ลูกค้ารายนี้อมยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดว่าแม่ค้าสาวคนนี้จะมองเธอออกว่าเธอไม่ใช่ลูกค้าทั่วไปที่หาซื้ออาหารมากิน จึงได้สอบถามถึงสินค้าชนิดอื่น
“แล้วเธอมีสินค้าอื่นเสนออีกหรือไม่ ฉันไม่ได้ต้องการเฉพาะเนื้อตากแห้งเท่านั้น ฉันไม่ได้อยู่เมืองนี้ แต่ต้องการหาซื้อของจำพวกอาหาร
ไปขายที่เมืองข้าง ๆ”
“มีค่ะ มีอีกหลายอย่างเลย ว่าแต่ลูกค้าจะรออีกสักหน่อยได้หรือไม่คะ พอดีว่าฉันติดลูกค้าหน้าร้าน หรือว่าจะเดินเลือกซื้อของก่อนก็ได้ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับมาใหม่ เดี๋ยวฉันจะเอาสินค้าอื่น ๆ มาให้ดู”
ฟางเจียวเหมยแม้ว่าอยากจะได้ลูกค้ารายใหญ่ แต่เวลานี้เธอมีลูกค้าหน้าร้านที่ต่อคิวซื้อจำนวนไม่น้อย เลยต้องเสียมารยาทให้อีกฝ่ายรอก่อน
หรือว่าจะไปซื้อของเพื่อขั้นเวลา
“ได้สิ เธอขายของไปก่อน อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะกลับมาใหม่” ลูกค้ารายนี้ยินยอมที่จะรอ เพราะเธอเดินตลาดมืดมาหลายแห่งแล้วก็ไม่มีของที่ต้องการเหมือนร้านนี้ จากนั้นจึงไปเดินเล่นและเลือกซื้อของร้านอื่นก่อนเพื่อฆ่าเวลา
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกค้าหน้าร้านก็หมดลงจริง ๆ และวันนี้ฟางเจียวเหมยขายได้ไม่น้อยเลย จากที่คาดคะเนเวลานี้ในมิติน่าจะมีเงินราว ๆ หนึ่งพันกว่าหยวนแล้ว รวมของเก่าที่มาขายเมื่อวานด้วย ไม่คิดว่าการตัดสินใจเอาสินค้าออกมาขายหลายอย่าง จะขายง่ายกว่าเดินหาลูกค้าเหมือนเมื่อวาน
เมื่อไม่มีลูกค้าแล้ว ฟางเจียวเหมยทำทีเป็นหยิบของออกมาจากตะกร้าที่มีผ้าปิดที่เธอวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบ หมูแผ่น หมูสวรรค์ หมูทุบ หมูฝอย หมูหย็อง หมูตากแห้ง หมูแดดเดียว เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องการสินค้าแบบไหน
ส่วนพวกขาหมูตากเกลือหรือที่เรียกว่าแฮม และเบคอนนั้น เธอไม่ได้เอาออกมา เพราะถ้าเอาออกมา อีกฝ่ายคงสงสัยว่าเธอแบกเอาขาหมูใส่ตะกร้าแล้วยังมีของอื่น ๆ อยู่ด้านในตะกร้าใบเล็ก ๆ อย่างนี้ได้อย่างไร
“ฉันกลับมาแล้ว” ลูกค้าคนเดิมเดินกลับมา ก่อนจะเอ่ยเรียกหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะคุณลูกค้า นี่คือเนื้อหมูแปรรูปที่ฉันพอจะหาได้ ไม่ทราบว่าลูกค้าต้องการแบบไหนบ้างคะ เดี๋ยวฉันจะแกะให้ลูกค้าลองชิมนะคะ ”
พูดจบ ฟางเจียวเหมยก็ไม่รีรอ ก่อนจะแกะห่อของเนื้อหมูแปรรูปทั้งหลายออก ก่อนจะส่งให้ลูกค้าคนนี้ชิม ซึ่งสร้างความพอใจให้กับลูกค้าไม่น้อย จากนั้นฝ่ายลูกค้าจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อเจรจาการค้าในครั้งนี้
“ฉันต้องการทุกชนิดอย่างละหนึ่งร้อยชิ้น เธอให้ราคาฉันเท่าไหร่ สิบสามหยวนได้ไหม”
หากจะบอกว่านี่เป็นการต่อราคาเกือบครึ่งของราคาขายหน้าร้าน ลูกค้ารายนี้ยอมรับว่าเธอต่อราคาโหดจริง แต่สำหรับการเอาไปขายเพื่อหวังกำไร การต่อราคาจึงเป็นสิ่งปกติของแม่ค้าเช่นเธอเหมือนกัน และคิดว่าเธอซื้อจำนวนเยอะ อย่างน้อย ๆ ต่อให้ได้กำไรชิ้นละห้าเหมา แม่ค้าคนนี้ก็ได้หลายร้อยหยวน อย่างไรก็ดีกว่านั่งขายจนหลังแข็ง
“โอ้..ให้ลดราคาขนาดนี้เลยเหรอคะ ขอฉันคิดดูก่อนนะคะว่าจะยังพอเหลือกำไรอยู่ไหม” ฟางเจียวเหมยแกล้งทำหน้าตกใจและเคร่งเครียดเล็กน้อย แต่ในใจนั้นคิดคำนวณราคาอย่างเร่งรีบว่าเธอจะได้เงินจากการขายครั้งนี้เป็นเงินเท่าไร
‘เรานำสินค้าแปรรูปมาให้ดูแปดอย่าง ถ้าขายได้อย่างละหนึ่งร้อยชิ้น รวมทั้งหมดแปดร้อยชิ้น รวม ๆ แล้วเราจะได้เงินจากการค้าครั้งนี้หนึ่งหมื่นกับสี่ร้อยหยวนเชียวนะ'
