LOGINเมื่อเสียงประกาศดังลั่นออกไปทั่วตลาด ชายหนุ่มผู้มีฐานะและผู้ไม่มีอะไรเลย ทยอยเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
เมื่อเหล่าชายโสดมามากพอ ท่านพ่อไม่รอช้าที่จะเอ่ยข้อเสนอ "ผู้ใดอยากแต่งงานกับลูกสาวข้า ยกให้เลยแถมข้าวฟรี 10 กระสอบ" ผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็ต่างซุบซิบกันเหมือนผึ่งตอมดอกไม้ เพราะข้อเสนอข้าว 10 กระสอบทำให้ชายโสดผู้มีฐานะต่ำต้อยนั้นเกิดความโลภมาก "พี่สาวข้า ท่านเลือกเองเถิด" เฟิ่งจูพูดเย้ยเบาๆ " แน่นอนถ้าข้ามีสิทธิ์เลือกสามีเอง" นางตอบอย่างมั่นใจ นางยืนคิดพิจารณาอย่างรอบคอบท่ามกลางชุลมุนรอบด้าน นางเหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งที่ผมหยิกๆหน้าตามอมแมมเสื้อผ้าขาดเป็นรู ดูท่าทางซื่อๆ กำลังเดินหาอาหารตามพื้นที่ ซูเหยาเห็นแล้วสงสารเหลือเกิน อยากจะช่วยเหลือชายผู้นั้นให้กินอิ่มทุกมื้อไม่ต้องมาเป็นขอทานเร่ร่อนเช่นนี้ "เจ้า...เจ้านั้นแหละ" ซูเหยาเรียก เหล่าชายโสดก็เงียบเสียงลงทันที "แม่หญิง...เรียกข้าทำไมรึ" เขาผู้หิวโหยพูดตะกุกตะกักเดินเข้ามาช้า ๆ แต่ไม่อาจจะเข้ามาใกล้นางเกินไป กลัวว่านางจะรังเกียจ "เจ้าอยากแต่งงานงานกับข้าหรือไม่" ชายผู้หิวโหยไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ว่ามองไปรอบ ๆ สายตาอื่น ๆ ที่มองมาเหมือนดูถูก เพราะตนไม่มีงานมีการจะไปคู่ควรกับหญิงงามได้อย่างไร แต่ไม่ทันที่ชายผู้หิวโหยจะได้ตอบกลับ ซูเหยาจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง "ขอแค่เจ้าซื่อสัตย์แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว" นางขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้ๆแล้วเอ่ยบอก ชายผู้หิวโหยตอบตกลง ทันใดนั้นซูเหยาก็คว้ามือชายแต่งตัวมอมแมมมายืนข้าง ๆ ต่อหน้าผู้คนมากมาย ดวงตาแดงก่ำเริ่มมีน้ำตาระรื่นออกมาพร้อมรอยยิ้มเหมือนหลุดพ้น การเรียกร้องความเห็นใจก็เริ่มต้นขึ้น "ข้าถึงจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลสามเป็นลูกภรรยาหลวงที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หลายปีมานี่ข้ามีชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ เงินเดือนที่ท่านพ่อส่งให้ก็ไม่เคยถึงมือ ข้าจึงอยู่อด ๆ อยาก ๆ ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องทำงานหนักเหมือนคนใช้ ที่ข้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าอยากจะขอบใจน้องสาวและท่านพ่อที่ดูแลข้า จนวันนี้ข้าแต่งงานออกเรือน" นางพูดจบ ซูเหยายกผ้ามาเช็ดน้ำตา แต่แอบซ่อนรอยยิ้มไวที่ใต้ผ้า แม่ค้าที่ได้ยินก็นึกสงสาร ซูเหยาทุกคนต่างซุบซิบนินทา น้องสาวกับท่านพ่อ ส่วนเหล่าบุรุษมีฐานะก็ต่างพูดกันสนุกปาก "ตระกูลสามนี่ช่างลำเฮียงจริง" ชายโสดกล่าว "นั้นสิ...