกละกวาดอาหารลงท้องเกือบหมดเเล้วพะยะค่ะ” “นี่เจ้า! ชุนไห่พรุ่งนี้งดร่วมโต๊ะมื้อเย็น!!” เฉินอ๋องเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ท่านอ๋อง!ไม่ได้นะพะยะค่ะ ให้กระหม่อมทำอย่างอื่นเถอะ อดอาหารมื้อเย็นที่คุณหนูไป๋ทำ กระหม่อมยอมตายดีกว่า” ชุนไห่โอดครวญ ฝีมือทำอาหารของคณหนูไป๋ดีขนานนี้ เขาจะยอมพลาดได้อย่างไร “ฮึเห็นแก่กินจริงๆ เลยเจ้าตัวตะกละ” ชุนเต๋ออดที่จะเอ่ยเหน็บแนมน้องชายไม่ได้ เขากับท่านอ๋องมัวแต่คุย หันกลับมาอาหารก็แทบไม่เหลือแล้ว ///////////////////// ฝ่ายซูหนี่ว์พอกลับถึงจวนสกุลไป๋ ก็รีบตรงไปหามารดาทันที เรื่องที่เฉินอ๋องเล่าให้นางฟัง ฟังดูแปลกประหลาดน่าเหลือเชื่อ จนนางต้องพยายามคิดหาเหตุผล ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ หรือจะเป็นผลพวงจากกำไลที่นางสวมใส่ เพราะหลังจากนางสวมกำไล นางก็ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ก็เกิดเหตุการณ์ แปลกประหลาดหลายอย่าง นางเองก็งงไปหมดแล้ว ซูหนี่ว์ตัดสินใจเล่าให้มารดาฟัง เพราะเฉินอ๋องต้องการให้นางช่วยเหลือเขา และเขายินดีจ่ายตามที่นางเรียกร้อง แต่ซูหนี่ว์ขอแค่ราคาอีกเท่าของราคาอาหาร นางไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวสนิทชิดเชื้อกับเชื้อพระวงศ์เท่าใดนัก จากเท่าที่ดูซีรีย์และอ่านนิยาย หากได้ไปข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์เมื่อใด ความวุ่นวายก็จะตามมาเมื่อนั้น นางจึงออกตัวเอาไว้ก่อนว่า บ้างครั้งนางอาจจะไม่ได้ไปส่งด้วยตัวเอง ซึ่งเฉินอ๋องก็เข้าใจไม่ได้บังคับแต่อย่างใด ซูหนี่ว์เล่าเรื่องราวของเฉินอ๋องให้มารดาฟัง ซึ่งซูเจียวเองก็ประหลาดใจไม่น้อย นางเคยได้ยินมาอยู่บ้าง ว่าเฉินอ๋องเคยถูกพิษในตอนที่เขาอายุเพียง14ปี จากนั้นเขาก็มองไม่เห็นอีกเลย ไม่อยากเชื่อว่าแค่ซูหนี่ว์อยู่ใกล้เขา ดวงตาก็กลับมาเห็นเป็นปกติ หรือว่าเขาทั้งสองจะมีวาสนาต่อกัน “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเจ้าไปจวนท่านอ๋องบ่อยเกินไป อาจจะดูไม่ดีและเป็นที่ครหาได้ แต่การมองไม่เห็นก็เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง แม่เข้าใจความรู้สึกของท่านอ๋องนะ” “ตอนแรกข้าก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าเพียงแต่อยากตกลงทำสัญญาค้าขายส่งอาหาร เพราะภายภาคหน้าข้าคิดอยากเปิดกิจการโรงเตี๊ยม จึงอยากหาลูกค้าไว้ล่วงหน้า และเพียงคิดว่าแค่ให้บ่าวนำอาหารส่งที่จวนท่านอ๋องคงไม่มีปํญหาอะไร แต่ทว่าตอนนี้ท่านอ๋องกลับมองเห็นเมื่อมีข้าอยู่ด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ ข้าเองก็อดสงสารท่านอ๋องอยู่เหมือนกัน จึงได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้เจ้าค่ะ อีกอย่างท่านอ๋องบอกข้าว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะว่าถ้าหากคนที่บงการอยู่เบื้องหลังรู้เข้า ข้าอาจจะไม่ปลอดภัย” “พรุ่งนี้แม่จะไปกับเจ้าด้วย แม่อยากคุยกับท่านอ๋องว่าเขาจะมีความคิดเห็นเช่นไร กับเรื่องชื่อเสียงของเจ้า หากผู้คนเห็นเจ้าเข้าออกจวนอ๋องบ่อยๆ คงไม่ดีแน่ และเราต้องมาหาสาเหตุว่าเหตุใด ท่านอ๋องถึงมองเห็นเวลามีเจ้า” ซูเจียวคิดว่าเรื่องนี้ต้องปรึกษากันให้ดี “ดีเจ้าค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้เช้าข้าอยากแวะไปที่จวนหลังใหม่ ข้าอยากไปสำรวจรอบๆ จวนอีกสักหน่อย เมื่อวานนี้ข้ายังสำรวจไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก” ซูหนี่ว์คิดว่าต้องกลับไปไขปริศนาให้กระจ่าง