LOGINรุ่งขึ้น ในจวนของขุนนางหงก็มีเด็กชายจากตรอกซิ่วสือมาเก็บเงินจำนวนมาก พร้อมกับตราประจำตัวของท่านกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธ ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปก่อเรื่องอะไรมาอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะถามระหว่างมื้ออาหาร แต่ท่านกั๋วกงกลับรีบร้อนกินข้าวและรีบออกจากบ้าน แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องจ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่อย่างน้อยบุตรชายของนางกลับมาตั้งใจทำบางสิ่งอย่างแน่วแน่อีกครั้ง นางจึงไม่ได้บ่นอะไรมาก
“เจ้าชื่ออะไร” หงเจี้ยนหยางถามเทพธิดาผมสองสี ระหว่างที่นั่งให้นางนวดมือให้เขา
“เรียกข้าว่าท่านเทพธิดาสิ” หญิงสาวตอบราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอยู่มาก
“..เจ้าชื่ออะไร” เขาถามคล้ายไม่ได้ยินที่นางตอบ
“ท่านเทพธิดา”
เขาสะบัดมือออกจากการนวดของนางทันที
“นี่ ท่านอดีตแม่ทัพ ท่านไม่อยากรักษาแล้วหรือ” ท่านเทพธิดาเอ่ยถาม นางยืดหลังเต็มความสูงเท้าเอวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของคนไข้ผู้ดื้อดึงไร้มารยาท
“เจ้าคงไม่อยากได้เงินสองพันตำลึงทองสินะ” เขาไม่ยอมเช่นกัน
“..เอ่อ สองพัน..อยากได้สิ ย่อมอยากได้ นายท่าน..ข้าชื่อว่า อันเยว่ฉีเจ้าค่ะ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี ยังไม่ได้แต่งงาน และไม่คิดจะแต่งงานเร็วๆ นี้ ที่สำคัญ ยังไม่มีคนรัก เดินทางมาที่นี่..ที่เมืองหลวงเมื่อสี่ปีก่อน ไม่มีพ่อแม่ ไร้ญาติขาดมิตร แต่เป็นท่านหมอวิเศษที่ใครๆ ก็อยากได้ตัวเจ้าค่ะ” หญิงสาวย่อตัวพร้อมแนะนำชื่อและความเป็นมาของตัวเองเสร็จสรรพ
“อันเยว่ฉี..” เขาเพียงพยักหน้า ไม่สนใจการประชดประชันของนาง หรือบางทีเขาอาจไม่เข้าใจสิ่งที่นางตั้งใจประชด
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“เจ้าแก่มากแล้วนะ ยังไม่รีบหาคนแต่งด้วย ต่อไปอาจไม่มีใครอยากแต่งให้เจ้าแล้ว” เขาติ แต่ก็ยื่นมือมาให้หญิงสาวนวดอีกครั้ง
“...” อันเยว่ฉี สตรีอายุมากได้แต่กัดฟันเก็บความไม่พอใจไว้ นางพยายามนึกถึงทองคำสองพันตำลึง และทำหน้าที่นักกายภาพบำบัดต่อไปด้วยความเป็นมืออาชีพสูง
‘หน็อย..แก่อะไรกัน ฉันเพิ่งยี่สิบสี่ วัยกำลังงดงาม เจ้ายักษ์นี่รวยมากใช่ไหม คอยดูเถอะ แม่จะเก็บค่ารักษาจนล้มละลายเลย’ หญิงสาวก่นด่าในใจ
“เจ้าเรียนการเป็นหมอจากผู้ใด” ชายหนุ่มยังคงตั้งคำถามต่อไป
“บอกไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะมันคือ ความลับทางการค้า หากข้าบอกว่าเรียนมาจากที่ใด เรียนอย่างไร เรียนกับใคร หรือต้องเรียนกี่ปี ข้าก็ไม่ใช่เทพธิดาแล้วสิ”
“เจ้าชอบถูกเรียกว่าเป็นเทพธิดาหรือ”
“ความสามารถของข้าไม่คู่ควรกับคำว่าเทพธิดาหรือ”
“ผู้มีความสามารถควรถ่อมตัวกว่านี้” เขาสั่งสอน
“น่าขันที่สุด เจ้าหยิ่งยโสในความสามารถของตัวเอง แต่กลับสั่งสอนให้ข้าถ่อมตัว ถึงยามนี้ความสามารถของเจ้าจะถดถอย แต่เจ้ารู้ตัวดีว่ายังคงเก่งกว่าผู้อื่น เจ้าจึงได้วางตัวใหญ่โตสั่งสอนข้า
