ログインในที่สุดแผ่นพลาสติกใสก็มาถึงพร้อมติดตั้งให้เฟยเฟิ่งได้เป็นคนเดียวที่สามารถปลูกผักในช่วงสองเดือนต่อจากนี้ได้ ที่ยอดเยี่ยมไปกว่านั้นคือช่างหูเลือกการติดตั้งแบบที่เฟยเฟิ่งสามารถม้วนแผ่นพลาสติกนั้นเก็บได้หากต้องการ มีแค่ด้านบนสุดเท่านั้นที่จะเป็นการติดตั้งแบบถาวร
“แบบนี้ดีเลยฉันอยากจะเปิดเข้าจากทางไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“เห็นว่าจะเอาไว้ปลูกผักแบบนี้จะได้ขุดอะไรได้สะดวก”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่านเฟยเฟิ่งก็ปล่อยให้ช่างทำงานโดยไม่เข้าไปรบกวนอีก ส่วนซูลี่กับจื่อซวานก็วิ่งออกไปตามเด็กในหมู่บ้านที่เล่นด้วยกันเป็นประจำแล้ว เฟยเฟิ่งส่งของให้แก่ลูกค้าที่ต้องมารับเนื้อของตัวเองจนครบถ้วนก็ก้าวไปหลังครัวทันที
อาหารกลางวันง่ายๆ อย่างบะหมี่น้ำมันกระเทียมถูกวางขึ้นโต๊ะให้อันซูเจิน ส่วนตนเองก็กินลวกๆ อยู่หลังครัว นำปลาที่ซื้อออกมาแยกเนื้อสับจนละเอียดใส่ถ้วยแยกเอาไว้ และนำชามที่ใหญ่กว่าใส่น้ำก่อนจะนำถ้วยที่มีปลาอยู่ลงไปวางซ้อน ให้ความเย็นของน้ำช่วย ใส่แป้งมัน ไข่ เกลือ น้ำตาล และน้ำมันลงไป
ว่านเฟยเฟิ่งต้องใช้มือบีบขยำส่วนผสมเพราะไม่มีเครื่องปั่น แม้เนื้อจะไม่เนียนเท่าที่คุ้นเคย แต่ก็พอจะถูไถไปได้ เธอเอาส่วนผสมเทใส่จาน แล้วนำขึ้นนึ่งไม่นานนักเด็กประมาณแปดคนก็กรูเข้ามาในบ้านพอดี ด้านหลังมีเหมยหลัน และแม่เด็กที่ตามมาช่วยดูแลอีกสองคน คนหนึ่งอุ้มเด็กทารกแนบอกมาด้วย
“มากันแล้วๆ จื่อซวานเพิ่งบอกว่าอยากจะชวนเพื่อนมา ถ้าอย่างนั้นเด็กมาช่วยน้าทำเลยดีไหม” เฟยเฟิ่งทักทายทุกคนพลางล้างมือที่เลอะเต้าหู้ปลาไปด้วย
“ทำอาหารเหรอ เด็กผู้หญิงทำได้ พวกเราจะไปเล่นรอ” เด็กชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาก่อนจะชวนเพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกันหน้าบ้าน
“เด็กผู้ชายก็ทำได้ นี่แป้งกับปลาบ้านน้า คนมีงานทำเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์กิน ถ้าเล่นรอไม่ช่วยกันก็อดไป” ว่านเฟยเฟิ่งระบายยิ้มหวานออกมา
“สหายคนนี้ บ้านฉันไม่ให้ผู้ชายเข้าครัว เสี่ยวอ๋านทำไม่เป็นหรอก” แม่ของเด็กชายลุกขึ้นมาช่วยพูดคลี่คลาย
“ใช่ครับ ทำอาหารมีแต่ผู้หญิงทำ” เด็กคนนั้นยังคงเถียงคอเป็นเอ็น ด้วยยามอยู่บ้านก็เคยเห็นแค่มารดาและพี่สาวที่มีหน้าที่ทำอาหาร ไม่เคยเห็นพ่อเข้าไปในครัวสักครั้งเดียว
“ผู้ชายก็ทำได้ หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องคอยช่วยหยิบจับ ถ้าหนูทำงานหนักแล้วมีคนอยู่ว่างๆ ไม่ยอมช่วย แต่พอเสร็จแล้วจะมาขอส่วนแบ่ง หนูชอบไหม”
“ไม่ชอบครับ” ต้งอ๋านอ๋านยอมนั่งลงแต่โดยดี
