Masukหนิงอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องเงียบสงบกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าเสียงฝีเท้ายังคงวุ่นวายอยู่ด้านนอก กลางอกนางยังรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อยจนต้องยกมือขึ้นมานวดเบาๆ ทว่ากลับชะงักเมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนน้อยของเด็กชายที่กอดเธอไว้ก่อนหน้านี้
ดวงตาดำกลมโตของเด็กน้อยดูใสซื่อเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจโลกใบนี้ดี มือข้างหน้าโอบกอดมือของเธอแนบหน้าไว้ไม่ยอมปล่อย หน้าต่างถูกผ้าม่านผืนบางกั้น แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดลอดเข้ามาเป็นเส้นๆ ชายผ้าม่านกระพือตาทสายลม เงาของคนเดินผ่านทำให้หนิงอี้ลายตารู้สึกเวียนหัวอีกครั้ง ทั้งยังมีเสียงวุ่นวายด้านนอกที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ ยิ่งทำให้เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ ราวกับสะท้อนความตึงเครียดในอก “พระชายา! พระชายา ฟื้นแล้ว!” อาหยุนร้องตะโกนบอกด้านนอก ก่อนจะเร่งรีบเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำและเช็ดหน้าด้วยมือที่สั่นพลางมองผู้เป็นนายหญิงด้วยสายตาห่วงใย “ท่านแม่ฟื้นแล้ว!” อาหรงเอียงคอจับจ้องหน้ามารดาด้วยดวงตากลมโตอยู่นานคาหนึ่งก่อนที่ริมฝีปากน้อยๆ จะขยับพูด “อาหรง…” หนิงอี้เรียกชื่อเสียงแผ่ว พลางจ้องมองใบหน้ากลมๆ ของเด็กชายข้างเตียง ก่อนที่จู่ๆ ริมฝีปากจะสั่นเครือ น้ำตาก็รื้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกในอกตีขึ้นมาฉับพลันอย่างไร้สาเหตุ หลี่จวิ้นหรงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตาชุ่มอยู่บนแก้ม อ้อมแขนน้อยๆ ยื่นไปตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา “ท่านแม่อย่าหายไป อาหรงกลัว” หลี่จวิ้นหรงพูดด้วยเสียงสะอื้น ริมฝีปากเบะออกพร้อมกับน้ำตาเม็ดใสไหลกลิ้งอาบแก้ม ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวปนตกใจ หัวใจของหนิงอี้กระตุกวูบ พลางยกมือไปสัมผัสที่แก้มของเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงอุ้มขึ้นมานั่งบนเตียง ซุกใบหน้าลงกลางอกอย่างอ่อนโยนด้วยสัญชาตญาณราวกับว่าเคยเป็นมารดาผู้ใดมาก่อน ทั้งชีวิตหนิงอี้อ่านนิยายมากมายกว่าร้อยเรื่อง ไม่มีต่ำกว่านั้นแน่ ทั้งแนวทะลุมิติ ย้อนอดีตหรือกลับมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำเดิม แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงถ้อยคำบรรยายที่จินตนาการขึ้นเท่านั้น และเป็นเรื่องสมมติที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แล้วทำไม…ถึงเป็นเธอที่ได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายแบบนี้!? หนิงอี้ยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอเลย เธอกระพริบตาปริบๆ พยายามตั้งสติ มือยังคงลูบแก้มของเด็กน้อยในแนบอ้อมกอดเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่หยุด “ข้า…จะไม่ทิ้งเจ้าไป” หนิงอี้กระซิบเสียงหนักแน่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ถงซิ่นเหยาได้เหยียบเข้ามาในจวนหลี่อ๋องในฐานะพระชายาเอก ทุกวันนางล้วนทุ่มเททุกหยาดเหงื่อและแรงกายเพื่อดูแลเอาใจใส่ทุกชีวิตในจวน ทั้งแม่สามี สามี บุตรชาย แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ยกเว้น รวมไปจนถึงพระชายารองก็ไม่เว้น กล่าวได้ว่าพระชายาเอกแห่งจวนหลี่อ๋องเป็นสตรีผู้มีเมตตา ใจดีกว้างขวางราวแม่น้ำมหาสมุทรไม่จากพระแม่กวนอิมสักนิด ไม่ว่าผู้ใดต่างพากันอิจฉาจวนหลี่อ๋อง ทั้งอิจฉาองค์หลี่อ๋องและฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้ลูกสะใภ้แสนอ่อนโยน น่าเอ็นดู ไม่ว่าจะงานใดในจวน พระชายาก็ล้วนทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังทำหน้าที่ภรรยาได้สมบูรณ์แบบมอบทายาทซื่อจื่อน้อยไว้สืบสกุล แม้หลี่อ๋องมีจะเจ้าชู้ไปบ้าง ทว่าด้วยความเมตตาของฮูหยินผู้เฒ่าทุกอย่างในจวนจึงราบรื่นไร้ปัญหา กล่าวได้ว่า…นี่ดียิ่งกว่าถูกสวรรค์ประทานพรเสียอีก! ผู้คนจึงต่างพากันอิจฉาพระชายาหลี่อ๋องที่มีวาสนา ได้แต่งเข้าจวนอันมั่งคั่ง มีแม่สามีเอ็นดูรักใคร่และคอยให้ท้ายอยู่เสมอ ทว่าอีกเสียงก็กล่าวว่าน่าเห็นใจพระชายาหลี่อ๋อง ทั้งที่เป็นภรรยาที่ดีเพียงนี้ แต่สามีกลับเย็นชา ละเลยไม่สนใจและไม่เคยมอบความรักให้ มิหนำซ้ำยังกล้ามีภรรยาอีกคน และทั้งที่ถูกหยามน้ำใจถึงเพียงนั้น พระชายาก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ ยังคงมอบความอบอุ่นให้ทุกผู้ในจวนอย่างไม่ขาดตก ชีวิตของพระชายาหลี่อ๋องทั้งน่าสงสารและน่าอิจฉา… อย่างไรนางก็เป็นสตรี…ดังนั้น หัวใจของนางจึงยังคงเฝ้ารอเพียงแค่เศษเสี้ยวความเมตตาจากสามี แต่สุดท้ายกลับต้องสูญสิ้นทุกสิ่งเพราะความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของสตรีอีกคน ถงซิ่นเหยายอมได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งยินดีให้สามีหันไปหาผู้อื่น หากนางไม่อาจดูแลได้ดังเดิม แต่ครั้งนี้ อีกฝ่ายกลับล้ำเส้นเกินทน ทั้งที่ผ่านมานางจะไม่เคยตอบโต้ ไม่ร้องฟ้องต่อแม่สามีหรือหาเรื่องกลับคืน ทว่าสุดท้าย…กลับเป็นนางต้องสูญเสียบุตรชายไป โดยไม่เหลือแม้เพียงโอกาสได้กอดอีกสักครั้ง หนิงอี้จำบทนี้ได้ถึงกับสะอื้นในลำคอโดยไม่รู้ตัว เธอไม่เคยเข้าใจความเจ็บปวดของพระชายาหลี่อ๋องมาก่อนว่าจะหนักหนาเพียงใด จนกระทั่งได้มาสัมผัสด้วยตนเอง ความรู้สึกขมขื่น กล้ำกลืนฝืนฝนและเศษเสี้ยวอารมณ์ของเจ้าของร่างเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในอก ราวกับต้องการจะถ่ายทอดทุกหยาดน้ำตาให้เธอรับรู้ทั้งหมด หากรู้ว่าตายแล้วจะต้องทะลุมิติเข้ามาในนิยายเผชิญชะตากรรมแทนผู้หญิงคนนี่แต่แรก เธอคงตามไปหาผู้เขียนบทและรบเร้าให้เขียนต่อเล่มที่สองเสียให้รู้แล้วรู้รอด อย่างน้อยก็จะได้ลุกขึ้นมาทวงคืนทุกสิ่งให้สาสม! หนิงอี้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลืนความปวดร้าวในอกไว้ รอวันที่จะสะสางทุกสิ่ง! ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ก่อนจะก้าวเข้าสู่ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเกริก แม้จะมีเพียงคนในจวนและแขกที่รู้จักไม่กี่คน ทว่าอบอวลไปด้วยบรรยากาศโอ้อวดและเสียงหัวเราะอย่างรื้นเริง นางเดินจูงมือบุตรชายเข้ามา ทันทีที่ร่างปรากฏกลางห้อง ความครึกครื้นเมื่อครู่ก็พลันแผ่วลง เหล่าสาวใช้ต่างก็พากันหยุดมือ สายตาทุกคู่หันมองพระชายาเอกที่เพิ่งฟื้นจากอาการเป็นลม ใบหน้าของหนิงอี้ปรากฏรอยยิ้มบางๆ เจือความเย้ยหยัน ดวงตาคู่งามเย็นชาจับจ้องเบื้องหน้า “ช่างเป็นภาพครอบครัวที่สุขสันต์เหลือเกิน” น้ำเสียงของนางดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถงจนทุกคนชะงักงัน แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเพิ่งเป็นลมไปแท้ๆ ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างนี้ตายไปแล้วด้วยซ้ำแต่สามีกลับไม่เหลียวแล ซ้ำยังมีความสุขอยู่กับสตรีอื่นและลูกที่ไม่ใช่สายเลือดตนเองเช่นนี้หรือ? “หึ…แพศยา!” หนิงอี้หัวเราะเย็นชา “ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดของบุตรชายข้า แต่ลูกของชายชู้กลับได้เฉลิมฉลองวันเดียวกันงั้นหรือ” ทั้งที่วันนี้เป็นวันครบรอบสามขวบของอาหรงแท้ๆ ทว่ากลับมีสตรีหน้าหน้ากล้าเสนอให้จัดพิธีครบร้อยวันของเด็กคนนั้นขึ้นพร้อมกันกับบุตรชายของนาง! หนิงอี้ไม่มีวันยอม เพราะบุตรชายของนางคือซื่อจื่อทายาทโดยตรงของหลี่อ๋อง ไม่เหมือนเด็กในห่อผ้าที่แม้แต่บิดาที่แท้จริงก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด! ดวงตาของนางแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความเดือดดาลเอ่อล้นอยู่ในอก ทั่วทั้งแฝงกลิ่นอายเยียบเย็นออกมากดทับ หากนางยอม ฉากต่อจากนี้คืออาหรงถูกวางยาพิษให้สิ้นใจ นางกุมมืออาหรงไว้ในอ้อมแขนอย่างปกป้อง แม้เด็กน้อยยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับรับรู้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากมารดา ดวงตาคมกริบเงยมองมารดาสลับกับเบื้องหน้า “ท่านแม่…อาหรงสละให้น้องก่อนก็ได้” พอได้ยินถ้อยคำนี้ หนิงอี้พลันหันขวับไปมองทันที หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นแฝงความตกใจและเวทนา นางถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่…ทั้งที่ถูกเอาเปรียบ แต่เหตุใดจึงยอมง่ายๆ เช่นนี้ เกรงว่า หลังจากนี้นางคงต้องอบรมสั่งสอนใหม่ยกใหญ่แล้ว หนิงอี้ส่ายหน้ากับบุตรชายก่อนจะเงยหน้าไปโต้ตอบกลับ “วันครบรอบสามขวบของบุตรชายข้าแต่กลับมีชื่อของเด็กนั่นมาปะปนในวันเดียวกันงั้นหรือ” น้ำเสียงของหนิงอี้ต่ำแต่กดแน่นราวกับความไม่พอใจที่กดไว้คล้ายจะปะทุออกมา นางเลิกคื้วถามอีก “หรือ…จวนหลี่อ๋องไม่เห็นหัวข้าแล้ว!” หากเขาคิดจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนางและอาหรง…ก็อย่ากล่าวโทษว่านางไม่ไว้หน้าอีกต่อไป! ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นจึงค่อยๆ ดังก้องท่ามกลางความเงียบงัน สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพากันก้มหน้าจนแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะหายใจแรง หลี่อ๋องก้าวเดินในห้องโถงไปอีกฝั่ง ชุดคลุมสีดำปักดิ้นทองขลิบเงินสะท้อนแสงตะเกียงยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม เขามองสตรีตรงหน้าที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องโถง สายตาคมกริบดั่งคมมีดเย็นเฉียบ “เค้าคิดจะก่อเรื่องอันใดอีกงั้นรึ” เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบแฝงแรงกดดันหนักอึ้ง “เพียงงานเลี้ยงเล็กๆ ยังต้องให้ทั้งจวนมาวุ่นวายเพราะอารมณ์ของเจ้าเพียงผู้เดียวอีกหรือ” หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น ใบหน้าหล่อเหลาฉายความรำคาญเจือความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน จะวันเกิดของบุตรชายคนโตหรือครบรอบหนึ่งร้อยวันของบุตรชายคนเล็ก…ต่างกันก็ไม่มากนัก เหตุใดจึงต้องแยกวันจัดงานให้ยุ่งยากเช่นนี้? หลี่เฉิงหยวนไม่มีทางเข้าใจได้ หนิงอี้เชิดปลายคาง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งประสานสบตากับบุรุษตรงหน้า นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอเบาๆ พลางสำรวจมองตั้งแต่บนลงล่างพร้อมกับความสงสัยที่ว่าเขาคือบิดาของเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ นางในตอนนี้จริงหรือไม่…? แม้รูปโฉมจะของเขาหล่อเหลา แต่ถ้าวาจาเช่นนี้…มิสู้ให้พ่อของลูกนางเป็นขอทานยังดีกว่า! อย่างน้อยขอทานก็ยังรู้จักกล่าวจาดีและขอบคุณเมื่อได้รับเศษเงินจากผู้อื่น หาได้มีถ้อยคำพูดราวกับไร้สมองเช่นนี้ “อารมณ์ของข้า…” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ถามทวน ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “หรือหลี่อ๋องยินยอมให้ซื่อจื่อถูกเหยียบย้ำศักดิ์ศรีในวันเกิดของตนเอง” เป็นเพียงลูกของชายชู้แต่กล้าดียังไง มาเทียบกับบุตรชายของนางซึ่งเป็นทายาทสายเลือดแท้ของหลี่อ๋อง! “พี่หญิง! คำพูดของพี่หญิงรุนแรงเกินไปแล้วกระมัง แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็นเพียงพระชายารองไม่ใช่พระชายาเอก ทว่าอาเซียนก็เป็นบุตรชายของหลี่อ๋องเหมือนกันมิใช่หรือเพคะ” ทันใดนั้น น้ำเสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้องโถง มือของนางโอบอุ้มทารกน้อยในห้อผ้าที่คลอดมาด้วยความยากลำบากไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะถูกพรากไป หลี่อ๋องแค่นหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับคมมีด “ศักดิ์ศรีงั้นหรือ…ข้าว่าคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าโวยวายต่อหน้าผู้คนต่างหากที่ไร้มารยา!” สายตาคมกริบจ้องมองสตรีอวดดีตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว มือทั้งสองกำแน่นจนเส้นเลือดปูด ราวกับกำลังอดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่คับแน่นในอก หนิงอี้ได้ยินแล้ว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขับขัน แฝงความเย้ยหยัน “ไร้มารยาอย่างนั้นหรือ…ข้าเพียงพูดความจริงที่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดต่างหากหลี่อ๋อง! ข้าหวังดี เกรงว่าหลี่อ๋องคงถูกบางสิ่งบังตาให้สตรีแพศยาครอบงำจนตาบอดมองไม่เห็นหน้าบุตรชายแท้ๆ ของตนเองเท่านั้น!” “ถงซิ่นเหยา!” น้ำเสียงทุ้มตวาดลั่น หลี่เฉิงหยวนขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันกราม สายตาคมกริบแข็งกร้าวคล้ายกำลังยกคมดาบจ่อคอสตรีตรงหน้า “เพคะ” หนิงอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหาได้รู้สึกหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวแต่อย่างไร “หรือวันนี้หลี่อ๋องกล้าจะลงมือทำร้ายข้าต่อหน้าผู้อื่น?”บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องอึมครึ้ม ราวกับมีเมฆพายุฝนหนาทึบตั้งเค้าอยู่เหนือหัว อากาศหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจนคล้ายถูกบีบรัดแน่นแทบหายใจไม่ออก ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงดังหรือแม้แต่หายใจแรงด้วยซ้ำทั้งที่วันนี้เป็นวันมงคลของจวนหลี่อ๋องควรเฉลิมฉลองให้แก่ซือจื่อน้อย แต่ทุกสิ่งกลับพังลงในพริบตา เมื่อพระชายาเอกปาจอกน้ำชาของพระชายารองลงพื้นโดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยผู้ใดเล่าจะเคยเห็นพระชายาเอกผู้ที่สงบเสงี่ยมแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาถึงเพียงนี้ ทั้งยังกล้าเผชิญหน้าต่อหลี่อ๋องโดยไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อยเกรงว่าความอดทนที่สะสมมานานจะขาดสะบั้นลงเสียแล้ว คงยอมแตกหักดีกว่าถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ค่ากระมังผู้คนทั้งในจวนอดรู้สึกเห็นใจพระชายาเอกไม่ได้…สตรีที่ถูกสามีเอ่ยปากรังเกียจต่อหน้าด้วยคำพูดหยามน้ำใจ ถูกปฏิบัติใส่อย่างเย็นชาราวกับคนแปลกหน้ามิใช่ภรรยาที่ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันมาและทั้งที่อยากจะหย่าเกินทน หากแต่ต้องทนเพราะเกรงใจฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นมิหนำซ้ำ เมื่อในคืนวันเข้าหอนั้น หลี่อ๋องกลับหนีออกจากเรือนทั้งที่เข้าไปได้เพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะพบได้ว่าแอบไปหาสตรีอื่นและยิ่งไปกว่านั้น ยังมีถ้อยคำที่ออกจาก
ในนิยายกล่าวถึงฉากนี้ไว้ พระชายาหลี่อ๋องทุ่มเทแรงกายและแรงใจทุกหยาดเหงื่อ ตระเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบให้บุตรชายมาเป็นเวลาหลายวัน ทุกอย่างถูกวางแผนอย่างละเอียดราวเพราะเป็นวันสำคัญ แต่ก่อนวันงานเพียงหนึ่งวัน…ทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเพราะบุตรชายกับสตรีอีกคนของสามีก็ครบร้อยวันพอดีจึงเรียกร้องให้มีการจัดงานฉลองร้อยวันให้ด้วยแม้แม่สามีจะไม่แสดงท่าทีขัดค้าน ทว่าพระชายาหลี่อ๋องกลับรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงและคำพูดที่แฝงความหมาย ซึ่งแม้จะกล่าวว่านับเป็นเรื่องน่ายินดีที่จวนหลี่อ๋องจะชื่นมื่น แต่แท้จริงแล้วนั่นไม่ต่างจากการเหยียบย่ำหน้าและศักดิ์ศรีของนางเบาๆเดิมทีตั้งแต่คลอดบุตรชาย สุขภาพของพระชายาหลี่อ๋องก็ไม่ค่อยแข็งแรง มักจะล้มป่วยบ่อยและเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ วันนี้เช่นกัน เมื่อยามสายผ่านไปไม่นาน ร่างกายที่อ่อนแรงของนางก็ทนไม่ไหวจนเกิดเป็นลมกลางจวนและในช่วงเวลานั้น บุตรชายของนางไร้ผู้ใดปกป้องพลันถูกวางยาพิษจนสิ้นชีพ…เพียงเสี้ยวลมหายใจทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแทบไม่มีผูใดทันตั้งตัวเมื่อพระชายาหลี่อ๋องฟื้นขึ้นมาจากอาการเป็นลม สิ่งแรกที่เห็นทำให้หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
หนิงอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องเงียบสงบกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าเสียงฝีเท้ายังคงวุ่นวายอยู่ด้านนอก กลางอกนางยังรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อยจนต้องยกมือขึ้นมานวดเบาๆ ทว่ากลับชะงักเมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนน้อยของเด็กชายที่กอดเธอไว้ก่อนหน้านี้ดวงตาดำกลมโตของเด็กน้อยดูใสซื่อเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจโลกใบนี้ดี มือข้างหน้าโอบกอดมือของเธอแนบหน้าไว้ไม่ยอมปล่อยหน้าต่างถูกผ้าม่านผืนบางกั้น แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดลอดเข้ามาเป็นเส้นๆ ชายผ้าม่านกระพือตาทสายลม เงาของคนเดินผ่านทำให้หนิงอี้ลายตารู้สึกเวียนหัวอีกครั้ง ทั้งยังมีเสียงวุ่นวายด้านนอกที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ ยิ่งทำให้เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ ราวกับสะท้อนความตึงเครียดในอก“พระชายา! พระชายา ฟื้นแล้ว!” อาหยุนร้องตะโกนบอกด้านนอก ก่อนจะเร่งรีบเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำและเช็ดหน้าด้วยมือที่สั่นพลางมองผู้เป็นนายหญิงด้วยสายตาห่วงใย“ท่านแม่ฟื้นแล้ว!” อาหรงเอียงคอจับจ้องหน้ามารดาด้วยดวงตากลมโตอยู่นานคาหนึ่งก่อนที่ริมฝีปากน้อยๆ จะขยับพูด“อาหรง…” หนิงอี้เรียกชื่อเสียงแผ่ว พลางจ้องมองใบหน้ากลมๆ ของเด็กชายข้างเตียง ก่อนที่จู่ๆ ริมฝีปากจะสั่นเครือ น้
“เพราะสตรีผู้นั้น…! เป็นเพราะมันที่ทำให้อาหรงต้องตาย!” น้ำเสียงของพระชายาหลี่อ๋องดังก้องลั่นออกมา แววตาและนิ้วชี้ไปตรงหน้าราวกับต้องการจี้เข้าไปในเนื้อหัวใจของอีกฝ่าย ดวงตาแดงของนางกร่ำเต็มไปด้วยความโกรธและความแค้นที่แทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“หากมันไม่ตายตามลงไปปรโลกเพื่อขอโทษอาหรง! ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าบุตรชายของเจ้าจะได้มีลมหายใจ! ต่อให้เกิดมาอีก ข้าก็จะฆ่าทิ้ง!”พระชายาหลี่อ๋องยืนตรงหน้าประตูเรือนใหญ่ ในอ้อมแขนกอดทารกน้อยเพียงร้อยวันด้วยความรู้สึกผิดผสมแค้น ส่วนมืออีกข้างกำปิ่นแหลมแน่นจนลำแสงอ่อนจากโคมไฟสะท้อนประกายเย็นเฉียบจนบรรยากาศกัดดันยามนี้ความอดทนของนางถึงขีดสุดแล้ว…ที่ผ่านมา นางอดทนมาเยอะเกินกว่าจะนับได้หากแต่ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวนั้น ยังมีเสียงร้องเบาๆ จากเล็กน้อยจากทารกน้อยในอ้อมแขน ราวกับเตือนให้นางสงบนิ่งนางเคยเป็นมารดาและเคยสูญเสียลูกไปอย่างไม่วันหวนคืน“สตรีชั่ว! หากมิใช่เจ้าละเลยหน้าที่มารดาที่ดีไม่อาจเลี้ยงบุตรได้…หึ! ที่อาหรงต้องตายก็เพราะเจ้า! เจ้ายังกล้าโทษผู้อื่นไร้สติหรือ?! เช่นนั้นเจ้าก็…ตายตามอาหรงไปเฝ้าปกป้องเขาเสีย!”หลี่อ๋องจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความโกรธท







