Share

บทที่ 8 ค่ำคืนเมามายแสนอันตราย

last update Last Updated: 2025-11-17 20:58:51

หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธ

จางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขา

หากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย

“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้น

หงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง

“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้

“เจ้าค่ะ”

อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่อท่านแม่แต่งตั้งแล้ว ทุกคนในจวนจึงเรียกนางว่าอนุตามกันไป วันนี้นางถึงขั้นทาชาดที่แก้มจนแดงราวกับก้นลิง

“ยกวางไว้บนโต๊ะ ข้าอยากดื่มน้ำแกงพอดีเลย” ชายตัวใหญ่ไม่สนใจว่านางเป็นอนุจริงหรือไม่ ขอเพียงยามนี้หลบหนีจากการบังคับของท่านกุนซือจางได้เป็นพอ

“ไม่ได้ ต้องฝึกจนครบหนึ่งก้านธูปก่อน” จางป๋อเหวินห้ามทันที

“ข้าคอแห้ง”

“พักสักครู่ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวเอ้อหลิงป้อนน้ำแกงให้นายท่านก่อน ค่อยฝึกต่อก็ได้เจ้าค่ะ” อนุเอ้อหลิงรีบออกตัวเพราะอยากปรนนิบัติสามี

กุนซือจางเพียงหันไปส่งสายตาเยียบเย็นให้สตรีผู้นั้น

“..เอ่อ เช่นนั้นเอ้อหลิงวางไว้บนโต๊ะ นายท่านอย่าลืมดื่มนะเจ้าคะ” นางได้แต่หลบตาและรีบวางถ้วยน้ำแกงไว้บนโต๊ะ อนุเอ้อหลิงฉลาดพอจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แม้นางอยากเอาใจท่านกั๋วกง แต่ก็ต้องยอมแพ้

หงเจี้ยนหยางมองถ้วยน้ำแกงด้วยความเสียดาย ก่อนจะเริ่มฝึกท่ามวยเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่าต่อไป

ส่วนอนุเอ้อหลิงไม่ต้องรอให้กุนซือจางพูดอะไรนางก็รีบเดินออกจากที่นั่น แม้ในใจจะแอบคิดว่ากุนซือจางทำตัวคล้ายเป็นภรรยาแต่งของท่านกั๋วกงมาก แต่อย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป

อันเยว่ฉีกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเก่าของนาง จู่ๆ ก็ถูกมือเล็กของอาเจียวเขย่าอย่างแรง นางรู้ตัวแต่ยังไม่อยากลุก จึงดึงผ้าห่มคลุมหัวและกอดหมอนข้างนุ่มหลับต่อไป

“พี่ใหญ่ ๆ ๆ แย่แล้ว พี่ใหญ่” เด็กชายแทบจะตะโกน แต่คล้ายว่าเทพธิดาก็ยังไม่ยอมตื่น

“พี่ใหญ่!!” อาเจียวตัดสินใจตะโกนใส่ข้างหู

“อาเจียว!” อันเยว่ฉีลุกขึ้นนั่งด้วยความโมโห

“มีคนมาหาท่าน เขายืนรออยู่ที่หน้าห้อง” เด็กชายรีบพูดเรื่องสำคัญก่อนที่ตัวเองจะถูกด่า

“เวลานี้เนี่ยนะ!” หญิงสาวไม่เข้าใจ ใครมันหน้าด้านขนาดนี้กัน ถึงนางจะเป็นหมอ แต่นางไม่ใช่แพทย์ฉุกเฉินในโรงพยาบาลเสียหน่อย

“ลูกค้ารายใหญ่” อาเจียวยกมือป้องปากและกระซิบกระซาบเสียงเบา ทำท่าทางราวกับกลัวว่าคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องอาจจะได้ยิน

อันเยว่ฉีโมโหเพราะนางให้ความสำคัญกับเรื่องการนอนเป็นเรื่องใหญ่ หญิงสาวไม่ชอบเวลาที่ตัวเองนอนไม่เต็มอิ่ม

“ชิ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแม่จะอาละวาดให้บ้านแตกเลย ฮึ่ม!” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน รีบลุกขึ้นแต่งตัว ออกไปหาลูกค้ารายใหญ่ด้วยอารมณ์บูดบึ้ง

กุนซือจางพาเทพธิดานั่งรถม้าด้วยความเร่งรีบกลับไปยังจวนของท่านกั๋วกง ระหว่างทางเขาบอกกับนางเพียงว่าหงเจี้ยนหยางอาละวาดใหญ่โต และไม่มีผู้ใดหยุดได้

ในห้องที่แสงโคมถูกดับจนมืด ชายร่างใหญ่กำลังลนลานทำอะไรไม่ถูก สองมือคว้าจับทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือ จับผ้าม่านได้ก็ฉีกดึงทิ้ง จับโต๊ะได้ก็จับโยนขว้างราวกับเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง

หงเจี้ยนหยางตัวสั่นเทา ในความมืดเขาคล้ายเห็นแสงไฟลุกโชน เผาไหม้ร่างทหารในความดูแลของเขาจนไหม้เกรียม กลิ่นเนื้อสดที่ถูกย่างลอยคลุ้งจนหายใจไม่ออก เขาพยายามเก็บดาบใหญ่บนพื้นแต่ทำอย่างไรก็หยิบไม่ได้

ลูกธนูดอกหนึ่งตรงเข้ามาทางเขา แต่หงเจี้ยนหยางหลบไม่ทัน นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาขวางลูกศรไว้ ลูกธนูปักทะลุคอของทหารคนนั้น ทหารที่หงเจี้ยนหยางจำได้ว่าเมื่อคืนเป็นยามเฝ้าหน้ากระโจมของเขา

เขาไม่รู้จักชื่อทหารคนนั้นด้วยซ้ำ แต่ทหารนายนั้นยอมถึงขั้นใช้ชีวิตปกป้องเขา

“ย๊ากกกกกกก!!” แม่ทัพหงตะโกนด้วยความโกรธจัด วิ่งเข้าใส่ศัตรูโดยไร้อาวุธ เขาไม่เคยกลัวตาย

“กรี๊ด!!” เสียงสตรีผู้หนึ่งร้องขึ้น

“เจ้าเป็นใครกัน” แม่ทัพหงถามด้วยความฉงน เขาแน่ใจว่าเขายังอยู่ในกองเพลิงที่เผาค่ายทหารจนวอดวาย แต่เหตุใดจึงมีสตรีอยู่ที่นี่

“นะ..นายท่าน” เสียงของอนุเอ้อหลิงเอ่ยด้วยความสั่นกลัว

“รีบหนีไปซะ” เขาสั่ง

อนุเอ้อหลิงวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล เพราะชุดของนางที่ยาวกรุยกรายลากไปกับพื้น หงเจี้ยนหยางรู้สึกว่าสตรีช่างน่ารำคาญนัก เป็นตัวถ่วงเขาไม่พอ ยังทำให้พลทหารเสียชีวิตเพิ่มอีกหลายศพ และศัตรูของเขาก็หนีไปได้

ระหว่างที่เขาย่างเท้าจะวิ่งไล่ตามศัตรู ประตูกระโจมก็เปิดออก ชายร่างเล็กผู้หนึ่งถือคบเพลิงสว่างไสวเอาไว้จนแม่ทัพหงเห็นหน้าผู้มาไม่ชัดเจน ข้างกายของชายร่างเล็กมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย

“มัดเขาไว้ซะ” อันเยว่ฉีเอ่ยบอกกุนซือจาง

“อย่าเข้ามา ข้าคือเสวียนหู่แห่งอี้โจว ข้ายังสามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยมือเปล่า” หงเจี้ยนหยางข่มขู่ แม้เขาจะไม่อาจจับดาบใหญ่ แต่ความอันตรายของเขายังไม่หายไปไหน


[1] เสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า หรือ สวรรค์น้อยทั้งเก้า เชื่อกันว่าเป็นท่ามวยต้นกำเนิดของการรำไท่เก๊ก (ไท่จี๋เฉวียน) ก่อนจะถูกพัฒนาผ่านหลายตระกูลและหลายชั่วอายุคน จนในที่สุด จางซานฟง ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้ง ก็ได้รวบรวมความรู้ของคนรุ่นก่อนที่ตกทอดกันมาปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาจนเป็นระบบมวยสิบสามกระบวนท่าอย่างที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 10 หญิงสาวที่นอนทับบนอก

    “เจ้าเป็นใคร” หงเจี้ยนหยางก้มลงมองดูปลายผมสีทองที่สะท้อนแสงโคมเล็กน้อยจากด้านนอกแล้วรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถาม“ข้าชื่อ อันเยว่ฉี” หญิงสาวแนะนำตัวอีกครั้ง“ข้า..เหมือนจะจำได้ว่าเจ้าคือเทพธิดา นี่ข้าตายแล้วหรือ”“ยัง เจ้ายังไม่ตาย ถึงแม้ข้าจะเป็นเทพธิดาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ผู้อื่นเรียกเท่านั้น ข้ายังคงอยู่ในโลกคนเป็นเช่นเดียวกับเจ้า”“ข้ายังไม่ตายอีกหรือ อีกนานหรือไม่” เขาถามหญิงสาวรู้สึกกังวลเพราะดูเหมือนเขาจะป่วยเป็นทั้งโรคพีทีเอสดีและป่วยซึมเศร้าด้วย“เจ้าอยากตายหรือ” นางถามระหว่างที่จับดึงเขาให้นั่งลงข้างเตียง“ข้าไม่รู้” เขานั่งลงและตอบคำถามอย่างเคร่งเครียด ไม่ยอมปล่อยมือของเทพธิดา“ชีวิตเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้” นางนั่งลงข้างเขา ตัดสินใจว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้านไปนอนแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ดูแลคนป่วยให้ผ่านพ้นไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเก็บเงินจากเขาก้อนโตเป็นค่ารักษานอกสถานที่“ข้า..ทุกคนล้วนทิ้งข้าไว้ ข้าไม่สมควรมีชีวิต ไม่สมควรมีความสุขและปล่อยให้พวกเขาตายตามลำพัง” เขาเริ่มมือสั่นเมื่อพูดถึงสิ่งที่หวาดกลัว“เจ้าบอกว่ามีคนปกป้องเจ้าไว้ใช่หรือไม่” นางถาม“อืม..ข้าไม่รู้จักชื่อเข

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 9 กอดสตรีผมทอง

    พวกคนที่ประตูกระโจมต่างกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปจับเสวียนหู่แห่งอี้โจว “รีบไปจับเขามัดไว้เร็วเข้า” เสียงของอันเยว่ฉียังคงสั่งต่อไปจางป๋อเหวินส่งคบเพลิงให้กับอันเยว่ฉี จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปไล่จับชายที่มีร่างสูงใหญ่กว่าเขาสองเท่าอย่างไร้ความกลัว “เจ้ากล้าข้ามศพทหารในค่ายของข้าหรือ อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย” หงเจี้ยนหยางแม้จะเจ็บข้อมือจนมือสั่น แต่เขาไม่อาจยอมให้ใครมาหยามคนตายได้ เขาจึงตั้งท่ารับมือศัตรูเต็มที่“ต้องรีบไปช่วยท่านกุนซือ เขาคนเดียวไม่ไหวแน่” อันเยว่ฉีหันไปบอกเหล่าบ่าวชายในจวนที่ยังหวาดกลัวท่านกั๋วกงไม่เลิก นางเห็นแล้วว่าอดีตแม่ทัพหงผู้นั้นมีฝีมือสูงมากแต่บรรดาบ่าวชายพวกนั้นยังคงตัวสั่นไม่กล้าขยับ“ชิ อดีตแม่ทัพอะไรกัน ไม่มีทหารมีฝีมือไว้ในบ้านสักคนเลยเหรอ” หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ส่งคบเพลิงให้บ่าวพวกนั้น และวิ่งเข้าไปช่วยท่านกุนซืออีกแรง“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องหยุดได้แล้ว” อันเยว่ฉีตะโกนวิ่งเข้าไปกอดเอวของหงเจี้ยนหยางเอาไว้จากด้านหลัง นางฉวยโอกาสในระหว่างที่เขากำลังยกมือตั้งรับลูกเตะของกุนซือจาง “ท่านเทพธิดา อันตราย!” จางป๋อเหวินตะโกนด้วยความตกใจ

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 8 ค่ำคืนเมามายแสนอันตราย

    หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธจางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขาหากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้นหงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้“เจ้าค่ะ”อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุข

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 7 อายุยี่สิบสี่คือแก่แล้ว

    รุ่งขึ้น ในจวนของขุนนางหงก็มีเด็กชายจากตรอกซิ่วสือมาเก็บเงินจำนวนมาก พร้อมกับตราประจำตัวของท่านกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธ ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปก่อเรื่องอะไรมาอีกฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะถามระหว่างมื้ออาหาร แต่ท่านกั๋วกงกลับรีบร้อนกินข้าวและรีบออกจากบ้าน แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องจ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่อย่างน้อยบุตรชายของนางกลับมาตั้งใจทำบางสิ่งอย่างแน่วแน่อีกครั้ง นางจึงไม่ได้บ่นอะไรมาก“เจ้าชื่ออะไร” หงเจี้ยนหยางถามเทพธิดาผมสองสี ระหว่างที่นั่งให้นางนวดมือให้เขา“เรียกข้าว่าท่านเทพธิดาสิ” หญิงสาวตอบราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอยู่มาก“..เจ้าชื่ออะไร” เขาถามคล้ายไม่ได้ยินที่นางตอบ“ท่านเทพธิดา”เขาสะบัดมือออกจากการนวดของนางทันที“นี่ ท่านอดีตแม่ทัพ ท่านไม่อยากรักษาแล้วหรือ” ท่านเทพธิดาเอ่ยถาม นางยืดหลังเต็มความสูงเท้าเอวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของคนไข้ผู้ดื้อดึงไร้มารยาท“เจ้าคงไม่อยากได้เงินสองพันตำลึงทองสินะ” เขาไม่ยอมเช่นกัน“..เอ่อ สองพัน..อยากได้สิ ย่อมอยากได้ นายท่าน..ข้าชื่อว่า อันเยว่ฉีเจ้าค่ะ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี ยังไม่ได้แต่งงาน และไม่คิดจะแ

