เข้าสู่ระบบว่านเฟยเฟิ่งไม่ได้เตรียมของไปขายมากเหมือนอย่างเคย เพราะคู่แข่งจากบ้านอันทำให้เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่แผ่นใสนั้นถูกติดตั้งเรียบร้อยแล้ว กระบะอนุบาลพืชผักจึงถูกย้ายออกมาไว้ในโรงเรือน
หลุมเล็กๆ ถูกขุดจากนั้นก็ทยอยย้ายต้นผักลงไปปลูก ข้างกายมีผู้ช่วยถึงสองคนจึงทำให้เฟยเฟิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะปลูกไม่ทันฟ้ามืด
“ผักจะไม่ตายจริงเหรอน้าเฟิ่ง นี่มันหน้าหนาวนะครับ” ซีจื่อซวานขมวดคิ้วอย่างไม่มั่นใจ การปลูกผักช่วงเวลานี้เด็กน้อยไม่เคยเห็นว่ารอด หรือถึงรอดก็ดูไม่น่ากิน
“ตอนสี่โมงที่น้าพาเข้ามายังบ่นว่าในนี้มันร้อนอยู่เลย แปลว่าต้องไม่ตายจริงๆ สิ”
“น้าเฟิ่งเรียนเก่งจะสงสัยทำไม” ซูลี่ยักไหล่
“เพราะถ้าโง่เชื่อไปเรื่อยก็จะโดนคนหลอก” จื่อซวานตอบออกไปเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงก็เชื่อน้าเฟิ่งหมดหัวใจ เพียงแต่เด็กชายตื่นเต้นเกินไปก็เท่านั้น
“เหลือนิดเดียวแล้ว เดี๋ยวน้าทำต่อเอง ไปอาบน้ำกันเถอะไป ทั้งเล่นจนเหงื่อออกทั้งดินแบบนี้ห้ามไม่อาบน้ำนอนเด็ดขาด”
ว่านเฟยเฟิ่งไล่เด็กๆ เพราะไม่อยากให้ไปอาบช่วงที่อากาศเย็นจนเกินไป ทั้งยังไม่มีจังหวะอยู่คนเดียวเพื่อรอคุยกับผีที่มาช่วยจัดการต่อยตีคน จึงคิดจะอาศัยช่วงท้ายมาเปิดจังหวะให้เขาเข้ามา
“นายอยู่แถวนี้ไหม…จะให้ช่วยอะไรก็มาบอกฉันเร็วเข้า แต่! แต่มาดีๆ เถอะนะ ฉันขี้กลัว”
“สหายว่าน” เสียงใหญ่ดังขึ้นด้านหลัง
“กรี๊ด! บอกว่าอย่าน่ากลัวไงเล่า”
“โผล่แบบไหนคุณก็ตกใจกลัวหมดนั่นแหละ รีบชินได้แล้ว ขอผมเข้าไปนะสหาย”
“ก็ได้ๆ พูดมากจริง”
“สวัสดีอย่างเป็นทางการนะสหายว่าน ผมชื่อตั้งงวนติ้ง” ผีหนุ่มที่ท่าทางดูล่ำบึกไปเสียทุกส่วนปรากฏอยู่ตรงหน้าเฟยเฟิ่ง
“อย่างกับนักเพาะกาย เล่นกล้ามเผื่อคนทั้งโลกรึไง” ว่านเฟยเฟิ่งเอ่ยออกไปโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผี
“เอ้า อะไรของสหาย ทำไมฟังแล้วไม่เหมือนคำชม”
“ก็ไม่ได้ชมน่ะสิ” สตรีที่ยังหายใจพูดพลางเอาต้นอ่อนลงดิน
“เอาเถอะมีแค่คุณที่ช่วยได้ แต่เรื่องนี้สหายต้องระวังตัวด้วย” ผีหุ่นล่ำย่อตัวลงนั่งยองๆ
“นอกจากระวังผีตามยังมีอะไรอีก แล้วก็อย่าเข้าบ้านฉันอีก เกิดผีในบ้านฉันโกรธขึ้นมาเรื่องจะยุ่ง” ว่านเฟยเฟิ่งพูดกันท่าออกไป เพราะแม้จะเป็นผีด้วยกัน เธอก็เลือกฝ่ายเป็น
“ให้วิญญาณไม่สลายก่อนเถอะ”
“อะไร”
“ไม่สำคัญเขาจัดการตนเองได้แล้ว แต่คืนนี้คุณต้องตามผมไปหมู่บ้านผิงเหยียน เรื่องนี้มีแค่เดือนละสามคืน สหายต้องช่วยนะ”
“หมู่บ้านสุดท้ายเนี่ยนะ ไกลขนาดนั้น ฉันเดินไม่ได้หรอก”
“สหาย! ไหนบอกว่าจะช่วยไง” ผีหนุ่มยื่นมือออกมาเขย่าไหล่เฟยเฟิ่ง
“นี่หยุดนะ!” ว่านเฟยเฟิ่งพยายามปัดป้องวิญญาณนี้ออก แต่แล้วก็เกิดปัดไปโดนตะเกียงล้มลง ทำให้เวลานี้เหลือเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมา
“โอ๊ยแสบ แสบมาก ฉันแสบมือปล่อยฉันก่อน”
วิญญาณที่กำลังโกรธจนสภาพเปลี่ยนแปลงไปเป็นผีน่ากลัวเต็มไปด้วยเส้นเลือดตามกรอบหน้า แต่ว่านเฟยเฟิ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะกลัว หลังมือมีลายประหลาดเรืองแสงขึ้นและแสบร้อนจนเกินทนไหวแบบที่รู้สึกบนเตียงคนไข้ ทันทีที่มืออีกข้างสัมผัสลายนั้น เฟยเฟิ่งก็หายวับไปทันทีรู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลทันที
วินาทีต่อมาร่างของคุณหนูว่านก็อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีแต่ความเขียวขจีไปสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อหันหลังไปอีกข้างก็เห็นห้างสรรพสินค้าจากในยุคเดิมเรียงรายกัน ส่วนในมือมีกระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมกับข้อความบางอย่าง
‘สวัสดีเจ้าของมิติคนที่ห้าสิบเจ็ด สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับคนในสายตระกูลเราที่ต้องมาเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ เจ้าของคนก่อนหน้าฉันบอกว่าเป็นเซียนต้นตระกูลที่สร้างไว้ให้ แต่ฉันว่าเป็นลูกหลานเราจากยุคอนาคตสร้างไว้ช่วยบรรพบุรุษต่างหาก ส่วนคุณจะเชื่อแบบไหนก็ตามใจ หน้าที่ของคุณคือสร้างมิตินี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมและสะดวกกว่าเดิม เผื่อไว้ให้เจ้าของคนถัดไป ห้ามคิดแต่จะเอาโดยไม่ตอบแทน ไม่อย่างนั้นจะต้องลำบากแบบฉันแน่ คุณต้องใส่ของจากยุคที่ไปอยู่เข้ามาให้มากๆ ต่อให้มีของที่ล้ำหน้ากว่าในมิติแล้วก็ต้องทำ เพราะเจ้าของมิติแต่ละคนจะเห็นและเข้าถึงได้เพียงแค่ของจากยุคที่ตัวเองจากมา ไม่มีเกินนั้น
อ้อ อย่าลืมไปอ่านกฎที่บ้านกลางน้ำด้วยนะ ด้วยรักจากเจ้าของคนที่ห้าสิบหก’
“มิติงั้นเหรอ แต่เข้าถึงได้แค่ของจากปีสองพันยี่สิบห้า ไม่แฟร์เลย อย่างน้อยก็ควรได้เห็นของตามค่าเฉลี่ยอายุขัยชีวิตเดิมสิ”
เฟยเฟิ่งบ่นไปแต่ขาก็ก้าวสับๆ ข้ามสะพานมุ่งไปยังบ้านกลางน้ำ แม้จะดูเล็กแต่เมื่อเข้ามาภายในกลับกว้างขวางมากกว่าที่เห็นด้านนอกหลายเท่า จนเฟยเฟิ่งต้องถอยเข้าถอยออกดูให้แน่ใจ
“อะไรกัน ได้ไง…ไปหากฎก็ได้”
เมื่อเข้ามาเต็มตัวแล้ว ก็พบเข้ากับห้องรับแขกดูอบอุ่นรอรับอยู่ บนโต๊ะกลางห้องมีของวางอยู่มากมาย แต่กรอบรูปสีแดงอันใหญ่สะดุดตาเฟยเฟิ่งมากที่สุด เธอจึงหยิบขึ้นมาดูในทันที
“กฎข้อแรกเวลาในมิติไม่เท่ากับเวลาด้านนอกหนึ่งชั่วโมงภายในนี้หมายถึงหนึ่งวินาทีของด้านนอก ของด้านในไม่มีวันเน่าบูด และมีไม่จำกัด…ก็ปกติปะ นิยายเรื่องไหนมิติก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น” เฟยเฟิ่งเริ่มอ่านกฎและพูดตอบโต้ออกมาเสมือนว่ามีผู้ฟังอยู่
“ข้อสองเข้าได้เฉพาะคืนที่มีแสงจันทร์…ตอนกลางวันกับคืนเดือนมืดเข้าไม่ได้งั้นสิ ไม่สะดวกเลยจริงๆ”
