LOGINบนม่านหมอกหนาทึบเฟยเฟิ่งกำลังมองดูชีวิตของว่านเฟยเฟิ่งที่อยู่ในร่างนี้ช่วงสิบแปดปีแรกของชีวิต คุณหนูว่านมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แม้จะเกิดปัญหาก็ไม่ได้กระทบกับครอบครัวมากนัก เพราะผู้นำตระกูลเป็นคนมองสิ่งต่างๆ ได้เฉียบขาดปรับตัวไปตามสถานการณ์อำนาจได้ลื่นไหล
ว่านเฟยเฟิ่งมีบิดาเป็นผู้นำระดับสูง เครือญาติมากด้วยอำนาจล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เล็กไม่เคยเป็นคนเอาแต่ใจหรือร้ายกาจ เด็กผู้หญิงที่หน้าตาโดดเด่นมาจากครอบครัวร่ำรวยมีอำนาจ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเลวร้ายให้ผู้คนเคารพ เธอมีทุกสิ่งมากกว่าผู้อื่นจนน่าอิจฉา
ทว่าจุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มต้นขึ้นเมื่อมารดาผู้ให้กำเนิดคลอดน้องชายออกมาแล้วสิ้นใจไปเมื่อเธออายุได้แปดปี หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนบิดาก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้านสกุลว่านพร้อมกับลูกติดวัยไล่เลี่ยกับเฟยเฟิ่ง ที่คุณหนูว่านแอบไปได้ยินว่าเป็นลูกแท้ๆ อีกคนของบิดา ไม่ใช่ลูกติดจากสามีเก่าที่เสียไปแล้วอย่างที่หลอกลวงผู้คน
“ทำไมต้องปิดบังแบบนั้น” เฟยเฟิ่งละเมอออกมาตามความฝันที่ตนเองเห็น
“หมอ! ถ้าเธอละเมอได้ ทำไมเราปลุกแล้วไม่ตื่นกัน” ซีจื่อหานที่เฝ้าภรรยาที่แทบจะไม่รู้จักกันถามออกไปอย่างสับสน
ว่านเฟยเฟิ่งไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อย แต่เธอกลับได้รับคำตอบจากความทรงจำของเฟยเฟิ่งตัวจริงว่าเรื่องภาพลักษณ์นั้นสำคัญกับบิดาของเธอมากเสียจนยอมปิดบังให้ลูกสาวอีกคนอยู่ในฐานะลูกเลี้ยง
แม้จะเป็นเช่นนั้นการปฏิบัติกลับไม่ได้สะท้อนออกมาเลยว่าบุตรสาวทั้งสองคนมีสถานะที่แตกต่างกัน สิ่งใดที่เฟยเฟิ่งได้ ลูกสาวอีกคนก็ย่อมได้ และได้มากกว่าด้วยความรู้สึกผิดที่อยากชดเชยให้สองแม่ลูกสำหรับช่วงแรกของชีวิต ชดเชยมากเสียจนมารุกล้ำสมบัติเดิมของมารดาเฟยเฟิ่ง
ความอยุติธรรมนี้ทำให้เด็กหญิงที่เคยอ่อนหวาน กลายเป็นปีศาจหวงสมบัติ เอาแต่ใจ อารมณ์ร้อน ตบตีผู้คน ด่ากราดคนงานเพียงเพราะแค่มองหน้าเธอ เฟยเฟิ่งกลายเป็นคนไม่รู้จักแบ่งปันอะไรให้ใคร แม้แต่รอยยิ้มหรือคำพูดดีๆ ก็ไม่อาจให้ใครได้ ของเธอคือของเธอใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะชายตามอง
การกลั่นแกล้งสองแม่ลูกเริ่มต้นขึ้นเพราะความรู้สึกน้อยใจที่บิดาหลอกลวง และเริ่มหนักข้อขึ้น เมื่อน้องชายเพียงคนเดียวกลับไปรักแม่เลี้ยงมากกว่าที่รักตนเอง และเพราะเขาเป็นบุตรชายคนเดียวจึงได้ความสนใจเกือบทั้งหมดของพ่อไปด้วย มีเพียงอาหญิงเล็กของเฟยเฟิ่งที่โตกว่านิดหน่อยคอยเลี้ยงดูอบรม จนกระทั่งแต่งงานออกไปกับคนที่พ่อแม่จัดหาให้เพื่อส่งเสริมหน้าที่การงานพี่ชายให้แข็งแกร่ง