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 6 ชายแขนขาดและความหวัง

    “อื้ม ลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว เข้ามาก่อนสิ” เทพธิดาหัวทองเชื้อเชิญเสวียนหู่แห่งอี้โจว“ลูกค้าหรือ” หงเจี้ยนหยางไม่ค่อยเข้าใจคำที่สตรีประหลาดผู้นี้ใช้“แล้วสหายของเจ้าไม่ได้มาด้วยกันหรือ” เทพธิดาผมทองถามถึงกุนซือจาง“..เขา มีงานสำคัญที่ต้องทำ” ชายหนุ่มโกหก ที่จริงแล้วจางป๋อเหวินยังโกรธเรื่องที่เขาข่มขู่ไม่หาย วันนี้เขาจึงจำเป็นต้องมาหาเทพธิดาลำพัง“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็มาแล้ว วันก่อนข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนเข้าใจผิด อย่างไรข้าก็เป็นหมอ ข้าจึงคิดว่าควรกอบกู้ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตัวเองสักหน่อย ตามข้ามาสิ”หญิงสาวเดินนำหน้า พาชายหนุ่มตัวสูงออกจากโรงรักษาโกโรโกโสของนาง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณโล่งแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตรอกซิ่วสือ แม้จะไม่กว้างมาก แต่เพียงพอให้ผู้คนมารวมตัวกันทำกิจกรรมกลางแจ้งที่นั่น หงเจี้ยนหยางเห็นเครื่องเล่นหลายชนิดที่ทำจากไม้รูปร่างประหลาด มีทั้งเสา ขื่อ กำแพง กล่องสี่เหลี่ยม และคานสำหรับปีนป่าย เด็กหลายคนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลายคนไม่มีขา บางคนต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ บางคนมีเท้าไม้ต่อจากขาข้างที่ขาด สตรีอีกหลายคนกำลังจับราวไม้ฝึกเดิน ทุกคนล้วนเป็นคนพิการ ไม่

  • ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ   บทที่ 5 ไม่อยากเป็นอนุ

    หลังจากกลับถึงจวนกั๋วกง ห้องสกปรกเน่าเหม็นของหงเจี้ยนหยางก็ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว จางป๋อเหวินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็กน้อยเสวียนหู่“นี่มันอะไร” เขาถามกุนซือจาง“นางเรียกว่า ตารางกายภาพบำบัด หรือก็คือ วิธีการรักษา”“ฮะ? แช่น้ำอุ่นวันละหนึ่งเค่อ [1] เดินครึ่งชั่วยาม [2] กินอาหารที่ประกอบจากเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะถั่วและงา ผักใบเขียว ไข่แดง..ไข่แดงหรือ” อดีตแม่ทัพขมวดคิ้วมุ่น“อืม..ข้าถามนางแล้ว นางบอกว่าให้แยกไข่ขาวออกไปและกินเฉพาะไข่แดง” จางป๋อเหวินพยายามอธิบายเพิ่ม“ไร้สาระ แค่กิน เดินกับแช่น้ำอุ่น ไม่มีตำรับยา หรือการรักษาใด วิธีมักง่ายเช่นนี้ จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นเทพธิดา”“นางบอกว่าเจ้ายังต้องเดินทางไปพบนางสองวันครั้งหนึ่ง เพื่อให้นางทำ..เอ่อ นางพูดว่า..กายภาพบำบัด และเจ้าต้องห้ามดื่มสุราอีกเด็ดขาด ต้องเปลี่ยนท่านอนด้วย และยังต้อง..”“พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ไปเอาเหล้ามา”“ข้าไม่ใช่คนรับใช้ในจวนของเจ้า และข้าได้บอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าเจ้าจะรักษาตัว ห้ามในจวนเก็บสุราไว้แม้แต่จอกเดียว”“จางป๋อเหวิน!”“หมูขี้ขลาด”“ข้าไม่ได้เป็นหมู!”“สุนัขเหม็นอาจม”“จางป๋อเหวิน!!..ข้า..ข้าจะฟ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status