ในเมื่อข้าก็เป็นผู้มีความสามารถ เหตุใดข้าจะต้องถ่อมตัว รอให้ข้ากลายเป็นคนไร้ค่าทำสิ่งใดไม่ได้ก่อน หากข้ายังโอหังไม่เลิก เจ้าค่อยมาสั่งสอนข้า การมีความภาคภูมิใจในความสามารถของตน ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด” หญิงสาวต่อปากต่อคำ สองมือยังคงนวดคลึงข้อมือให้เขา
“..ข้าไม่ได้อยู่ๆ ก็มีความสามารถ” เสียงของเขาเบาลง แม้จะเริ่มเห็นด้วยกับความโอหังของนาง แต่เขายังคงแก้ตัว ชายหนุ่มอยากให้เทพธิดารู้ว่ากว่าเขาจะมีความสามารถจนสั่งสอนผู้อื่นได้ เขาไม่ได้นั่งเฉยๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว การเป็นสุดยอดในบางสิ่ง ย่อมต้องแลกด้วยบางอย่างเสมอ ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ ไม่มีทางลัด” อันเยว่ฉีพูด คล้ายนางเข้าใจดีว่าการเป็นผู้มีความสามารถ ไม่ง่ายเลย
“...” หงเจี้ยนหยางกลืนน้ำลาย เขาเข้าใจแล้วว่านางไม่ได้อยู่ๆ ก็เป็นเทพธิดาได้ทันที นางคงผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักเช่นกัน จึงยอมรับการเป็นเทพธิดาได้อย่างไม่รู้สึกขัดเขิน
ชายหนุ่มหยุดถาม เขาตั้งใจมองดูวิธีการทำงานของสตรีที่เรียกตัวเองว่าเทพธิดาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ..
อันเยว่ฉีนวดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อแขน หน้าแขน และบริเวณใกล้เคียงกับข้อมือเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึง ดันนิ้วบริเวณหลังฝ่ามือ แล้วใช้มืออีกข้างดึงนิ้วมือมาทางตัว ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อดึงยืดเส้นเอ็นบริเวณข้อมือ
สลับกับการนวดบริเวณปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมือที่อักเสบ ด้วยการนวดกดไปตามแนวเส้นเอ็น เพื่อคลายการอักเสบและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ค่อยๆ ทำการดัดรีดนิ้วมือทีละนิ้ว
โดยการดันนิ้วจากฐานฝ่ามือออกไป บิดนิ้วไปด้านข้างเล็กน้อย เพื่อคลายการติดของเส้นเอ็น หลังจากนั้นก็ขยับข้อมือและนิ้วมือไปมา เพื่อเคลื่อนไหวส่วนที่ทำการดัดรีดนวด [1]
“เจ็บหรือไม่” หญิงสาวถาม
หงเจี้ยนหยางพยักหน้า
“เช่นนั้นวันนี้ควรพอก่อน หากปวดมาก ท่านควรแช่น้ำอุ่น หรือหาหมอฝังเข็มเก่งๆ สักคนมาคอยฝังเข็มลดอาการปวดให้ และจำไว้ ห้ามใช้งานข้อมือเด็ดขาด” เทพธิดาสั่ง ก่อนจะแช่มือของเขาลงในน้ำเย็นจัด
“ข้าเคยฝังเข็มแล้ว..มันไม่หาย ไม่นานอาการปวดก็จะกลับมาเช่นเดิม” เขาบอก
“การฝังเข็ม เพียงช่วยลดอาการปวดเท่านั้น ท่านยังต้องทำการรักษาเช่นนี้วันนี้อีกห้าถึงหกเดือน เดิมทีไม่ได้อาการหนักมาก แต่ท่านไม่ดูแลตัวเองเลย ตอนนี้ต้องอดทนไปก่อน”
“ห้าถึงหกเดือนหรือ!” เขาตกใจ เพราะคิดว่าใช้เวลาไม่นานก็หาย
“ใช้แล้วเจ้าค่ะ เอาล่ะ ลุกขึ้น เดี๋ยวเราไปเดินออกกำลังกัน”
หงเจี้ยนหยางทำหน้าตาสิ้นหวัง นี่เขาต้องทนกินอาหารที่ไม่ชอบ แช่น้ำอุ่นทุกเช้า และยังต้องเดินทางมาหาสตรีเย่อหยิ่งทุกสองวัน หากผ่านไปห้าหกเดือนแล้วเขายังไม่ดีขึ้น เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเสียเวลาชีวิตไปอย่างไร้ความหมายหรือ