“ข้อสามน้ำในทะเลสาบสามารถใช้กินดื่มบำรุงร่างกายและความงามได้ และสามารถเร่งเวลาการเติบโตของพืชผักได้ โปรดใช้อย่างระมัดระวังด้วย…อืม ถ้าผักโตไวเกินก็คงน่าสงสัย”
“ข้อสี่สามารถใช้งานโดยไม่มีสิ่งของแลกเปลี่ยนได้หนึ่งปี แต่หลังจากนั้นจะต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยน แต่หากมีการนำของเข้ามาก่อนครบกำหนดหนึ่งปี การแลกของจะไม่เข้มงวด…แลกของนี่วัดด้วยมูลค่าหรือว่าอะไรกัน”
“ข้อห้ากฎพิเศษจะปรับให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของมิติไม่ตายตัว อาจเป็นคุณหรือเป็นโทษขึ้นอยู่กับความพอใจของมิติ โปรดระวังกฎพิเศษเปลี่ยนแปลงได้เสมอ…อะไรกันเปลี่ยนกฎตามใจได้ด้วย”
เธอวางกฎที่ใส่กรอบไว้อย่างเบามือ แล้วก็เหลือบไปมองแผนที่ของมิติที่ระบุว่ามีสิ่งใดบ้าง ข้างกันมีสมุดคู่มือหลายเล่ม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใดมากนัก เฟยเฟิ่งเลือกที่จะเดินสำรวจบ้านหลังนี้ดูก่อน
ว่านเฟยเฟิ่งเดินวนไปรอบบ้านก็พบกับห้องสมุดที่ด้านในใหญ่กว่าด้านนอก แบ่งเป็นหลังหมวดหมู่ เพียงแต่จุดแรกที่เฟยเฟิ่งไปสำรวจคือหนังสือที่บันทึกสมุนไพรและสรรพคุณจากทั่วทุกมุมโลกพร้อมวิธีปรุงยา หนังสือสูตรอาหาร หนังสือการเงินและหุ้น หนังสือสอนโปรแกรมมิ่ง หนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือติวสอบพร้อมเฉลยของข้อสอบทั่วโลก และบริเวณมุมห้องยังมีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ต้องต่ออินเทอร์เนตแต่กลับเข้าถึงได้ทุกเว็บไซต์อีก
“ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่ซวยต้องมาเห็นผี แต่ฉันก็ยังได้รับอะไรดีๆ เหมือนกันสินะ” เฟยเฟิ่งกระโดดโลดเต้นอยากจะวิ่งสำรวจให้ทั่ว แต่เมื่อนึกได้ว่ามีผีเดือดร้อนรออยู่ด้านนอกก็รีบคิดว่าต้องออกไปข้างนอกให้ได้ ยังไม่ทันหาวิธีออกจากมิติ เพียงแค่คิดว่าต้องการจะออกไปก็รู้สึกวูบโหวงปั่นป่วนไปกับแรงดูดที่เกิดขึ้นรอบกาย
.
.
.
“สหาย! สหายไปไหนมา สหายเป็นคนจริงๆ ใช่ไหม”
“รอนานไหม” เฟยเฟิ่งที่ไม่แน่ใจว่าตนเองหายไปนานเพียงใดเอ่ยถาม
“ไม่เลย แต่ตกใจมากกว่า น่ากลัวจริงๆ” ตั้งงวนติ้งส่ายหน้า
“นี่! คุณต่างหากที่น่ากลัว จะให้ไปดูอะไร นำทางไปสิ” เฟยเฟิ่งเหวี่ยงออกไป “เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน”
พูดจบเฟยเฟิ่งก็นำต้นกล้าต้นสุดท้ายลงหลุมปลูก จากนั้นนึกถึงน้ำในมิติ เมื่อเห็นว่ามีน้ำไหลออกมาช้าๆ เธอก็ใช้รดลงไปในเรือนผักของตนเองจนทั่วแปลง
“ทีนี้ เราก็ไปได้”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น สหายจะหายตัวได้อีกใช่ไหม” เมื่อผีตนนั้นเห็นว่าสตรีตรงหน้าพยักหน้ารับก็ถอนหายใจออกมา “โล่งอกไปที ถ้าเกิดปัญหาก็หายตัวไปก่อนได้เลย”
“มีเรื่องอะไรกันแน่ คุณกำลังทำให้ฉันกลัวแล้ว”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