หลงอนุจนลืมลูกสาวแท้ ๆ" ชายข้าง ๆ กล่าวเสริม " ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้" อีกคนพูดขึ้น " หึ...ลูกอายุก็ไม่สวยเท่าพี่สาวเลย" อีกคนพูดขึ้น " ใช่ท่าทางดูไม่เจียมตัว..ลูกอนุยังไงก็ลูกอนุอยู่วันยังค่ำ หากข้าเลือกคู่ชีวิต เฟิ่งจูไม่ผ่านในสายตาข้าเลย ข้าเห็นมาเยอะแล้ว เขาว่าลูกอนุนนิสัยใจคอจะเหมือนแม่ ชอบทำลายคนรอบครัวผู้อื่นแม่เป็นเช่นไร ลูกก็จะเป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน" ขุนนางกล่าว แล้วเดินออกไป เสียงนินทาดังต่อเนื่อง คุณหนูเฟิ่งจูนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน ได้แต่หลบหลังท่านพ่อ เพราะอายที่ถูกประจาน และยังถูกขุนนางตำหนิ จากที่มั่นใจว่าจะทำให้พี่สาวเสียหน้า แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วคนที่เสียหน้าก็คือเฟิ่งจูเอง "หุบปาก..อย่ามาใส่ร้ายข้า" เฟิ่งจูคุมอารมณ์ไม่อยู่สติหลุด ตะโกนลั่นบอกให้ทุกคนเงียบปาก เดินกระแทกพื้น ตับ ตับ มองซ้ายมองขวาลุกลนไม่กล้าสบตาผู้อื่นตรง ๆ ผู้คนก็เริ่มแยกย้าย ตีวงออก แต่เสียงนินทากลับลือต่อกันสนุกปาก "ซูเหยานางลูกสาวอัตตัญญู " ท่านพ่อชี้หน้าด่าซูเหยา "แล้วอย่างไรรึ" ซูเหยายื่นหน้า เชิดใส่ "พี่สาว..พูดเช่นนี้ไม่เห็นหัวท่านพ่อเลยรึ" เฟิ่งจูตีหน้าเศร้าเอ่นถาม ในขณะที่ท่านพ่อกำลังโมโห "แต่ที่ข้าเล่าไปนั้น มันเรื่องทั้งนั้น" ซูเหยาตอบ ซูเหยา รีบเดินหันหลังพร้อมกุมมือชายผู้หิวโหยออกจากตลาด ส่วนสองพ่อลูกพูดไม่ออกเหมือนถูกซูเหยาลากมาประจาน เหตุการณ์ผลิกผันไม่เหมือนกับตอนที่วางแผนไว้ "ท่านพ่อ รีบกลับที่พักเถิดข้าว่า ซูเหยาต้องกลับไปเก็บข้าวของแล้วย้ายออกไปพร้อมชายต่ำช้าผู้นั้น" " อืม" ท่านพ่อพยักหน้า ซูเหยาเก็บแค่ของสำคัญไม่ได้เอาอะไรไปมาก นางนั้นก้มหน้าก้มตาพับผ้า เสียงนินทาในเรือนดังไกลมาเป็นระยะ สาวใช้เหล่านั้น ต่างพูดลับหลังว่าได้แต่งงานกับชายยากจนอีกทั้งยังไม่มีการแต่งที่เป็นพิธีการ อย่างกับขายทาสออกเรือน ซูเหยาไม่เก็บเอาคำพูดเหล่านี้มาใส่ใจ แต่คนที่ใส่ใจคือชายผู้หิวโหย เขารู้สึกรังเกียจคำพูดสกปรกที่ออกมาจากสาวใช้ คิดเเล้วรู้สึกเดือดแทน "ที่ผ่านมานางต้องเจออะไรบ้าง" พึมพัมเงียบๆ ยืนกันหลังมองรอบ ๆ " เจ้า...สามีข้าอยากรู้จักชื่อท่าน" เสียงแผ่วเบาเดินออกมาพร้อมข้าวของ ตนหันไปมองหญิงสาวสบตาแน่นิ่ง "ข้ามีนามว่า...หานเฟิง" หานเฟิงเอ่ยเรียบแต่ถ่อมตัว "หานเฟิง..แปลว่าคมดั่งคมดาบในสายลมหนาว ความหมายไม่เลว" หานเฟิงพยักหน้า...ยื่นมือหยาบด้านไปช่วยถือของให้ซูเหยา เพราะสบตากับนางแล้วเขินอาย "สามีข้า ..อายเป็นด้วย" ซูเหยาคิดในใจ ยกยิ้มมุมปากในขณะนั้นนางกำลังจะยืนบนเก้าอี้ไม้เพื่อจะตากปลาบนหลังคาท่ามกลางแสงแดด"โอ๊ย...."