LOGINเสียงที่คุ้นเคยกำลังมาหาซูเหยา ดักทางเข้าออกไม่อยากให้นางนั้นออกไป เพราะท่านพ่อคิดว่านางนั้นขโมยสมบัติอย่างอื่นไปด้วยจึงขอให้สาวใช้ข้าวของที่อยู่ในมือ
"ค้นมันออกมา" ท่านพ่อสั่งสาวใช้เสียงแข็ง "หยุดนะ " ซูเหยาเดินมาบังของส่วนตัว "นี้เจ้า...กล้าขัดคำสั่งข้ารึ" "ใช่...ท่านไม่มีสิทธิ์มาค้นอะไรของข้าเพราะที่ผ่านมาท่านไม่ได้ให้อะไรข้าเลย ท่านทำเช่นนี้มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ" " พี่สาว..อย่าว่าท่านพ่อผู้อื่นเห็นเข้าจะดูไม่ดีนะเจ้าคะ" เฟิ่งจูงเอ่ยแทรก " หึ..เรื่องเอาดีเข้าตัวน้องสาวช่างถนัดเสียจริง" ซูเหยาพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจ "ไม่ต้องไปสนใจนางข้าสั่งให้พวกเจ้าค้น" ท่านพ่อยกมือสั่งการกระดิกนิ้วสาวใช้ 6-7 คนเดินเข้ามาพร้อมๆกัน แต่ท่าทางไม่ได้เหมือนจะมาขนของเหมือนจะมารุมทำร้ายมากกว่า จึงตั้งรับเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ "ถอยออกไปไม่เช่นนั้น ตาย" ซูเหยาเดินอย่างองอาจไปหยิบไม้หน้าสามยกขึ้นสูง ข่มขู่ มองจิกไม่ยอมปล่อย "ถอย ๆ ข้ากลัวหน้าเสียโฉม" สาวใช้พึมพัมเบาๆแล้วถอยออกไปทีละคน " จ้าวจ้าวนำของส่วนตัวของข้าไปไว้ที่เกวียนม้า" จ้าวจ้าวได้ยินคำสั่งก็รีบนำเข้าของส่วนตัวออกไปอย่างทันท่วงที สามีนั้นอยากจะเข้ามาช่วยเหลือ ซูเหยากลับบอกให้สามีมาหลบอยู่ข้างหลังนางนางจะปกป้องสามีเอง "พี่สาว...แต่งออกไปแล้วพี่คงจะลำบากน่าดู" เฟิ่งจูพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องมาเป็นห่วงข้า ข้าดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้หลุดพ้นจากนรก ไม่สิจะว่านรกก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าถิ่นหมาจรไร้เจ้าของ" พูดจบนางก็เดินออกไปเชิด ๆ สวย ๆ ไม่สนใจอะไรปล่อยให้คุณหนูเฟิ่งจู โมโหกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ และพาลไปด่าสาวใช้ ว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ส่วนท่านพ่ออายุมากแล้วก็ด่ากลับไม่ทัน ได้แต่ยืนอึ้งกว่าจะคิดคำด่าออก โน้น..ลูกสาวออกจากประตูบ้านไปแล้ว "หลุดพ้นเสียที" ซูเหยากางแขนออกรับลมบริสุทธิ์ที่หน้าเรือน เหมือนได้ปลดปล่อยจากพันธนาการ ที่ทำให้ชีวิตเจ้าของร่างเดิมนั้นตกต่ำ "เราจะไปไหนกันดี" ซูเหยาถาม "ภรรยาข้ามีเรือนอยู่ เจ้าจะไปอยู่ที่พักข้าหรือไม่" หานเฟิงถามกลับ " ไปสิ..." หานเฟิงหันขวับคิดในใจว่าทำไมไม่ถามต่อว่าที่พักอยู่ที่ไหนสะดวกสบายเหมือนที่เรือนตระกูลสามไหม "เจ้าแน่ใจรึ เรือนข้าไม่ได้ใหญ่มาก แล้วก็ไม่สวยสะกดตา" หานเฟิงพลางเอ่ยก้มหน้าลงพูดเสียงเเผ่ว "หากข้ายังจะถามเรื่องพวกนี้กับเจ้าเช่นนั้นข้าจะเลือกเจ้ามาเป็นสามีทำไมรึ เอาเถิดอย่าได้กังวลใจไปข้าก็คนเหมือนเจ้านั่นแหละไม่แบ่งแยกชนชั้นหรอก" หานเฟิงยิ้มแอบ ๆพยักหน้า หลังจากนั้นเกวียนม้าก็ออกเดินทาง จ้าวจ้าวเป็นผู้คุ้มม้า ซูเหยาและหานเฟิงนั่งอยู่ในรถม้ากันสองคน ในขณะที่อยู่กันสองต่อสอง หานเฟิงสังเกตท่าทางการพูดการจาอริยบททุกอย่าง ตนคิดว่าสตรีผู้นี้ไม่เหมือนสตรีผู้อื่นที่ตนนั้นเคยเจอ ไหน ๆ ก็แต่งงานกันแล้วแถมยังได้ข้าวมาสิบกระสอบ หานเฟิงเลยนำแหวนที่พ่อแม่มอบไว้ให้เป็นสินสอดให้ซูเหยา หานเฟิงหยิบแหวนออกมาจากเสื้อผ้าที่ทับซ้อนกันหลายชั้น "ข้าให้" แหวนเขียวอ่อนมรกตใสแวววาวสะท้อนตาซูเหยา วิบวับดั่งเพชรพลอย "ว้าว...ท่านไปขโมยแหวนวงนี้มาจากที่ใดกัน" ซูเหยาหยิบมันขึ้นมาใกล้ ๆ " ข้าไม่ได้ขโมยนี้เป็นของมีข้าชิ้นเดียวที่แม่ข้ามอบไว้ให้" หานเฟิงกล่าวหนักแน่นไม่หลบสายตา " จริงนะ" ซูเหยาถามซ้ำอีกรอบ "จริง..ข้าไม่ได้โกหกเจ้า" "เช่นนั้นขอบใจนะ" หานเฟิงยิ้มรับ ตึก..ตุบ! อ๊าย..! ล้อรถม้าสะดุดก้อนหิน บั้นท้ายเด้งขึ้นลงตามจังหวะ เอียงลำตัวไปนั่งตักหานเฟิง มือทั้งสองข้างจับไหล่หานเฟิงไว้แน่น จนนิ้วเกร็ง ทั้งสองจ้องตากันราวกับว่ามีแรงดึงดูด หานเฟิงได้สติดวงตากระพริบ รีบถามนางว่า "เจ็บตรงไหนหรือไม่" ถามครั้งแรกยังไม่ตอบซูเหยาเอาแต่มองหน้าหานเฟิง หานเฟิงจึงโอบเอวซูเหยากลับไปนั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว "โอ๊ย..." ในระหว่างที่อุ้มนั้นนางเจ็บหัวเข่าเล็กน้อย ตอนนี่แหละนางจึงรู้สึกตัวทันที "บ้าไปแล้ว..." นางหยีตาเป็นขีดเก็บความอายซ่อนไว้ "ข้าเจ็บหัวเข่า" ซูเหยาตอบ นางกำลังจะยกชายกระโปรงขึ้นทว่าในวินาทีนั้นหานเฟิงรีบหันหลังให้ทันที "ซูเหยา ต่อไปอย่าเลิกผ้าขึ้นต่อหน้าชายอื่นแบบนี้นะ มันดูไม่เหมาะสม" หานเฟิงเอามือปิดตาพลางเอ่ยบอก ซูเหยานางแอบยิ้มน้อย ๆ ไม่คิดว่าชายสมัยโบราณจะให้เกียรติสตรี แต่ในทางกลับกันแค่เห็นส่วนเนื้อของร่างกาย นั้นดูไม่เหมาะสม "หึ...โลกปัจุบันที่จากมา ลองแต่งแบบแม่ชีสงสัยคงไม่ได้สามี ถ้าหากเจ้าเห็นข้าใส่เกาะอกเจ้าจะไม่เป็นลมเลยรึ...ฮ่าๆ" พูดในใจ "อืม..ข้ารู้แล้ว ไหน ๆ เจ้าก็เห็นงันเจ้าหันหน้ามาเถิด ข้าไม่ได้ถอดเสื้อผ้าเสียหน่อย" " เจ้าแน่ใจนะ" " แน่ใจ" จากนั้นหานเฟิงค่อย ๆ หันหน้าปรายตามองไปที่หัวเข่าเขียวซ้ำ ตนนึกได้ว่ามียาทาแผลจึงหยิบมามันออกมาจากกระเป๋าผ้าเก่า ๆ "เจ้าทาแผลก่อนเถิด" หานเฟิงยื่นกระปุกยาให้ ซูเหยายื่นมือไปรับกระปุกยา เนื้อมือสัมผัสกันทำให้ใจทั้งสองเต้นเบา ๆ ซูเหยารีบเปิดฝากระปุกตั้งใจถ้าหากจ้องหน้าหานเฟิงนานกว่านี้ ความเอียงอายที่ซ่อนไว้มันจะเก็บไม่อยู่ในขณะนั้นนางกำลังจะยืนบนเก้าอี้ไม้เพื่อจะตากปลาบนหลังคาท่ามกลางแสงแดด"โอ๊ย...."ปลายเท้าลื่นสะดุดกำลังจะล้มลงทันใดนั้นเจาเฟิงรีบมาประคองร่างบางๆ ไว้ในอ้อมกอด ต่างฝ่ายสบตากัน เหมือนถูกชะตา แต่เมื่อนางรู้ตัวก็รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเพียงชั่วคราว"ท่านเป็นผู้ใดรึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย"นางยืนตัวเกรงในขณะถามกลับไป" ข้าคือองค์ชายเจาฟิง" "หึ....เจาเฟิงรึ ชื่อนี้ข้าไม่รู้จักข้าอยู่แต่ในหุบเขาเลยไม่รู้" นางขมวดคิ้ว"แต่ข้ารู้จักเจ้านะ" " ท่านไปรู้จักข้าตั้งแต่ตอนไหน" นางถาม"พี่สาวเจ้าเล่าให้ข้าฟัง" " ห๊า....พี่สาวข้ารึ" เจาเฟิงพยักหน้า" เช่นนั้นท่านรับได้รึท่านก็รู้ว่าข้านั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นท่านจะใจกว้างเปิดใจให้ข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" "ข้าดูคนออก. .แล้วอีกอย่างเจ้าก็ต้องใจกับข้ามิใช่หรือ"" ท่านรู้ได้อย่างไร" นางถาม" สังเกตจากท่าทางของเจ้า" เจาเฟิงตอบทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ เฟิ่งจูทดสอบเจาเฟิง"เช่นนั้นท่านจะทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาอยู่ที่กับข้าได้หรือไม่" เจาเฟิงเงียบไปชั่วคราวเมื่อได้ยินคำถาม ในใจเฟิ่งจูตอนนี่คงได้คำตอบแล้วละว่าเจาเฟิงไม่อยากมาอยู่ที่นี่
"ท่านพ่อข้าทำให้ท่านพ่อเสียตำแหน่งรองแม่ทัพ" เฟิ่งจูปากสั่นในขณะที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ"อย่าร้อง .." แม่ทัพเช็ดคราบน้ำตาให้บุตรสาวหลังจากที่ปลอบใจบุตรสาวอยู่สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกเดินทางไปยังชนบทเพราะตอนนี้ตำหนักถูกยึดเป็นของหลวง ส่วนเงินที่เหลือมีเพียงพอที่จะซื้อบ้านแต่ไม่พอที่จะใช้ชีวิตให้อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนทั้งสองขึ้นรถม้าวิ่งไปยังชนบทอันห่างไกลไม่รู้จุดหมายปลายทาง ว่าจะลงเอยที่ใด ต้องถามชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ว่าที่ดินหรือบ้าน ที่ใดกำลังถูกขาย โชคดีที่มีบ่าวรับใช้และสาวใช้ 2 คนเดินทางไปด้วยจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปไม่นานนักทั้งสองก็ได้ที่อยู่ใหม่ใกล้หุบเขาลำธารแม่น้ำสายใหญ่จากฝั่งตะวันออกที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ที่นี่มีคนอาศัยอยู่แค่ 20 คน ดูเหมือนไม่วุ่นวายและอยู่กับธรรมชาติอยู่ในที่ที่คนไม่แออัด นางจะได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาส่วนหานหารเฟิงกับซูเหยาเริ่มติดต่อเจรจาการค้ากับดินแดนเหนือและดินแดนใต้ ทางด้านการเกษตร อื่นๆอีกมากมายที่กำลังจะส่งออกในปีหน้า ซูเหยานั้นสั่งซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์พืชผลไม้หายากจากภพปัจจุบัน หลายอย่างที่ในยุคโบราณนั้นไม่มี นางกับสามีได้จัดแ