“เท่านั้นแหละ” ว่านเฟยเฟิ่งพูดจบก็หันไปมองแม่ที่ตามลูกมา “งานบ้านงานครัวหลายอย่างดีต่อเด็ก อย่างอาหารที่จะทำวันนี้ต้องนวดแป้งจะทำให้มือแข็งแรง เขียนหนังสือสวยขึ้น”
“จริงเหรอ”
“เชื่อเถอะหมิงลี่ ฉันได้ยินมาจากซีฮวาจูว่าก่อนแต่งงานเฟยเฟิ่งเป็นถึงที่สามของมณฑลเชียวนะ รู้มากกว่าชาวบ้านอย่างเราแน่” เย่เหมยหลันช่วยพูด
“พวกเธอไปรอกันในบ้านได้เลย ให้ถือว่าเด็กๆ มาทำกิจกรรม แล้วมีฉันเป็นคนนำแล้วกัน” เฟยเฟิ่งยิ้มแย้มจากนั้นก็กวักมือให้เด็กๆ ไปล้างมือ แล้วมานั่งล้อมวงกัน
“น้ารู้ว่าจื่อซวานอยากให้เพื่อนๆ ได้กินของที่เราขายวันนี้ แต่น้าจะช่วยทำอย่างอื่น คล้ายกัน แต่อันนี้เรากินกับเต้าหู้ปลาที่น้านึ่งอยู่ได้”
“เต้าหู้ปลาเหรอครับ” ซีจื่อซวานตาโต
“อื้ม เต้าหู้ปลาเด้งๆ นุ่มๆ”
ว่านเฟยเฟิ่งหยิบชามผสมมาตั้งตรงกลาง แจกถ้วยให้เด็กๆ จับคู่กันเพื่อทำแป้งต๊อกแสนอร่อย
แป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า ตามด้วยเกลือ น้ำตาล และน้ำมันเล็กน้อยถูกตวงและเทลงในชามผสมใหญ่ของเฟยเฟิ่งเป็นตัวอย่าง จากนั้นเธอก็ลดสูตรให้พอดีกับถ้วยของเด็กๆ แล้วบอกให้ต่อคิวกันเทส่วนผสม
“ค่อยๆ ตักระวังหก” เฟยเฟิ่งพูดไม่ทันขาดคำต้งอ๋านอ๋านที่จับช้อนไม่แน่นสาดแป้งเข้าเต็มหน้าตนเอง
“เสี่ยวอ๋านขอโทษครับ” เด็กน้อยน้ำตาคลอเบ้ากลัวนักหนาว่าจะถูกดุด่าเหมือนน้องสาวที่มักจะโดนคุณย่าตีเวลาที่ทำอะไรผิดพลาดในครัว
“ไม่เป็นไร ต้องจับให้แน่นกว่านี้ เลื่อนไปกำตรงกลางหน่อย ลองใหม่”
“ถ้าอยู่บ้านพี่อ๋านโดนย่าตีไปแล้ว” อิ๋นมี่ผู้เป็นน้องสาวเอ่ย “จับตรงปลายช้อนมันยากต้องจับแบบนี้”
เมื่อเฟยเฟิ่งเห็นว่ามีคนจัดการกับเสี่ยวอ๋านแล้วจึงเริ่มดูเด็กคนอื่นต่อ เมื่อความวุ่นวายของการตักส่วนผสมจบลง เธอก็เริ่มให้เด็กๆ เทน้ำลงไปคนผสม
“ระวังให้ดีล่ะ น้ำน่ะเติมเพิ่มได้ แต่เอาออกมาไม่ได้นะ”
ขั้นตอนนี้ทำให้เห็นนิสัยเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจน โดยที่เฟยเฟิ่งหันไปสนใจลูกเลี้ยงของตนเองก่อน ซูลี่ที่เป็นคนไม่คิดมาก และไม่ค่อยระวังใส่น้ำลงไปคราวเดียว และแน่นอนว่าซูลี่นั้นใส่น้ำเยอะเกินไป จื่อซวานที่น่าจะรู้นิสัยน้องสาวตนดี ไม่ยอมใส่น้ำ แต่รอจนเห็นว่าซูลี่ทำผิดพลาด แล้วจึงเอาแป้งตนเองลงไปผสมกับของซูลี่ กลายเป็นว่าของสองพี่น้องออกมาพอดี
ต้งอิ๋นมี่ผู้เชี่ยวชาญงานครัวทำออกมาได้พอดี ไม่เหลวเกินไป ไม่แห้งเกินไป ส่วนเสี่ยวอ๋านที่ทำแป้งหกใส่น้ำทีละนิด แบบที่ถ้าแยกใส่ทีละหยดได้คงทำเช่นนั้นไปแล้ว ส่วนเด็กคน อื่นๆ บางคนช่วงแรกก็ทำแบบเสี่ยวอ๋าน แต่สักพักก็ทนไม่ไหว ใส่น้ำตามไปจนเหลวต้องเอาของเพื่อนมาผสม บางคนก็ไม่กล้าทำต้องให้อิ๋นมี่เป็นคนตักให้ แต่ท้ายที่สุดก็ได้แป้งออกมาครบถ้วน