เมื่อเฟยเฟิ่งอายุได้สิบเจ็ดปี พ่อของเธอเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตไป คุณหนูว่านไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว ต่างกับลูกเลี้ยงในสายตาผู้คนที่ร้องห่มร้องไห้จนเป็นลมไปหลายรอบ ความต่างนี้ประกอบกับนิสัยเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา ทำให้เมื่อจานจิ่งเหมยภรรยาคนที่สองของว่านหนิงหยางเสนอว่าควรส่งเฟยเฟิ่งไปแต่งงานในชนบทเพื่อดัดนิสัย ผู้นำตระกูลว่านที่เป็นปู่จึงไม่คิดคัดค้าน และจะหาผู้ชายธรรมดาจำพวกหัวหน้าหน่วยงานเล็กๆ มาแต่งงานกับหลานสาวตนเอง
แต่เพราะจิ่งเหมยต้องการกลั่นแกล้งจึงเสนอว่าควรเป็นชาวนามากกว่าจึงจะแก้นิสัยของหลานคนนี้ได้ ปู่ว่านยังห่วงหลานจึงปฏิเสธไปในครั้งแรก แต่เพราะคุณหนูว่านก่อเรื่องอาละวาดหนักข้อขึ้นทุกวัน จึงทำให้ผู้นำตระกูลเหลืออดยอมตอบตกลงไป
อาหญิงที่ได้รับรู้เรื่องราวจึงเร่งหาชาวนาที่เหมาะสมให้อย่างน้อยหลานสาวจะได้ไม่ทุกข์ทรมาน ก็ได้พบกับซีจื่อหานที่มาทำการก่อสร้างใกล้บ้านโดยบังเอิญตอนที่ถูกขโมยกระเป๋า แต่ไม่ยอมรับรางวัลสินน้ำใจจึงเกิดความประทับใจ
เมื่อสืบสาวมาแล้วพบว่าพื้นเพเป็นชาวนาจึงติดตามดูให้แน่ใจว่าขยันสู้งาน ไม่มีเรื่องผู้หญิง ไม่มีเรื่องอบายมุข ทั้งยังหล่อเหลาแม้ว่าจะคล้ำแดดไปเสียหน่อย ว่านฟางลี่รีบนำไปเสนอบิดาก่อนที่พี่สะใภ้จะเอาคนกักขฬะมาเป็นหลานเขยของเธอ ปู่ว่านที่ได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าผู้ชายอย่างนี้จึงจะดัดนิสัยหลานสาวได้ ปีต่อมาเฟยเฟิ่งจึงถูกส่งมาหมู่บ้านชิวหลิน และที่รสาฟื้นมาในร่างนี้หน้าบ้านคือตอนที่เจ้าของร่างตัวจริงกำลังจะหนีไปอยู่ในเมืองคนเดียว
“หรือว่าผีผู้หญิงจะเป็นเธอ!” เฟยเฟิ่งเด้งตัวขึ้นมาบนเตียงโรงพยาบาลก็ประจันหน้าเข้ากับชายที่เจอที่แผงขายของ จึงโพล่งคำถามที่เคยฝากฝังไว้ในทันที “ถามลุงหูให้ฉันรึยัง”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบหมอและพยาบาลก็ดันตัวจื่อหานและผ่าเจียที่เพิ่งวิ่งมาถึงออกไปทันที เมื่อหมอและพยาบาลรุมตรวจร่างกายเฟยเฟิ่งก็ต้องปล่อยให้ทุกคนทำไปตามใจ แต่จู่ๆ ก็เกิดปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาที่หลังมือจนต้องร้องออกมา
“แสบๆๆ คุณพยาบาลช่วยด้วยค่ะหลังมือฉันแสบมาก โอ๊ย น้ำขอน้ำมาจุ่มมือทีค่ะ” เฟยเฟิ่งพูดไปน้ำตาไหลไปหลังมือของเธอตอนนี้ มีรูปดอกไม้แดงขึ้นมาเหมือนในบริเวณนั้นถูกไฟลวกอยู่ “ไม่เห็นเหรอคะ ว่ามือฉันไหม้ ช่วยทีคุณหมอ คุณพยาบาล”
“ไม่มีนะครับคนไข้ คนไข้ใจเย็นๆ” หมอหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจนักเพราะเขาไม่เห็นรอยไหม้ใดๆ มีแค่แผลบนหัวที่ควรจะรีบเย็บให้ดี
“ก็นี่ไง คุณดูสิ ไม่…เห็น ไม่มีแล้ว ไม่แสบแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน” ว่านเฟยเฟิ่งที่ไม่รู้สึกและไม่เห็นดอกไม้บนผิวตัวเองแล้วก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าขึ้นมา แค่เพียงเรื่องที่ตนเองต้องเป็นคนเห็นผีก็หนักหนาแล้ว หากจะให้เห็นภาพหลอนอีกมองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็ยอมแพ้ได้เช่นกัน
.
