ตอนนี้หลินซินเยว่กลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง เธอเดินไปมาพร้อมกับพูดพึมพำกับตัวเอง “ต้องทำอาหารอะไรเพิ่มอีกไหมเนี่ย ส่วนแกงปลาค่อยรอให้พี่กวนหยางกลับมาก็แล้วกัน แต่ก็ยังอยากกินยำปลากระป๋องเหมือนเดิม ถ้าเรียกเอาปลากระป๋องมาได้เหมือนในนิยายก็คงจะดี”
ระหว่างที่บ่นหญิงสาวก็เช็ดมือไปด้วย เพราะเพิ่งทำความสะอาดครัวเสร็จ ขณะนั้นเองก็สังเกตเห็นว่าที่กลางฝ่ามือของตนเองกลับปรากฏรอยดอกกุหลาบขึ้นมาอย่างชัดเจน พอเห็นอย่างนั้นจึงอุทานออกมาอย่างแปลกใจ
“นี่มันคืออะไรกัน หรือว่า...” หญิงสาวมองฝ่ามือตัวเองอย่างสับสน ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้นอีกว่า “หรือว่านี่คือมิติของฉัน ฉันจะมีมิติเหมือนนางเอกนิยายคนอื่น ๆ ใช่ไหม”
จากนั้นเพื่อความแน่ใจ เธอจึงตัดสินใจทำเหมือนนางเอกในนิยายที่เคยอ่าน นั่นคือลูบฝ่ามือของตัวเองเบา ๆ แล้วนึกถึงมิติ ‘ฉันอยากไปที่มิติ’
ทันใดนั้นเองร่างของหลินซินเยว่ก็เข้ามายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในนี้มีกิจการมากมาย สถานที่แห่งนี้เหมือนถนนเส้นหนึ่ง ที่ใจกลางกรุงที่เธอเคยอยู่ บริเวณนี้มีทั้งห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่าง ๆ มากมาย รวมถึงร้านขายรถ ในนี้มีตั้งแต่รถขนาดเล็กไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่
สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอต้องอุทานออกมาอีกครั้งอย่างดีใจ “นี่ตั้งใจจะให้ฉันทั้งหมดจริง ๆ ใช่ไหม ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่มีร้านขายอาวุธด้วย” บ่นแกมประชดเสร็จแล้ว ก็กวาดสายตาไปเห็นร้านขายอาวุธพอดี
หลินซินเยว่จึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าใจว่านี่ให้เพื่อประชด หรือเพราะให้ฉันเอาไว้ใช้จริง ๆ แต่ให้เพราะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ว่าแต่ยุคนี้ยังมีสงครามด้วยเหรอถึงให้ร้านขายอาวุธมา เท่าที่จำได้จะมีการปฏิวัติจนผู้คนล้มตายไม่น้อยจริง ๆ แต่นั่นก็อีกหลายปีนี่นา แล้วนี่ก็ไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร ใครจะมาทำสงครามกันละ ถ้าประเทศอื่นก็ว่าไปอย่าง”
หญิงสาวยังคงเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ พร้อมกับบ่นไม่หยุด เพราะข้าวของในมิตินี้มันเกินความจำเป็นจริง ๆ หากจะให้เปิดโรงงานก็ไม่แน่นะ เพราะในนี้มียันโรงงานผลิตเครื่องสำอางด้วย
“แต่สิ่งที่ฉันต้องการตอนนี้คือเครื่องยำปลากระป๋อง เห้อ...ต้องเดินหาเองใช่ไหม แต่เดี๋ยวก่อนนะ” หญิงสาวเดินไปบ่นไป และเหมือนคิดอะไรออกมาได้ ก็รีบออกมาจากมิติทันที
เมื่อออกมาแล้วเธอก็ลูบไปที่กลางฝ่ามือของตนเองและนึกถึงปลากระป๋องกับเครื่องปรุงต่าง ๆ รวมถึงเมล็ดผักอีกหลายชนิด เพราะเธอตั้งใจว่าจะไปทำแปลงผักที่หลังบ้านกับข้างบ้านเสียหน่อย เผื่อว่าจะได้เอาไว้ทำกินโดยไม่ผิดสังเกต
เพียงไม่นานทุกอย่างที่เธอนึกอยากได้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ ทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ
พอได้ทุกอย่างครบตามต้องการแล้ว จึงได้ลงมือทำยำปลากระป๋องอย่างที่อยากจะกิน
“เสร็จสักที แต่อาหารจานนี้ฉันยังไม่กล้าเอาไปให้บ้านหลินหรือว่าบ้านโม่กินด้วยหรอกนะ เพราะกลัวทุกคนจะสงสัยถึงที่มาของปลากระป๋อง วันนี้เอาอาหารจากปลาไปให้ทั้งสองบ้านแทนดีกว่า แต่อย่างไรต้องรอพี่กวนหยางเอาปลาหรือว่าสัตว์ป่ากลับมาก่อน”
หญิงสาวพูดอย่างพอใจเมื่อทำยำปลากระป๋องเสร็จแล้ว แต่เมนูนี้เธอตั้งใจว่าจะกินที่บ้านนี้เท่านั้น ส่วนอาหารอื่นๆ เธอตั้งใจที่จะแบ่งไปทั้งที่บ้านหลินและบ้านโม่
เธอคิดเผื่อคนบ้านโม่และตั้งใจว่าทำอาหารเสร็จแล้วจะนำไปให้ โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้แม่สามีกับพี่สะใภ้ทั้งสองกำลังจะมาถึงที่นี่แล้ว
กลับมาทางฟางเหนียง
ตอนนี้ฟางเหนียงและสะใภ้ทั้งสองจากบ้านโม่ กำลังเดินมุ่งตรงมายังบ้านของโม่กวนหยาง ระหว่างทางชาวบ้านที่รู้จักและสนิทสนม ต่างก็ทักทายกันอย่างมีอัธยาศัยที่ดีต่อกัน และตามประสาคนรู้จักกัน
แต่ก็มีหลายบ้านที่ไม่ค่อยชอบบ้านโม่สักเท่าไร ที่เอาลูกสาวบ้านหลินมาเป็นสะใภ้ พอเห็นทั้งสามคนเดินผ่านจึงพูดจาจิกกัด
“เหอะ ลูกสะใภ้ที่ไม่เคยเห็นหัวแม่สามีอย่างนั้น แล้วยังคิดจะเอาอาหารไปให้อีกเหรอ”
“เพราะฉันยังเป็นแม่คนน่ะสิ ลูกสะใภ้ก็เหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ชอบหน้ากันยังไง และต่อให้แยกบ้านแล้วก็ตาม เมื่อเห็นว่าเจ็บป่วยก็ต้องมาดูแลกันไหมล่ะ หรือหล่อนไม่สนใจคนในบ้าน”
ฟางเหนียงได้ยินอย่างนั้นก็พูดสวนกลับทันที นางไม่สนใจหรอกว่าใครจะพูดอย่างไร ในเมื่อหลินซินเยว่คือลูกสะใภ้สามของบ้านโม่ แม้ว่าลูกชายคนที่สามจะแยกบ้านไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ตัดขาดกันสักหน่อย
เมื่อโดนสวนกลับไปแบบนี้ หญิงคนนี้ก็หน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะปรับให้เป็นปกติแล้วแสร้งทำทีพูดต่ออีกว่า
“ที่ฉันพูดไปอย่างนั้น เพราะฉันคิดว่าหลินซินเยว่ไม่น่าเป็นอะไรมากหรอก คงเสแสร้งเรียกร้องความสงสารมากกว่า ไม่อย่างนั้นหมอจะให้กลับบ้านเลยได้ยังไง นี่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลด้วยซ้ำ คงไม่ต้องให้แม่สามีกับสะใภ้ทั้งสองต้องมาคอยดูแลขนาดนี้หรอกมั้ง”
หญิงคนนี้มองว่าหลินซินเยว่น่าจะแสร้งเล่นละครเพื่อเรียกร้องความสงสารมากกว่าเจ็บจริง ๆ แต่กลับไม่มีใครสงสารเพราะต่างก็รู้นิสัยของเธอทั้งนั้น แล้วการที่เธอล้มหัวฟาดฟื้นจนสลบ แต่หมอให้กลับบ้านเลย มันดูน่าเหลือเชื่อเกินไป นอกเสียจากหลินซินเยว่นั้นจะโกหก!!
“จะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ไม่ต้องให้คนบ้านชางมาพูดแทนหรอกนะ หลินซินเยว่คือสะใภ้สามของบ้านโม่ จะดีจะร้ายก็คือคนบ้านโม่!! แล้วฉันก็เต็มใจที่จะดูแลลูกสะใภ้คนนี้ของฉัน หล่อนกลับไปดูแลคนในบ้านให้ดีก่อนเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องครอบครัวฉัน”
ฟางเหนียงพูดออกไปอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย พูดจบก็เดินออกมาโดยมีลูกสะใภ้ทั้งสองเดินตาม
ไม่นานทั้งสามก็มาถึงบ้านของโม่กวนหยาง
พอมาถึงก็เห็นหน้าบ้านปิดประตูรั้วอยู่ แต่กลับมีควันจากห้องครัวลอยคลุ้งออกมา
“สงสัยเจ้าสามกำลังทำอาหารให้สะใภ้สามกินแน่ ๆ เราเข้าไปเองเถอะ ไม่ต้องเรียกให้เขามาต้อนรับหรอก ยังไงก็คนกันเอง”
ฟางเหนียงพูดขึ้นมากับสะใภ้ทั้งสอง ซึ่งพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามคิดว่าควันที่ลอยออกมาจากครัว คงเกิดจากที่โม่กวนหยางกำลังทำอาหารให้ภรรยาอีกแน่ เลยเปิดประตูรั้วเข้ามาเอง แล้วเดินตรงดิ่งไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าห้องครัว
แต่เมื่อไปถึงก็เห็นหลินซินเยว่กำลังยืนภูมิใจอยู่กับอาหารตรงหน้า จึงอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่เธอแต่งเข้าบ้านโม่มา ก็ไม่เคยหยิบจับอะไรมาก่อนเลย แต่นี่ถึงกับขนาดทำอาหารเอง
“ตอนนี้พระอาทิตย์เปลี่ยนทิศทางขึ้นแล้วเหรอเนี่ย สะใภ้สามถึงทำอาหารเอง ” ฟางเหนียงถึงกับละเมอออกมาเบา ๆ
“แม่คะ นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม” สะใภ้ใหญ่เฉินซุงอิ๋งพูดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ต่อให้ขยี้ตาอีกกี่รอบ ภาพตรงหน้ายังเห็นเหมือนเดิม
“นั่นสิคะแม่ ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ตั้งแต่สะใภ้สามแต่งเข้าบ้านโม่มา ฉันยังไม่เคยเห็นเธอจะหยิบจับอะไรเลยสักอย่าง อย่าว่าแต่เรื่องงานบ้านเลย แม้กระทั่งซักเสื้อผ้าของตัวเองยังไม่เคย มันน่าประหลาดจริง ๆ เลย”
ห่ายเยี่ยนพูดอย่างแปลกประหลาดใจ เธออยู่กับน้องสะใภ้ที่บ้านโม่มาก็หลายเดือน ก่อนที่โม่กวนหยางจะแยกบ้านออกไป แต่การกระทำแบบนี้ของน้องสะใภ้ เธอกลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง
“เอาล่ะ ๆ นี่คือความจริง ไม่มีใครตาฝาดทั้งนั้น พวกเธออย่าสงสัยนักเลย สะใภ้สามเปลี่ยนไปก็ดีแล้วนี่ หรือจะให้เป็นคนขี้เกียจและทำตัวร้ายกาจเหมือนก่อนนี้ล่ะ” ฟางเหนียงที่ถูกสะใภ้สองคนถามอย่างนั้น ก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่คิดอะไรมาก
“แล้วแม่ดีใจไหมคะที่สะใภ้สามเปลี่ยนไปแบบนี้” เฉินซุงอิ๋งถามกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“ลูกสะใภ้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี แม่สามีอย่างฉันย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว แต่จะเปลี่ยนจริงหรือแสร้งเล่นละคร ก็ต้องคอยดูต่อไปอีกสักหน่อย เราเข้าไปกันเถอะ”
หลังจากตอบลูกสะใภ้แล้ว ฟางเหนียงจึงเดินนำเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะพูดกับหลินซินเยว่อย่างอ่อนโยนว่า
“สะใภ้สาม ไม่สบายทำไมไม่นอนพักล่ะ แล้วอาหารพวกนี้เธอทำเองเหรอ หน้าตาน่ากินเชียว”
พูดไปก็มองอาหารไปด้วยความพอใจ เพราะอาหารที่วางตรงหน้านั้น ดูน่ากินมากเลย ไม่คิดว่าสะใภ้สามคนนี้จะมีความสามารถเหมือนกัน
“เอ่อ...” หลินซินเยว่ที่จู่ ๆ ก็ถูกถามแบบนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าบ้านสามีจะมาหาตอนนี้ ตอนนี้ใจของเธอนั้นหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว
“แม่ พี่สะใภ้” กว่าเธอจะเปล่งเสียงทักทายออกมาได้ ก็กินเวลาไปหลายวินาทีเหมือนกัน
‘ทำไมมาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้ ตกใจหมดเลย หากมาตอนที่กำลังเอาของออกจากมิติคงไม่ดีแน่’
หญิงสาวคิดในใจหลังจากได้สติกลับมา
“แม่ถามทำไมไม่ตอบล่ะ สะใภ้สาม”
คราวนี้เป็นเฉินซุงอิ๋งที่ถามขึ้นมา เพราะเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารตรงหน้านี้ น้องสะใภ้ทำเองหรือว่าน้องสามเป็นคนทำ
“ฉันทำเองค่ะแม่ แม่กับพี่สะใภ้จะลองกินดูไหมคะ” หญิงสาวพยักหน้ายอมรับ พร้อมกับเอ่ยชวนทั้งสามคนกินอาหารที่เธอทำ โดยหยิบจานเล็กกับตะเกียบมายื่นให้แม่สามี
แต่แม่สามีกลับมองเธอสลับกับมองอาหารไม่หยุด เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะกินดีหรือไม่ สุดท้ายก็เอื้อมมือไปหยิบจานเล็กกับตะเกียบมา จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบอาหารที่อยู่ในจานมาลองชิม
เมื่อลิ้นได้สัมผัสกับรสชาติอาหารคำแรก ก็เบิกตาโตขึ้นทันที เพราะไม่คิดว่ารสชาติจะดีแบบนี้
“นี่เธอทำอาหารอร่อยเหมือนกันนี่นา แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ทำละ ข้าวต้มกับเครื่องเคียงของฉันคงไม่ต้องการแล้ว”
ฟางเหนียงหันมาเอ่ยปากชมเชยและยิ้มอ่อนโยนให้กับลูกสะใภ้คนที่สาม และคีบกินอาหารต่ออย่างชอบใจ
ส่วนสะใภ้ทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าแม่สามียอมกินอาหารแล้วยังบอกว่าอร่อย ก็รู้สึกสนใจอย่างมาก ก่อนจะหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารกินเหมือนกัน และเมื่อกินแล้วก็รู้สึกว่าอาหารทั้งสองจานนี้รสชาติดีมาก ยิ่งจานหนึ่งนั้นทั้งสามไม่เคยกินมาก่อน
บทส่งท้าย ความรักที่สมบูรณ์ของหลินซินเยว่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาตั้งท้อง โม่กวนหยางก็ตกใจและดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเธอตั้งท้องแฝด เขากลับยิ่งทั้งดีใจและเริ่มเป็นกังวล เพราะกลัวจะดูแลเธอไม่ดี“ซินเยว่ได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างแทนซินเยว่เอง เรากลับบ้านกันเถอะ ส่วนที่ร้านก็ให้โม่เจิ้งฉีกับน้องสะใภ้ดูแลไปก่อน” โม่กวนหยางพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยน“ก็ได้ค่ะ” หลินซินเยว่ตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะเธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจ ก็พบเข้ากับพ่อแม่จากทั้งสองบ้านมารอถามข่าว เมื่อทุกคนได้รับรู้ข่าวดีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ดีจริง ๆ ต่อไปเจ้าสามจะต้องดูแลสะใภ้สามให้ดี ๆ นะ งานขายของก็พักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อแม่จะมาช่วยดูแลร้านให้เอง แถมตอนนี้ยังมีโม่เจิ้งฉีกับเซี่ยเป้ยนีมาช่วยดูแลด้วย ซินเยว่ก็ไม่ต้องห่วงนะ” ฟางเหนียงพูดกับลูกชายของตนเองกับสะใภ้“นั่นสิ ซินเยว่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะลูก ท้องแรกแถมยังเป็นท้องแฝดด้วย ต้องระวังตัวให้มากๆ เดี๋ยวแม่จะอยู่ช่วยดูแลซินเยว่เองนะลูก เราจะต้องเริ่มบำรุงด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำนมแล้วนะฟางเหนียง