“ทีนี้เอามาเทรวมกับของน้า เราจะนึ่งมันนิดหน่อย แล้วเอามานวดกัน”
เมื่อนำไปนึ่งเต้าหู้ปลาที่นึ่งอยู่ก่อนหน้านี้ก็สุกพอดี กลิ่นของปลาหอมโชยเรียกให้เหมยหลันที่คุยอยู่ในบ้านต้องเดินออกมาดู
“ทีนี้เราจะหันเป็นชิ้น น้าจะหั่นไว้ให้เลยนะ นี่ทำจากเนื้อปลากับแป้งมัน รับรองว่าอร่อยมากๆ”
“หอมมากด้วย เธอนี่เก่งจริง” เย่เหมยหลันดูเต้าหู้ปลาชิ้นใหญ่ที่กำลังถูกหั่นแบ่ง
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันทำเผื่อทุกคนนั่นแหละ” เฟยเฟิ่งพูดจบก็ขอแรงเหมยหลันต่อ “ฉันวานเธอจัดที่หน้าบ้านหน่อยสิ พอเสร็จแล้วยกไปทอดกินหน้าบ้านน่าจะดี มีพื้นที่ให้ยืดขา”
เย่เหมยหลันไม่ขัดข้อง วันนี้บุตรสาวได้มาฝากท้องที่นี่ ได้กินเนื้อปลาก็เป็นน้ำใจของสะใภ้ที่จากบ้านมาไกลคนนี้แล้ว เหมยหลันกลับบ้านไปหาหนังสือพิมพ์มาวางเรียงเป็นที่รองนั่งย้ายเตาถ่านจากรถเข็นขายของมาวางเตรียมให้พร้อม และเมื่อนึกได้ก็ให้หมิงลี่กลับไปเอาไชโป๊วที่บ้านมาให้เฟยเฟิ่งเจียวเพิ่ม
.
.
.
“ต่อมาเราก็จะนวดแป้งกัน” เฟยเฟิ่งยกแป้งที่นึ่งแล้วลงมารอจนอุ่นๆ พอจับได้ ก็นวดแป้งไปพลางๆ ก่อน จากนั้นก็ตักแบ่งให้เด็กทุกคนได้นวดเองด้วย
การทำแป้งครั้งนี้ไม่ได้จำกัดให้เด็กๆ ต้องทำเป็นทรงกระบอกอย่างที่เฟยเฟิ่งทำ แต่เธออนุญาตให้เด็กน้อยปั้นเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ใจของตัวเอง ความเงียบก็พลันปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนแม่ของเด็กๆ ที่อุ้มเด็กทารกมาด้วยต้องลุกขึ้นมาดูด้วยตนเอง
“สหายว่าน ทำให้เด็กเงียบได้ยังไงกัน” ต้งจิ่งยุนเอ่ยถาม
“ไม่ยากหรอก พวกเขาต้องใช้ความคิดก็เลยเงียบกันแบบนี้”
จิ่งยุนมองไปก็เห็นว่าลูกสาว และหลานๆ กำลังเอาแป้งมาบรรจงประกอบร่างเป็นบางอย่าง แม้จะดูไม่ออกก็รู้ได้เลยว่าทุกคนกำลังตั้งใจ
“สงบหูจริงๆ บ้านฉันมีเด็กหลายคน เจ้าสามคนนี้ก็นับว่าเป็นศูนย์กลาง มีเด็กไปเล่นด้วยทุกวัน คงต้องใช้วิธีอย่างนี้บ้างแล้ว”
ว่านเฟยเฟิ่งเพียงแค่ยิ้มแล้วจึงไปทำซอสทาเตรียมไว้ก่อน อย่างของที่ใช้ทาโมจิย่างเมื่อเช้า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีรสส้ม เพราะต้องกินคู่กับเต้าหู้ปลาด้วย เส้นที่ปั้นเสร็จถูกนำลงต้ม แยกกับของที่เด็กเหล่านี้ปั้นเอง ส่วนนั้นเธอต้มแยกให้ไม่ปะปน เพื่อให้มนุษย์ตัวเล็กเหล่านี้ได้ภาคภูมิใจและกินผลงานของตน
“ไปหน้าบ้านกัน”
เท่านี้งานเลี้ยงขนาดย่อมก็บังเกิดขึ้นที่บ้านซี ไชโป๊วที่เจียวจนหอม กินคู่กับแป้งต๊อกที่ใครจะเลือกย่างหรือทอดก็ได้ ทาด้วยซอสตามใจตนเอง ไม่ได้มีแค่เด็กสิบคนที่ตื่นเต้น แม้แต่ผู้ใหญ่ยังรู้สึกสนุกไปด้วย กลิ่นหอมเรียกให้คนเข้ามาขอร่วมวง