“ไม่ต้องทำหน้าตาเช่นนั้น ทำตามคำของเทพธิดา ต้องดีขึ้นแน่ นอกจากเจ้าจะแอบขัดคำสั่งของข้า” หญิงสาวทำตาดุ
“ข้ารอนานเช่นนั้นไม่ไหว ข้ายังมีหลายสิ่งให้ต้องดูแล”
“ไหวไม่ไหวก็ต้องรอ เจ้าเสียเวลาดื่มสุราอยู่ในห้องตั้งหลายเดือนยังไม่รู้สึกเสียดาย เหตุใดการรักษาที่จะทำให้เจ้ากลับมาใช้มือได้อย่างปกติจึงเป็นการเสียเวลาเปล่าไปได้ ลุกขึ้น ต้องไปเดินแล้ว ข้ายังมีคนไข้อีกหลายคนรออยู่”
“..เฮ้อ” หงเจี้ยนหยางได้แต่ถอนหายใจ
“ยังไม่เลิกถอนหายใจอีก วางความทุกข์ใจของเจ้าลงซะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าแบกสิ่งใดไว้ แต่เลิกถอนหายใจได้แล้ว ใจป่วยกายก็ป่วยไปด้วย เจ้าจะต้องฝึกสมาธิเพิ่มเติมเพื่อลดความเครียด เข้าใจหรือไม่”
“ได้ขอรับ” เขาแม้ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่นางพูด ได้แต่กัดฟันทำตามที่ท่านเทพธิดาสั่ง ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือผิดที่ยอมรักษาตามวิธีของสตรีจอมสั่งการ
อันเยว่ฉีนำหน้า เพื่อพาอดีตแม่ทัพไปเดินออกกำลังกาย แม้ในตรอกซิ่วสือจะไม่มีพื้นที่มากพอ แต่ในลานกว้างซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัดของนางก็ยังมีพื้นที่ให้เขาเดินได้อยู่ ระหว่างเดิน หญิงสาวต้องคอยปรามไม่ให้เขาเดินเร็วเกินไปอยู่หลายครั้ง
[1] การดัดรีดนวดดึงเพื่อกายภาพบำบัด ไม่ควรทำเองที่บ้าน ต้องให้ผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำให้เท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร” หงเจี้ยนหยางก้มลงมองดูปลายผมสีทองที่สะท้อนแสงโคมเล็กน้อยจากด้านนอกแล้วรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถาม“ข้าชื่อ อันเยว่ฉี” หญิงสาวแนะนำตัวอีกครั้ง“ข้า..เหมือนจะจำได้ว่าเจ้าคือเทพธิดา นี่ข้าตายแล้วหรือ”“ยัง เจ้ายังไม่ตาย ถึงแม้ข้าจะเป็นเทพธิดาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ผู้อื่นเรียกเท่านั้น ข้ายังคงอยู่ในโลกคนเป็นเช่นเดียวกับเจ้า”“ข้ายังไม่ตายอีกหรือ อีกนานหรือไม่” เขาถามหญิงสาวรู้สึกกังวลเพราะดูเหมือนเขาจะป่วยเป็นทั้งโรคพีทีเอสดีและป่วยซึมเศร้าด้วย“เจ้าอยากตายหรือ” นางถามระหว่างที่จับดึงเขาให้นั่งลงข้างเตียง“ข้าไม่รู้” เขานั่งลงและตอบคำถามอย่างเคร่งเครียด ไม่ยอมปล่อยมือของเทพธิดา“ชีวิตเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้” นางนั่งลงข้างเขา ตัดสินใจว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้านไปนอนแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ดูแลคนป่วยให้ผ่านพ้นไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเก็บเงินจากเขาก้อนโตเป็นค่ารักษานอกสถานที่“ข้า..ทุกคนล้วนทิ้งข้าไว้ ข้าไม่สมควรมีชีวิต ไม่สมควรมีความสุขและปล่อยให้พวกเขาตายตามลำพัง” เขาเริ่มมือสั่นเมื่อพูดถึงสิ่งที่หวาดกลัว“เจ้าบอกว่ามีคนปกป้องเจ้าไว้ใช่หรือไม่” นางถาม“อืม..ข้าไม่รู้จักชื่อเข
พวกคนที่ประตูกระโจมต่างกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปจับเสวียนหู่แห่งอี้โจว “รีบไปจับเขามัดไว้เร็วเข้า” เสียงของอันเยว่ฉียังคงสั่งต่อไปจางป๋อเหวินส่งคบเพลิงให้กับอันเยว่ฉี จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปไล่จับชายที่มีร่างสูงใหญ่กว่าเขาสองเท่าอย่างไร้ความกลัว “เจ้ากล้าข้ามศพทหารในค่ายของข้าหรือ อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย” หงเจี้ยนหยางแม้จะเจ็บข้อมือจนมือสั่น แต่เขาไม่อาจยอมให้ใครมาหยามคนตายได้ เขาจึงตั้งท่ารับมือศัตรูเต็มที่“ต้องรีบไปช่วยท่านกุนซือ เขาคนเดียวไม่ไหวแน่” อันเยว่ฉีหันไปบอกเหล่าบ่าวชายในจวนที่ยังหวาดกลัวท่านกั๋วกงไม่เลิก นางเห็นแล้วว่าอดีตแม่ทัพหงผู้นั้นมีฝีมือสูงมากแต่บรรดาบ่าวชายพวกนั้นยังคงตัวสั่นไม่กล้าขยับ“ชิ อดีตแม่ทัพอะไรกัน ไม่มีทหารมีฝีมือไว้ในบ้านสักคนเลยเหรอ” หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ส่งคบเพลิงให้บ่าวพวกนั้น และวิ่งเข้าไปช่วยท่านกุนซืออีกแรง“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องหยุดได้แล้ว” อันเยว่ฉีตะโกนวิ่งเข้าไปกอดเอวของหงเจี้ยนหยางเอาไว้จากด้านหลัง นางฉวยโอกาสในระหว่างที่เขากำลังยกมือตั้งรับลูกเตะของกุนซือจาง “ท่านเทพธิดา อันตราย!” จางป๋อเหวินตะโกนด้วยความตกใจ
หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธจางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขาหากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้นหงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้“เจ้าค่ะ”อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุข
รุ่งขึ้น ในจวนของขุนนางหงก็มีเด็กชายจากตรอกซิ่วสือมาเก็บเงินจำนวนมาก พร้อมกับตราประจำตัวของท่านกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธ ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปก่อเรื่องอะไรมาอีกฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะถามระหว่างมื้ออาหาร แต่ท่านกั๋วกงกลับรีบร้อนกินข้าวและรีบออกจากบ้าน แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องจ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่อย่างน้อยบุตรชายของนางกลับมาตั้งใจทำบางสิ่งอย่างแน่วแน่อีกครั้ง นางจึงไม่ได้บ่นอะไรมาก“เจ้าชื่ออะไร” หงเจี้ยนหยางถามเทพธิดาผมสองสี ระหว่างที่นั่งให้นางนวดมือให้เขา“เรียกข้าว่าท่านเทพธิดาสิ” หญิงสาวตอบราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอยู่มาก“..เจ้าชื่ออะไร” เขาถามคล้ายไม่ได้ยินที่นางตอบ“ท่านเทพธิดา”เขาสะบัดมือออกจากการนวดของนางทันที“นี่ ท่านอดีตแม่ทัพ ท่านไม่อยากรักษาแล้วหรือ” ท่านเทพธิดาเอ่ยถาม นางยืดหลังเต็มความสูงเท้าเอวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของคนไข้ผู้ดื้อดึงไร้มารยาท“เจ้าคงไม่อยากได้เงินสองพันตำลึงทองสินะ” เขาไม่ยอมเช่นกัน“..เอ่อ สองพัน..อยากได้สิ ย่อมอยากได้ นายท่าน..ข้าชื่อว่า อันเยว่ฉีเจ้าค่ะ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี ยังไม่ได้แต่งงาน และไม่คิดจะแ