"ไม่ได้ข้าต้องหาทางออกหนีไปจากที่นี่" นางพยายามหาที่นั่งแต่จะนั่งตรงไหนก็มีแต่ฝุ่นส่วนที่นั่งได้ก็คือฟาง แต่ห้องข้าง ๆ กับได้กลิ่นอาหารบูดเน่า ทำให้นางอยากจะอาเจียนออกมาเป็นร้อย ๆ รอบ ในคุกแห่งนี้ไม่มีผ้าห่มมีแต่ฟางที่วางซ้อนกันให้นักโทษนอนหลับ สวนอาหารก็เป็นแค่ข้าวต้มจะมีเนื่อหมูแค่ 2 ครั้ง 7 วัน เนื้อหมูเหล่านั้นเป็นเศษเนื้อหมูที่ใกล้เสียเสียด้วย"เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้" เฟิ่งจูกำมือแน่นไม่อยากพ่ายแพ้ให้ซูเหยาน้ำสมน้ำหน้าตนเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระยะ นางรีบลุกจับกรงเขย่าเอียงตามองไปข้างนอก ผู้ใดกันนะกำลังเดินมาที่นี่"ท่านพ่อ...." ปรากฏว่าผู้นั้นคือท่านพ่อกำลังเดินมาหานางด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้า "เฟิ่งจู...ลูกเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างในทรมานหรือไม่" ได้ยินท่านพ่อถาม น้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากตา"ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว" นางสะอื้นเสียงแผ่ว" ไม่ต้องกลัวนะพ่อจะนำอาหารที่ลูกชอบมาให้ทุกๆวันเลย" ท่านพ่อยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"หากรู้ว่าผิดแล้วต่อไปก็อย่าทำอีก" ท่านพ่อน้ำตาคลอเบ้าพร้อมให้กำลังใจลูก"ท่านพ่อ....หากข้าต้องโทษประหาร..ทรัพย์สินที่เหลือข้าขอบริจาคให้ชาวบ้าน เป็นการทดแทนที่ข้าน
"ข้าพูดขอรับฝ่าบาทข้ายอมพูดแล้ว" ทหารชั้นผู้น้อยจึงเล่าว่าตนนั้นเป็นแค่เพียงทหารธรรมดาแต่เมื่อภรรยาและลูกไม่สบายไม่มีเงินรักษาจึงจำใจ ต้องยักยอกเงินภาษีเพราะท่านเสนาแนะนำมาเป็นการส่วนตัวจนถึงทุกวันนี้ข้ากับภรรยาก็ไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อน ทหารชั้นผู้น้อยเล่าจบก็ขอชีวิตฝ่าบาทให้อภัยโทษอย่าประหารลูกกับเมียของตนเลย"ได้ข้าอภัยโทษให้" ทหารชั้นผู้น้อยรีบก้มคำนับ อย่างน้อยก็ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อลูกและภรรยา"หึ..ว่าอย่างไรเสนาหมิงเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่" เสนาหมิงหน้าก้มตาอัดอั้นในใจ ไม่นานนักเสนาก็สารภาพ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆนั้นและผู้บงการทั้งหมดนั่นก็คือ เฟิ่งจูบุตรสาวคนรองตระกูล 3"จริงรึ .." ฝ่าบาทถาม"จึงขอรับฝ่าบาทข้าเองก็ถูกความโลภครอบงำ"" ข้าไม่คิดว่าบุตรสาวตระกูลสามช่างบังอาจนักที่ทำเรื่องชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ " หลังจากนั้นฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปนำตัวคุณหนูเฟิ่งจูพร้อมบิดามาที่นี่ให้เร็วที่สุดฝ่าบาทนั่งคอยอยู่สักพักสองพ่อลูกก็ถูกคุมตัวเข้ามา ส่วนคนเป็นพ่อนั้นสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตนนั้นไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร นี่ถึงขนาดองครักษ์ต้องคุมตัวเลยหรือ"ฝ่าบาทมีเรื่อง
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาก่อนเวลาข้าเคยบอกมิใช่หรือว่าอย่าทำตามเกินคำสั่ง" ทหารของเสนาหมิงกล่าว" ถ้าใจร้อนไปหน่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลย" " เอาละช่างมันเถอะ" ทหารผู้น้อยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วยังบอกอีกว่าให้หยุดค้นการเก็บภาษีครั้งนี้ เพราะองค์ชายหานเฟิงจะทำการตรวจสอบ เส้นทางการเงินย้อนไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนการเก็บภาษีครั้งนี้ค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน แค่เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ก่อน"เช่นนั้นหรือ" หานเฟิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆตื่นตัวพร้อมที่จะจู่โจมทหาร"ไม่มีโอกาศสำหรับทหารผู้น้อยทรยศเช่นเจ้า" หานเฟิง ชักดาบออกมาข่มขู่แล้วถีบไปที่หน้าอกจนทหารนั้นหงายหลังไปกระแทกพื้น ต่อมาเขาก็กระโดดฟาดเตะก้านคอทหารอีกคนจนล้มประเด็นไปโดนข้าวของที่ชาวบ้านตากไว้ ส่วนอีกคนถูกกำปั้นชกไปที่เบ้าหน้าตาทั้งสองข้างเขียวช้ำ "จับมันไปขังคุกใต้ดิน" เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าหานเฟิงออกคำสั่งให้องครักษ์นำทหารชั้นผู้น้อยที่ทรยศเหล่านี้ไปขังไว้ในใต้ดินอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่ก่อนจะนำตัวพวกมันไปหานเฟิงต้องการรู้ว่าทหารเหล่านี้ใช้สัญญาณลับอะไรในการสื่อสารกับเสนาหมิง แล้วมีทหารผู้ใดบ้างที่เป
"ข้าดีใจด้วยที่พวกท่านนั้นอยู่สุขสบายมากกว่าเมื่อก่อนอีกทั้งทุกคนกินอิ่มนอนหลับ ข้าทั้งสองก็ดีใจมากแล้วอีกอย่างของเหล่านี้ข้านั้นกินคนเดียวไม่หมดหรอกเช่นนั้นข้าจะทำอาหารเลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าทั้งหมู่บ้านเลยดีหรือไม่" จูเหยาจับมือยายชราส่งรอยยิ้มที่จริงใจในขณะที่พูดจบ"ดีๆๆข้าน่ะอยากกินฝีมือเจ้า ฝีมือเจ้านี่มันสุดยอดจริงๆหาผู้ใดเปรียบได้ยาก" "ข้าขอผู้ช่วยสัก 5-6 คนได้หรือไม่" " ได้สิแม่นาง" ยาชรากล่าวส่วนสามสหายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ดีใจมากจะได้กินอาหารอร่อยๆอีกครั้งพวกเขาก้าวเดินนำหน้าและเสนอตัวที่จะเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มใจ"พระชายาถ้าเต็มใจจะช่วยท่าน" "ข้าจะได้เรียนรู้และทำตาม" " ข้าด้วยข้าจะเอาไปสอนเมียที่บ้านจะได้ทำอาหารร่อยๆหน่อย"" ฮ่าๆ.." ทุกคนหัวเราะคึกคักเบาๆจากนั้นทุกคนช่วยกันจัดเตรียมอาหารแยกเป็นหมวดหมู่ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าวันนี้ไม่แม่นางนั้นจะทำอะไร ช่วยได้เพียงเตรียมวัตถุดิบให้ครบตามที่ไม่แม่นางนั้นต้องการผ่านไป 5 ชั่วยามอาหารพิเศษก็เสร็จแล้วแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง1"เป็ดย่างกรอบนอกนุ่มใน"2"ผัดกระต่ายรสจัดนัวๆ"3" ข้าวต้มใส่เนื้อหมูสำหรับเด็กๆ"4" ขนมจีบไส้ไก่และไส้หมู" 5