ปลายเท้าลื่นสะดุดกำลังจะล้มลงทันใดนั้นเจาเฟิงรีบมาประคองร่างบางๆ ไว้ในอ้อมกอด ต่างฝ่ายสบตากัน เหมือนถูกชะตา แต่เมื่อนางรู้ตัวก็รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเพียงชั่วคราว"ท่านเป็นผู้ใดรึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย"นางยืนตัวเกรงในขณะถามกลับไป" ข้าคือองค์ชายเจาฟิง" "หึ....เจาเฟิงรึ ชื่อนี้ข้าไม่รู้จักข้าอยู่แต่ในหุบเขาเลยไม่รู้" นางขมวดคิ้ว"แต่ข้ารู้จักเจ้านะ" " ท่านไปรู้จักข้าตั้งแต่ตอนไหน" นางถาม"พี่สาวเจ้าเล่าให้ข้าฟัง" " ห๊า....พี่สาวข้ารึ" เจาเฟิงพยักหน้า" เช่นนั้นท่านรับได้รึท่านก็รู้ว่าข้านั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นท่านจะใจกว้างเปิดใจให้ข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" "ข้าดูคนออก. .แล้วอีกอย่างเจ้าก็ต้องใจกับข้ามิใช่หรือ"" ท่านรู้ได้อย่างไร" นางถาม" สังเกตจากท่าทางของเจ้า" เจาเฟิงตอบทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ เฟิ่งจูทดสอบเจาเฟิง"เช่นนั้นท่านจะทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาอยู่ที่กับข้าได้หรือไม่" เจาเฟิงเงียบไปชั่วคราวเมื่อได้ยินคำถาม ในใจเฟิ่งจูตอนนี่คงได้คำตอบแล้วละว่าเจาเฟิงไม่อยากมาอยู่ที่นี่
"ท่านพ่อข้าทำให้ท่านพ่อเสียตำแหน่งรองแม่ทัพ" เฟิ่งจูปากสั่นในขณะที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ"อย่าร้อง .." แม่ทัพเช็ดคราบน้ำตาให้บุตรสาวหลังจากที่ปลอบใจบุตรสาวอยู่สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกเดินทางไปยังชนบทเพราะตอนนี้ตำหนักถูกยึดเป็นของหลวง ส่วนเงินที่เหลือมีเพียงพอที่จะซื้อบ้านแต่ไม่พอที่จะใช้ชีวิตให้อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนทั้งสองขึ้นรถม้าวิ่งไปยังชนบทอันห่างไกลไม่รู้จุดหมายปลายทาง ว่าจะลงเอยที่ใด ต้องถามชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ว่าที่ดินหรือบ้าน ที่ใดกำลังถูกขาย โชคดีที่มีบ่าวรับใช้และสาวใช้ 2 คนเดินทางไปด้วยจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปไม่นานนักทั้งสองก็ได้ที่อยู่ใหม่ใกล้หุบเขาลำธารแม่น้ำสายใหญ่จากฝั่งตะวันออกที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ที่นี่มีคนอาศัยอยู่แค่ 20 คน ดูเหมือนไม่วุ่นวายและอยู่กับธรรมชาติอยู่ในที่ที่คนไม่แออัด นางจะได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาส่วนหานหารเฟิงกับซูเหยาเริ่มติดต่อเจรจาการค้ากับดินแดนเหนือและดินแดนใต้ ทางด้านการเกษตร อื่นๆอีกมากมายที่กำลังจะส่งออกในปีหน้า ซูเหยานั้นสั่งซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์พืชผลไม้หายากจากภพปัจจุบัน หลายอย่างที่ในยุคโบราณนั้นไม่มี นางกับสามีได้จัดแ