“อื้ม ลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว เข้ามาก่อนสิ” เทพธิดาหัวทองเชื้อเชิญเสวียนหู่แห่งอี้โจว“ลูกค้าหรือ” หงเจี้ยนหยางไม่ค่อยเข้าใจคำที่สตรีประหลาดผู้นี้ใช้“แล้วสหายของเจ้าไม่ได้มาด้วยกันหรือ” เทพธิดาผมทองถามถึงกุนซือจาง“..เขา มีงานสำคัญที่ต้องทำ” ชายหนุ่มโกหก ที่จริงแล้วจางป๋อเหวินยังโกรธเรื่องที่เขาข่มขู่ไม่หาย วันนี้เขาจึงจำเป็นต้องมาหาเทพธิดาลำพัง“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็มาแล้ว วันก่อนข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนเข้าใจผิด อย่างไรข้าก็เป็นหมอ ข้าจึงคิดว่าควรกอบกู้ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตัวเองสักหน่อย ตามข้ามาสิ”หญิงสาวเดินนำหน้า พาชายหนุ่มตัวสูงออกจากโรงรักษาโกโรโกโสของนาง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณโล่งแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตรอกซิ่วสือ แม้จะไม่กว้างมาก แต่เพียงพอให้ผู้คนมารวมตัวกันทำกิจกรรมกลางแจ้งที่นั่น หงเจี้ยนหยางเห็นเครื่องเล่นหลายชนิดที่ทำจากไม้รูปร่างประหลาด มีทั้งเสา ขื่อ กำแพง กล่องสี่เหลี่ยม และคานสำหรับปีนป่าย เด็กหลายคนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลายคนไม่มีขา บางคนต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ บางคนมีเท้าไม้ต่อจากขาข้างที่ขาด สตรีอีกหลายคนกำลังจับราวไม้ฝึกเดิน ทุกคนล้วนเป็นคนพิการ ไม่
หลังจากกลับถึงจวนกั๋วกง ห้องสกปรกเน่าเหม็นของหงเจี้ยนหยางก็ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว จางป๋อเหวินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็กน้อยเสวียนหู่“นี่มันอะไร” เขาถามกุนซือจาง“นางเรียกว่า ตารางกายภาพบำบัด หรือก็คือ วิธีการรักษา”“ฮะ? แช่น้ำอุ่นวันละหนึ่งเค่อ [1] เดินครึ่งชั่วยาม [2] กินอาหารที่ประกอบจากเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะถั่วและงา ผักใบเขียว ไข่แดง..ไข่แดงหรือ” อดีตแม่ทัพขมวดคิ้วมุ่น“อืม..ข้าถามนางแล้ว นางบอกว่าให้แยกไข่ขาวออกไปและกินเฉพาะไข่แดง” จางป๋อเหวินพยายามอธิบายเพิ่ม“ไร้สาระ แค่กิน เดินกับแช่น้ำอุ่น ไม่มีตำรับยา หรือการรักษาใด วิธีมักง่ายเช่นนี้ จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นเทพธิดา”“นางบอกว่าเจ้ายังต้องเดินทางไปพบนางสองวันครั้งหนึ่ง เพื่อให้นางทำ..เอ่อ นางพูดว่า..กายภาพบำบัด และเจ้าต้องห้ามดื่มสุราอีกเด็ดขาด ต้องเปลี่ยนท่านอนด้วย และยังต้อง..”“พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ไปเอาเหล้ามา”“ข้าไม่ใช่คนรับใช้ในจวนของเจ้า และข้าได้บอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าเจ้าจะรักษาตัว ห้ามในจวนเก็บสุราไว้แม้แต่จอกเดียว”“จางป๋อเหวิน!”“หมูขี้ขลาด”“ข้าไม่ได้เป็นหมู!”“สุนัขเหม็นอาจม”“จางป๋อเหวิน!!..ข้า..ข้าจะฟ