เพราะวิญญาณสกุลจ้าวและท่านพ่อ ต้องการความช่วยเหลือจากนาง “แม่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย” ซูเจียวยังคงกังวลจึงไม่อยากปล่อยให้นางไปคนเดียว “ท่านแม่ ข้าไปกับบ่าวรับใช้ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องภูตผีเป็นเพียงข่าวร่ำลือกันไปเท่านั้น ข้ากับท่านก็เห็นแล้วว่าเมื่อวานพวกเราไปก็ไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ” ซูหนี่ห์คิดว่าหากนางไปคนเดียว จะทำอะไรง่ายกว่ามีมารดาไปด้วย “ก็ได้ เจ้าก็ระมัดระวังตัวด้วยละ” “เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านแม่หากท่านอ๋องมองเห็นเวลามีข้าอยู่ใกล้ๆ งั้นข้าลองตัดปลายผมแล้วใส่ในถุงหอม ให้ท่านอ๋องลองห้อยติดตัว ดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ดีมั้ยเจ้าค่ะ?” “หนี่ว์เอ่อร์!! เจ้าไม่รู้รึการตัดผมให้บุรุษ ก็เหมือนให้ของแทนใจ ท่านอ๋องอาจเข้าใจผิดได้” ซูเจียวเอ่ยเตือนบุตรสาว เพราะกลัวว่านางอาจไม่รู้ “เข้าใจผิดก็ดีนะสิเจ้าค่ะ ท่านอ๋องนะหล่อเหลาสง่างามออกปานนั้น ข้าเห็นครั้งแรกยังใจละลาย หากเขาไม่สนใจข้า ข้านี่แหละจะตามเกี้ยวท่านอ๋องเอง” ซูหนี่ว์เอ่ยอย่างหมายมั่น ซูเจียวได้แต่ส่ายหน้ากับความไร้ยางอายของบุตรสาว ซูหนี่ว์กลับมาที่เรือนก็รีบชำระร่างกาย และรีบเตรียมตัวเข้านอน วันนี้นางมีเรื่องให้คิดเยอะจริงๆ แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ใจก็อดนึกถึงเรื่องของเฉินอ๋องไม่ได้เลย ตามที่เคยอ่านนิยายมามากมาย ครอบครัวของราชวงศ์ มักแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในอำนาจ หากเป็นอย่างในนิยายที่เคยอ่าน นางก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยจริงๆ หรือว่านางจะขอถอนตัวดี แต่ว่าเฉินอ๋องก็น่าสงสาร นางจะปล่อยให้เขาอยู่อย่างทนทุกข์ได้อย่างไร สนุกกันมั้ยค่ะชอบไม่ชอบบอกกันหน่อยนะคะ ขอคอมเมนท์กำลังใจให้กับคุณแม่แฝดสามกันหน่อยนาาาาาจะได้มีแรงเขียนบทต่อไปสองเดือนต่อมาอยู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนอยากหนัก จนเขาลุกไม่ไหวที่ออกมาว่าราชกิจในท้องพระโรง หมอหลวงจึงรีบมาตรวจอาการก็ยังหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงซูหนี่ว์ที่พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นอะไร ก่อนนางจะให้หมอหลวงตรวจอีกคนเพื่อยืนยันความแน่ใจ หลังจากตรวจอาการของฮองเฮา หมอหลวงก็เผยยิ้มด้วยความยินดี“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอหลวง ที่จริงข้าก็พอจะรู้อยู่บ้างเพียงแต่อยากตรวจเพื่อความแน่ใจ สงสารแต่ฝ่าบาทที่ต้องมาแพ้ท้องแทนข้าเช่นนี้”“เดี๋ยวก็คงหายพ่ะย่ะค่ะ หากเรารู้สาเหตุก็ไม่ต้องกังวลเพียงแค่หาอะไรให้ฝ่าบาทเสวย บรรเทาอาการคลื่นไส้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหนี่ว์พอจะรู้อาการพวกนี้อยู่บ้าง เพียงแต่นึกสงสารเขาเท่านั้นเองที่ต้องมาทรมานแทนนาง ซูหนี่ว์จึงเอ่ยเบาๆ กับลูกในท้องว่า “อย่าทรมารบิดาเจ้ามากนักสงสารเขาบ้างเถอะ” เหมือนเด็กในท้องนางจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางบอก อาการของฮ่องเต้จึงเริ่มทุเลาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ โชคดีที่ช่วงนี้ราชกิจในท้องพระโรง ก็ไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวล เหล่าขุนนางเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ฮองเฮาเสนอขึ้น ท