แม้เต้าหู้ปลาจะถูกขอให้เก็บไว้ให้เฉพาะเด็กๆ ก็ไม่มีใครบ่น ขนาดช่างหูและพวก ที่ทำงานติดตั้งเสร็จแล้ว ก็ยังต้องขออยู่กินต่อด้วยให้ได้ ถึงขนาดวิ่งไปหาเหล้ามากินควบคู่ให้พอหายอยาก คนในวงไม่ใช่แค่นั่งเงียบ แต่บ้างก็เต้น บ้างก็ร้องเพลงสร้างบรรยากาศ อันซูเจินที่เจ็บข้อยังต้องพยายามลุกมาขยับตัวเพราะทนแรงยุไม่ไหว
“แป้งเหนียวนุ่ม ด้านนอกกรอบๆ น้าเฟิ่งเป็นเทพีอาหารแน่แล้ว” เด็กในวงกล่าว
“อย่างนั้นก็ต้องช่วยโฆษณาให้คนไปซื้ออาหารน้าที่ตลาดเยอะๆ ส่วนของวันนี้น้าบอกสูตรแล้ว วันไหนอยากกินก็ลองทำกินได้”
ว่านเฟยเฟิ่งที่ได้ประชาสัมพันธ์ตัวน้อยเพิ่มมาแปดคนก็ได้แต่ยิ้มกริ่ม ถ้าจะสู่กันด้วยราคาเธอก็จะสู้กลับด้วยชื่อเสียง เครือข่ายเด็กชนบทแน่นแฟ้นแค่ไหนเธอรู้ดี อีกไม่นานทุกหมู่บ้านจะต้องรู้ว่าร้านแผงลอยเฟยเฟิ่งอร่อยที่สุดในย่านนี้
“ผมทำเองได้อร่อยแบบนี้ด้วย” เสี่ยวอ๋านกัดไปหลายคำก็ร้องไห้ออกมา
“มันขนาดนั้นเลยรึไง ปกติก็กินของอร่อยทุกวัน” หมิงลี่แขวะลูกชายตัวเอง
“แต่อันนี้ผมทำได้เองเลยนะ” ต้งอ๋านอ๋านแย้ง
“พวกเราเก่งกันจริงๆ” ซูลี่โพล่งขึ้นมาก็เรียกเสียงสนับสนุนตากเด็ก และเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ได้ทันที
เวลานี้คงมีแต่อันจ้งหม่าและกลุ่มเด็กอันธพาลของเขาที่ต้องทำสีหน้าไม่พอใจอยู่หน้าบ้านซี เพราะไม่มีใครชวน
“แค่กินแป้งทอด ทำเป็นมีความสุขกันไปเถอะ!” จ้งหม่าตะคอกหวังจะเรียกความสนใจ แต่กลับไม่มีแม้สักคนเดียวที่หันมา จึงได้แต่แค้นใจแล้วชวนเพื่อนไปทางอื่น
ทว่าเรื่องราวกลับไม่ง่ายเช่นนั้น จื่อซวานได้ยินคำของลูกพี่ลูกน้องชัดเจนดี และตั้งใจจะให้บทเรียน เขาถือแป้งทอดมาสองชิ้นยื่นให้ลูกสมุนของจ้งหม่าทั้งสองคน แน่นอนว่าลูกสมุนของเด็กบ้านอันซื้อได้ด้วยอาหาร จ้งหม่าจึงต้องเต้นคอตกกลับไปบ้านแบบไร้พวกพ้อง
แม้เสี่ยวอ๋านจะไม่พอใจอยู่บ้างที่มีคนมากินแรงกายแรงใจของเขาเพิ่ม นอกเหนือจากผู้ใหญ่ที่เขาไม่กล้าบอกว่าไม่ให้กิน แต่พอจื่อซวานชี้ให้ดูว่าได้แกล้งจ้งหม่า อ๋านอ๋านคนนี้ก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
“ทำไมทำแบบนั้นล่ะจื่อซวาน” เฟยเฟิ่งถาม
“จ้งหม่าจะได้รู้ว่าเขาไม่มีเพื่อนจริงๆ เลยสักคน” จื่อซวานตอบเสร็จก็ไปเล่นกับเพื่อนทันทีเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ว่านเฟยเฟิ่งถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่คิดว่าลูกเลี้ยงคนนี้ฉลาดหลักแหลมและร้ายกาจเกินไปแล้ว การบีบคนให้โดดเดี่ยวแบบนี้มีแต่คนฉลาดแกมโกงเท่านั้นที่จะคิดออกมาได้
“ลูกเป็นแบบนี้ แล้วคนพ่อเป็นแบบไหนกัน”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