.
.
หลังจากรักษาจนเสร็จเฟยเฟิ่งออกมาก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นเสียแล้ว จะเหลือก็แต่คนที่เฟยเฟิ่งเพิ่งรู้ว่าเป็นพี่ชายคนโตของว่าที่สามี
“ฉันต้องขอโทษพี่ชายด้วยที่ไม่เคยไปทักทาย ฉันบอกตามตรงก่อนนี้ยังทำใจที่ต้องมาแต่งงานไม่ได้จริงๆ” เฟยเฟิ่งที่ได้ความทรงจำทั้งหมดมาแล้วก็รู้สึกขอบคุณป้าอันคนนั้นอยู่บ้าง แต่เมื่อได้มาแล้วก็เห็นว่าตนเองแผลงฤทธิ์ไว้ร้ายแรงจริงๆ แม้แต่ญาติสามีมาเยี่ยมเยียนดูว่าเธอขาดเหลืออะไรไหมก็ไม่ยอมออกไปพบหน้า
“น้องชายฉันก็ทำเกินไป ห่วงแต่ทำงาน คุณมาถึงก็ไม่อยู่ต้อนรับดูแลก่อน พวกเราไปแล้วจะถูกไล่ออกมาก็ปกติแล้ว ใครๆ ก็ต้องรู้สึกแย่ ต่อให้ครอบครัวยอมรับแต่สามีไม่ยอมรับจะมีความสุขได้ยังไงกัน”
ซีผ่าเจียแอบขุ่นเคืองน้องชายที่รีบวิ่งออกไปทันทีที่จางเข่อซินมาตามเพราะเถ้าแก่มีงานใหม่ที่ต้องไปด่วน จึงฝากเงินไว้แล้วรีบกลับไปทำงานทันที ทิ้งให้ภรรยาต้องกลับกับพี่ชายโดยที่ยังไม่แนะนำตัวกันเสียด้วยซ้ำ
“อ๋อ เรื่องช่างหูไม่ต้องห่วงนะสามีเธอจะจัดการจ่ายเงินให้เอง” ผ่าเจียเอาคำน้องชายมาถ่ายทอดก่อนจะลืม
“ฉันยังไม่ได้เจอเขาด้วยซ้ำ จะมาจ่ายให้ทำไมฉันอาจจะขอหย่าก่อนได้แต่งงานกันจริงๆ ก็ได้ แล้วเขาจนมากรึไงกัน รู้ทั้งรู้ว่ามีปลิงดูดเลือด ทำไมให้เงินไว้น้อยจัง ถ้าฉันไม่สู้สุดตัวคงได้อดตายกันแล้ว” เฟยเฟิ่งบ่นอุบ
“เพราะรู้ว่ามีปลิงเลยให้มากไม่ได้ แม่ก็ยอมคนจนน่ารำคาญ ส่วนใหญ่เขาจะซื้อเป็นของทิ้งไว้ปลอดภัยกว่า คนพวกนั้นส่วนมากแล้วต้องการเงินน่ะ”
“ก็จริง แต่จากนี้คงไม่มีแล้ว ถ้ามีอีกฉันก็ไม่ไหวแล้ว อย่าตำหนิฉันว่าเห็นแก่ตัวเลยนะพี่ซี” เธอกัดปากตนเองจับแผลบนหัวทั้งสองจุดที่หมอจัดการให้พร้อมกันอย่างหนักใจเพราะผมแหว่งออกไป ต่อให้ร่างนี้สวยแค่ไหนผมแหว่งก็ทำให้หมดสวยได้เช่นกัน
เฟยเฟิ่งน้ำตาคลอหน่วยทำให้ซีผ่าเจียเห็นใจเข้าไปใหญ่ คนเราต้องมาใช้ชีวิตที่ลำบากกว่าเก่า เลี้ยงลูกติดสามี ต่อสู้กับญาติแม่สามี น้องสะใภ้คนนี้โตกว่าลูกสาวของผ่าเจียไม่กี่ปีจึงมองว่าเป็นลูกหลานมากกว่าน้องสะใภ้ และปล่อยใจเข้าข้างได้ไม่ยาก
โดยที่ผ่าเจียไม่รู้เลยว่าน้องสะใภ้ไม่ได้ร้องไห้เพราะเผชิญความลำบาก แต่ร้องเพราะกลัวไม่สวยต่างหาก!
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