"ไม่ได้ข้าต้องหาทางออกหนีไปจากที่นี่" นางพยายามหาที่นั่งแต่จะนั่งตรงไหนก็มีแต่ฝุ่นส่วนที่นั่งได้ก็คือฟาง แต่ห้องข้าง ๆ กับได้กลิ่นอาหารบูดเน่า ทำให้นางอยากจะอาเจียนออกมาเป็นร้อย ๆ รอบ ในคุกแห่งนี้ไม่มีผ้าห่มมีแต่ฟางที่วางซ้อนกันให้นักโทษนอนหลับ สวนอาหารก็เป็นแค่ข้าวต้มจะมีเนื่อหมูแค่ 2 ครั้ง 7 วัน เนื้อหมูเหล่านั้นเป็นเศษเนื้อหมูที่ใกล้เสียเสียด้วย"เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้" เฟิ่งจูกำมือแน่นไม่อยากพ่ายแพ้ให้ซูเหยาน้ำสมน้ำหน้าตนเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระยะ นางรีบลุกจับกรงเขย่าเอียงตามองไปข้างนอก ผู้ใดกันนะกำลังเดินมาที่นี่"ท่านพ่อ...." ปรากฏว่าผู้นั้นคือท่านพ่อกำลังเดินมาหานางด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้า "เฟิ่งจู...ลูกเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างในทรมานหรือไม่" ได้ยินท่านพ่อถาม น้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากตา"ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว" นางสะอื้นเสียงแผ่ว" ไม่ต้องกลัวนะพ่อจะนำอาหารที่ลูกชอบมาให้ทุกๆวันเลย" ท่านพ่อยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"หากรู้ว่าผิดแล้วต่อไปก็อย่าทำอีก" ท่านพ่อน้ำตาคลอเบ้าพร้อมให้กำลังใจลูก"ท่านพ่อ....หากข้าต้องโทษประหาร..ทรัพย์สินที่เหลือข้าขอบริจาคให้ชาวบ้าน เป็นการทดแทนที่ข้าน
"ข้าพูดขอรับฝ่าบาทข้ายอมพูดแล้ว" ทหารชั้นผู้น้อยจึงเล่าว่าตนนั้นเป็นแค่เพียงทหารธรรมดาแต่เมื่อภรรยาและลูกไม่สบายไม่มีเงินรักษาจึงจำใจ ต้องยักยอกเงินภาษีเพราะท่านเสนาแนะนำมาเป็นการส่วนตัวจนถึงทุกวันนี้ข้ากับภรรยาก็ไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อน ทหารชั้นผู้น้อยเล่าจบก็ขอชีวิตฝ่าบาทให้อภัยโทษอย่าประหารลูกกับเมียของตนเลย"ได้ข้าอภัยโทษให้" ทหารชั้นผู้น้อยรีบก้มคำนับ อย่างน้อยก็ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อลูกและภรรยา"หึ..ว่าอย่างไรเสนาหมิงเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่" เสนาหมิงหน้าก้มตาอัดอั้นในใจ ไม่นานนักเสนาก็สารภาพ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆนั้นและผู้บงการทั้งหมดนั่นก็คือ เฟิ่งจูบุตรสาวคนรองตระกูล 3"จริงรึ .." ฝ่าบาทถาม"จึงขอรับฝ่าบาทข้าเองก็ถูกความโลภครอบงำ"" ข้าไม่คิดว่าบุตรสาวตระกูลสามช่างบังอาจนักที่ทำเรื่องชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ " หลังจากนั้นฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปนำตัวคุณหนูเฟิ่งจูพร้อมบิดามาที่นี่ให้เร็วที่สุดฝ่าบาทนั่งคอยอยู่สักพักสองพ่อลูกก็ถูกคุมตัวเข้ามา ส่วนคนเป็นพ่อนั้นสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตนนั้นไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร นี่ถึงขนาดองครักษ์ต้องคุมตัวเลยหรือ"ฝ่าบาทมีเรื่อง