ข่าวจากทางราชสำนักออกติดประกาศ ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์และแต่งตั้งเฉินตงหยางเป็นฮ่องเต้ ส่วนซูหนี่ว์ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ทำเอาฮือฮากันทั้งเมืองหลวง ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายคนคอยจับตาและฟังข่าวว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป เช้าวันต่อมาการประชุมในท้องพระโรงก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเป็นปกติเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อขันทีประกาศการมาของฮ่องเต้และฮองเฮา “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สีหน้าทุกคนก็บ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่เห็นว่ามีฮองเฮามาร่วมด้วย“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเหล่าขุนนางเฒ่าว่าเป็นแบบใด ซูหนี่ว์ฮองเฮาแม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่ง แต่แอบสังเกตมองเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้รอดพ้นสายตา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้หากวันนี้กล้าหาเรื่องนางละก็ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางกรมพิธีการหยุดชะงัก เมื่อฮ่องเต้ยกมือห้ามให้เขาหยุด“ก่อนที่ท่านจะพู
สามวันต่อมาการจัดทำโรงทานแจกอาหารก็มาถึง ซูหนี่ว์ให้องครักษ์ที่เป็นทหารยี่สิบคนช่วยทำ เพราะพวกเขาคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไวมาก จึงคิดจะดึงพวกเขาไว้ที่จวนส่วนทหารอีกแปดสิบคนนางส่งไปอยู่ที่วังหลวง นางจะทำโรงทานสามวัน วันแรกนางตั้งใจจะทำโจ๊กทรงเครื่อง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซึ่งนางคิดว่าดูเรียบง่ายและสะดวก อีกทั้งนางยังใส่หมูสับและไข่ เครื่องปรุงนางก็ให้คนหั่นเตรียมไว้ หากมีใครอยากจะใส่ขิง ต้นหอมผักชีซอยและกระเทียมก็สามารถใส่ได้ ก่อนนางจะยกหม้อโจ๊กมาตั้ง นางก็ให้ถิงถิงและชิงอีตั้งโต้ะเหมือนทุกครั้งเพื่อบวงสรวงอาหาร แต่ครั้งนี้นางให้ซูเจียว เฉินอ๋อง ชุนไห่ ชุนเต๋อ และบ่าวในจวนมาจุดธูปไหว้ด้วยเช่นกัน นางไม่รู้ว่าดวงวิญญาญจะจากไปเมื่อใด แต่เพราะวันนี้เป็นประหารชีวิตของสองตระกูล นางคิดว่าดวงวิญญาณอาจจะสลายและจากไป ซูหนี่ว์มองเห็นท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และบ่าว ยืนมองนางและทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอิบอย่างมีความสุข“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และดวงวิญญาณทุกดวงขอให้ไปสู่ภพที่ดีนะเจ้าคะ”“ซูหนี่ว์ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองให้ดี ปู่ได้เห็นเจ้าเติบโตมาดีเช่นนี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว” จ้าวซีห่าวเอ่ยขึ
เช้าวันต่อมาทางราชสำนักจากวังหลวงได้ส่งทหารมาปิดประกาศความผิดของสองตระกูลหลี่และตระกูลเซี๊ยะโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์ตระกูลเซี๊ยะเข้าวังหลวง ส่วนทรัพย์สินของตระกูลหลี่ยึดทรัพย์เป็นกองกลาง ซึ่งชายาเฉินในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลจ้าว จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้นางต้องการทำโรงทาน และบริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับวิญญาณที่จากไป ในท้องพระโรงฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งเฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด ที่จริงเฉินอ๋องไม่อยากรับตำแหน่งเพราะเขาอยากใช้ชีวิตอิสระนอกวังมากว่า แต่เพราะตำแหน่งรัชทายาทจะว่างไม่ได้ เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ไปชั่วคราว หลังจากเสร็จกิจจากท้องพระโรง เฉินหลงฮ่องเต้และเฉินอ๋องก็มายังห้องทรงอักษร ที่มีไท่ซ่างหวงและซูหนี่ว์รออยู่ ซูหนี่ว์อยากวางรากฐานให้ราชวงศ์มีความมั่นคง นางไม่อยากแทรกแซงการเมืองการปกครอง แต่นางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องมีลูก นางจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแม้จะดูไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม“เอาละเรามาเริ่มกันเลย ลูกสะใภ้เจ้าก็อย่าเป็นกังวล เป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไร
ฮ่องเต้สั่งให้ทหารจับกุมคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับซูหนี่ว์“ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนผิด เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ซูหนี่ว์มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น“ตระกูลหลี่สมควรถูกประหารเช่นเดียวกับตระกูลจ้าวเมื่อสิบห้าปีก่อน ติดป้ายประกาศความผิดของสกุลหลี่ว่าเคยใส่ร้ายสกุลจ้าวและโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำโรงทานแจกอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ ส่วนตระกูลเซี๊ยะ ตัดสินโทษประหารเช่นเดียวกัน ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้ากองคลัง”“ได้ข้าจะจัดการตามนี้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ลูกสะใภ้เขาคนนี้ทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็นบุญและวาสนาของชาวเป่ยเซียงจริงๆ“งานวันนี้ย้ายไปที่อุทยานเถิด หม่อมฉันให้ท่านตาและท่านแม่จัดเตรียมไว้รอแล้วเพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยยิ้มๆ “หะ…นี่เจ้า” ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก นางวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ลูกสะใภ้ผู้แสนดี“ขออภัยทุกท่านที่ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างในวันนี้ เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันได้จัดเตรียมอาหารและสุราที่อุทย
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฉินอ๋องก็ยังไม่สามารถสยบฉีอ๋องลงได้ ฉีอ๋องดูแข็งแกร่งดั่งหินผา มีพละกำลังลมปราณอย่างล้นเหลือ วรยุทธก็เหนือชั้นกว่าเฉินอ๋องหลายเท่า แต่เฉินอ๋องก็สู้ยิบตาไม่ถอย จังหวะต่อมาฉีอ๋องหมุนตัวหลบ และสะบัดฝ่ามือกระแทกลงไปบนหน้าอกของเฉินอ๋องอย่างแรง แรงกระแทกทำให้เฉินอ๋องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว เฉินอ๋องรู้สึกปวดร้าวไปทั่วหน้าอกกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ฉีอ๋องที่เห็นเป็นโอกาสก็ปล่อยพลังปราณใส่เขาทันที คราวนี้แรงกระแทกของพลังทำเอาร่างเฉินอ๋องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนแทบลืมหายใจตกตะลึงมองภาพนั้นตาค้าง ซูหนี่ว์ที่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น ความโกรธแล่นเข้าสู่จิตใจจนยากจะระงับ รีบพุ่งทะยานไปรับร่างเฉินอ๋องก่อนที่จะร่วงกระแทกลงพื้น “ท่านอ๋อง!!!!” นางร้องออกไปอย่างสุดเสียง หัวใจบีบอัดอย่างรุนแรง ระหว่างที่นางพุ่งไปรับร่างของเขา แสงสีทองก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างของซูหนี่ว์ จากนั้นปีกสีทองคล้ายปีกนก ก็งอกออกมาจากกลางหลังของนาง ซูหนี่ว์รับร่างของเฉินอ๋องเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุ้มร่างของเขาบินกลับมาตร