บทที่ 59 งานแต่งของหลินอี้เฉินเมื่อวันที่บ้านหลินมาสู่ขอคุณหนูหวาง แม้ว่าทั้งสองคนจะฐานะต่างกัน แต่บ้านหลินทำเต็มที่ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวตกตะลึงไม่น้อย แล้วยังมีของขวัญจากน้องสาวและน้องเขยคือตึกในแหล่งการค้าอีกด้วย“หลังจากนี้ฉันฝากหลิงหลิงไว้กับนายด้วยนะ ต่อจากนี้ฉันก็กล้าที่จะวางมือแล้ว” นายท่านหวางเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเขาไม่ได้สนใจว่าสินสอดที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเขาตั้งใจว่ายื่นคืนกลับให้ว่าที่ลูกเขยและลูกสาวไว้ทำทุน เพราะอย่างไรหลินอี้เฉินย่อมก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหวางอยู่แล้ว“ครับนายท่าน ผมจะดูแลคุณหนูและกิจการของตระกูลหวางให้ดี” หลินอี้เฉินรับปากอย่างหนักแน่นจริงจัง“ยังจะมาเรียกนายท่าน เรียกคุณหนูอยู่อีก เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ นายก็ควรเรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว ส่วนหลิงหลิงนายจะเรียกชื่อเธอหรือจะเรียกภรรยาก็ตามใจนาย” นายท่านหวางพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลหลิงหลิงกับตระกูลหวางให้ดีครับ” หลินอี้เฉินตอบใหม่อีกครั้ง“และเราสองคนจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านหลินบ่อยๆ นะคะ” หวางหลิงหลิงเองก็หันไปพูดกับหลินไป๋หานและจางฮุ่ยอี อย่างนอ
บทที่ 58 ซื้อที่ดินสร้างกิจการของตัวเอง“นายมาหาฉันทำไม” หญิงสาวถามหลวนหมิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะเธอพอจะสืบเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน“ผมมีเรื่องมาสารภาพครับ” หลวนหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต“ฉันดีใจนะหลวนหมิง ที่นายมาสารภาพด้วยตนเองแบบนี้ ครั้งนี้ฉันถือว่านายได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายทำตามคำขอของหญิงคนนั้น หน้าที่การงานรวมถึงชีวิตของนายก็จะไม่เหลือ เพราะฉันเองก็คงจะต้องตามล่านายเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตระกูลหลินกับตระกูลหวางมีความเกี่ยวดองกันแล้ว”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี ที่ลูกน้องของคุณพ่อคนนี้กล้ามาพูดตรงๆ และกล้ายอมรับความผิดทั้งหมดด้วยตัวเอง เธอจึงพร้อมที่จะให้อภัย และให้เขาทำหน้าที่เดิมต่อไป “ครับคุณหนู” หลวนหมิงตอบกลับมาเพียงเท่านี้ ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่ของนายต่อไป และเมื่อไรที่นายพบผู้หญิงที่อยากจะ
บทที่ 57 จบสิ้นเรื่องวุ่นวายส่วนทางด้านหลินอี้เฉิน เขาได้พาหวางหลิงหลิงมาเดินเล่นในหมู่บ้านโดยมีสายตาของชาวบ้าน ต่างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณต้องเดินห่างฉันขนาดนี้ หรือว่าคุณมีคนรักอยู่ในหมู่บ้านนี้ เลยกลัวว่าเธอจะเห็นเราสองคนเดินด้วยกันเหรอ” หญิงสาวถามขึ้นมาคล้ายกับจะหยอกล้อ แต่ความจริงเธอต้องการคำตอบนี้อย่างมาก“ผมยังไม่มีคนรักครับ แต่ที่ผมต้องเดินเว้นระยะห่างกับคุณเพราะกลัวชาวบ้านจะเอาไปนินทา แล้วจะทำให้คุณเสียหาย”หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ขณะที่ตอบก็สบตาหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้บอกไป“เป็นไปได้เหรอที่คุณจะไม่มีคนรัก ดูจากอายุแล้วน่าจะเลยวัยที่จะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอแสร้งถามอย่างหยอกล้ออีกครั้ง ทั้งที่หัวใจนั้นพองโตไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับรู้“เมื่อก่อนบ้านผมจนน่ะ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวต้องมาลำบากหรอกครับ” คราวนี้เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ๆ เพราะนึกถึงฐานะของตนเองกับหญิงสาวที่แตกต่างกันมาก“แต่ตอนนี้บ้านของคุณมีฐานะดีขึ้นแล้วนี่ จะกลัวการแต่งงานทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณลองมาคบหากับฉันไหม แต่คุณจะรับความเสี่ยงได้หรือเปล่าล่ะ เพร
บทที่ 56 ไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหา“พี่คิดว่าฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ที่ตัดสินใจทำตามแผนการนี้”“ไม่เลย ในเมื่อลูกสาวบ้านตู้คิดจะเล่นงานน้องก่อน อย่างไรเธอก็ควรจะได้บทเรียนในครั้งนี้”โม่กวนหยางรีบตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทันที เขาไม่ได้มองว่าภรรยาตนเองนั้นโหดร้าย และไม่ว่าเธอตัดสินใจจะทำอย่างไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม “ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจฉัน” หลินซินเยว่พูดขอบคุณและยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน“ถ้าอย่างนั้นเราทำตามแผนการที่วางไว้เลยนะคะ กลับไปฉันจะได้สั่งให้คนดำเนินการเลย ส่วนคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็แสร้งทำทีพาคนไปพบ เรื่องนี้ตู้หลินเซียนไม่อาจหนีชะตากรรม ที่เธอได้ทำไว้ในตอนแรกแน่” หวางหลิงหลิงพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลินซินเยว่มีความเด็ดขาด ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายตนเองลอยนวล“ขอบคุณมากนะคะคุณหนูหวางที่ช่วยในเรื่องนี้ ฝากขอบคุณไปถึงนายท่านหวางด้วย จริงสิ รอสักครู่นะคะ” หลินซินเยว่ยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องตัวเอง แล้วหยิบเอารังนกออกมาชุดใหญ่“นี่ฉันฝากไปให้นายท่านหวางด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าจ
บทที่ 55 ต้องจัดการให้เด็ดขาด“ครับ แต่อย่างไรเรื่องนี้ผมจะต้องไปคุยกับซินเยว่และพี่กวนหยางดูก่อน แต่เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ และหากจะหาใครสักคนให้แต่งงานกับตู้หลินเซียน ก็น่าเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกพรานป่า หรือไม่ต้องเป็นคนที่โหดสักหน่อย เพื่อที่จะจัดการให้เธออยู่ในโอวาทได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะเอาผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่”หลินอี้เฉินพูดขึ้นมาตามความคิดของเขา โดยที่เขายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปคุยกับน้องสาวและน้องเขยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะจัดการลูกสาวบ้านตู้อย่างไร“แต่ฉันเห็นต่างเล็กน้อย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ชายที่จะมาแต่งงานกับตู้หลินเซียนนั้น จะต้องเป็นคนที่ยากจนเพิ่มขึ้นมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เลิกเชิดหน้าชูคอสักที”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าเธอนั้นจะโหดร้ายเกินไปก็ช่าง แต่เพราะผู้หญิงร้ายกาจแบบตู้หลินเซียน จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแบบนี้เท่านั้นพอได้ยินอย่างนั้น หลินอี้เฉินก็หันไปมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างพึงพอใจ เขาไม่มองเลยว่าเธอนั้นโหดร้ายกับผู้หญิงด้วยกัน เพราะคนอย่างตู้ห