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาก่อนเวลาข้าเคยบอกมิใช่หรือว่าอย่าทำตามเกินคำสั่ง" ทหารของเสนาหมิงกล่าว" ถ้าใจร้อนไปหน่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลย" " เอาละช่างมันเถอะ" ทหารผู้น้อยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วยังบอกอีกว่าให้หยุดค้นการเก็บภาษีครั้งนี้ เพราะองค์ชายหานเฟิงจะทำการตรวจสอบ เส้นทางการเงินย้อนไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนการเก็บภาษีครั้งนี้ค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน แค่เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ก่อน"เช่นนั้นหรือ" หานเฟิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆตื่นตัวพร้อมที่จะจู่โจมทหาร"ไม่มีโอกาศสำหรับทหารผู้น้อยทรยศเช่นเจ้า" หานเฟิง ชักดาบออกมาข่มขู่แล้วถีบไปที่หน้าอกจนทหารนั้นหงายหลังไปกระแทกพื้น ต่อมาเขาก็กระโดดฟาดเตะก้านคอทหารอีกคนจนล้มประเด็นไปโดนข้าวของที่ชาวบ้านตากไว้ ส่วนอีกคนถูกกำปั้นชกไปที่เบ้าหน้าตาทั้งสองข้างเขียวช้ำ "จับมันไปขังคุกใต้ดิน" เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าหานเฟิงออกคำสั่งให้องครักษ์นำทหารชั้นผู้น้อยที่ทรยศเหล่านี้ไปขังไว้ในใต้ดินอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่ก่อนจะนำตัวพวกมันไปหานเฟิงต้องการรู้ว่าทหารเหล่านี้ใช้สัญญาณลับอะไรในการสื่อสารกับเสนาหมิง แล้วมีทหารผู้ใดบ้างที่เป
"ข้าดีใจด้วยที่พวกท่านนั้นอยู่สุขสบายมากกว่าเมื่อก่อนอีกทั้งทุกคนกินอิ่มนอนหลับ ข้าทั้งสองก็ดีใจมากแล้วอีกอย่างของเหล่านี้ข้านั้นกินคนเดียวไม่หมดหรอกเช่นนั้นข้าจะทำอาหารเลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าทั้งหมู่บ้านเลยดีหรือไม่" จูเหยาจับมือยายชราส่งรอยยิ้มที่จริงใจในขณะที่พูดจบ"ดีๆๆข้าน่ะอยากกินฝีมือเจ้า ฝีมือเจ้านี่มันสุดยอดจริงๆหาผู้ใดเปรียบได้ยาก" "ข้าขอผู้ช่วยสัก 5-6 คนได้หรือไม่" " ได้สิแม่นาง" ยาชรากล่าวส่วนสามสหายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ดีใจมากจะได้กินอาหารอร่อยๆอีกครั้งพวกเขาก้าวเดินนำหน้าและเสนอตัวที่จะเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มใจ"พระชายาถ้าเต็มใจจะช่วยท่าน" "ข้าจะได้เรียนรู้และทำตาม" " ข้าด้วยข้าจะเอาไปสอนเมียที่บ้านจะได้ทำอาหารร่อยๆหน่อย"" ฮ่าๆ.." ทุกคนหัวเราะคึกคักเบาๆจากนั้นทุกคนช่วยกันจัดเตรียมอาหารแยกเป็นหมวดหมู่ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าวันนี้ไม่แม่นางนั้นจะทำอะไร ช่วยได้เพียงเตรียมวัตถุดิบให้ครบตามที่ไม่แม่นางนั้นต้องการผ่านไป 5 ชั่วยามอาหารพิเศษก็เสร็จแล้วแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง1"เป็ดย่างกรอบนอกนุ่มใน"2"ผัดกระต่ายรสจัดนัวๆ"3" ข้าวต้มใส่เนื้อหมูสำหรับเด็กๆ"4" ขนมจีบไส้ไก่และไส้หมู" 5