“ก็ได้ค่ะ แม้จะได้กำไรไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่ามานั่งขายเอง”
สุดท้ายแล้วฟางเจียวเหมยทำทีเป็นยินยอม แต่หารู้ไม่ว่าในใจนั้นลิงโลดอย่างมาก เพราะเงินที่ขายได้ในครั้งนี้ทำให้เธอสามารถซื้อทั้งร้านค้าและบ้านได้แล้ว ส่วนเงินจะหมดกระเป๋าหรือไม่เธอไม่สนใจ เพราะอย่างไรก็หาใหม่ได้
“คุณลูกค้าจะเอาของไปวันนี้เลยหรือเปล่าคะ หรือว่ามาเอาวันหลัง” คราวนี้เธอเจรจาการค้าขึ้นมาอย่างจริงจัง
“ถ้าฉันต้องการวันนี้เลยเธอทำได้หรือไม่ล่ะ”
“ได้ค่ะ แต่รอสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันไปนำสินค้ามาให้” ฟางเจียวเหมยตอบกลับก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น อย่างไรลูกค้าคนนี้ก็รู้ว่าเธอมีแหล่งซื้อแล้วกินกำไร จะเอาออกมาวันไหนก็เหมือนกัน
หญิงสาวหายไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็กลับมาตัวเปล่า
“คุณลูกค้าตามมาด้านนี้ค่ะ ฉันเตรียมของไว้แล้ว ไม่ทราบว่ามีคุณมีคนขนของมาด้วยหรือไม่คะ” ฟางเจียวเหมยกลับมาถึงก็เอ่ยถาม เพราะจะให้เธอขนมาให้ตรงนี้ทั้งหมดก็ไม่ไหวนะ เพราะมันหนักและเป็นที่โจ่งแจ้งมากเกินไป เธอจึงได้เอาออกมาไว้ตรงซอกตึกและจ้างเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบสามปีเฝ้าไว้
“เดี๋ยวฉันค่อยจ้างแรงงานในนี้ขนไปที่รถของฉันเอง แม่ค้าไม่ต้องกังวล” เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะแรงงานรับจ้างขนของนั้นมีมากมายในตลาดมืด จึงไม่ต้องกังวลหากต้องขนของในปริมาณมาก ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ค่ะ”
จากนั้นฟางเจียวเหมยจึงพาลูกค้ารายใหญ่มาที่ซอกตึกเพื่อนับจำนวนและตรวจดูสินค้า
“ขอบใจมากนะ คราวหลังจะใช้บริการใหม่” ฟางเจียวเหมยยื่นเงินให้เด็กหนุ่มหนึ่งหยวนเป็นค่าจ้างเฝ้าของ
พอรับเงินมาเด็กหนุ่มคนนี้ดูตกใจมากเพราะแค่เฝ้าของในเวลาไม่นาน แต่พี่สาวคนนี้กลับให้เงินมาตั้งหนึ่งหยวน “มันมากไปครับ”
“ไม่หรอก มูลค่าของที่เธอเฝ้ามันเยอะมาก แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ส่วนนี่เนื้อหมูอย่างดี เอากลับไปทำอาหารกินที่บ้านกับครอบครัวเถอะ ขอบใจมาก” พูดจบเธอก็ส่งเนื้อหมูให้กับเด็กหนุ่มหญิงสาวไม่คิดว่าเงินหนึ่งหยวนจะมากไปหากเทียบกับปริมาณและมูลค่าสินค้าทั้งหมดนี้
“ขอบคุณครับพี่สาว” เด็กหนุ่มค้อมหัวขอบคุณไม่หยุด พร้อมกับรับเงินกับเนื้อหมูชิ้นใหญ่ ที่ดูแล้วน่าจะสองชั่งได้มา ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ ที่วันนี้ได้เงินตั้งหนึ่งหยวนและยังมีเนื้อหมูอีกด้วย
“คุณลูกค้านับสินค้าได้เลยค่ะ ว่าครบหรือเปล่า” จากนั้นฟางเจียวเหมยก็หันมาพูดกับลูกค้าของเธอต่อ
ลูกค้าสาวพยักหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากซอกตึกและมองหาคนของเธอ จากนั้นก็ให้คนที่ติดตามมานับจำนวนสินค้าว่าครบหรือไม่ ก่อนจะจ่ายเงินตามที่ตกลงเมื่อการตรวจสอบสินค้าจบลง
“เธอมาขายที่นี่ตลอดหรือไม่” ก่อนกลับเธอเอ่ยถามว่าฟางเจียวเหมยจะมาขายที่นี่อีกหรือเปล่า เพราะนี่คงไม่ใช่การซื้อขายครั้งสุดท้ายระหว่างสองคนแน่นอน
“มาค่ะ แต่ไม่สามารถระบุวันได้ว่ามาวันไหนบ้าง” ฟางเจียวเหมยตอบกลับไปตามตรงตอนนี้เธอยังไม่สามารถบอกได้ว่าเธอจะเปิดร้านขายข้าวและอาหารแห้งรวมถึงเนื้อพวกนี้ด้วย เนื่องจากยังไม่จ่ายเงินค่าซื้อร้าน แต่อีกไม่นานนี้แหละที่เธอจะมีร้านค้าของตัวเอง
“ตกลง ฉันเองก็มาซื้อของเข้าร้านทุกเดือนอยู่แล้ว หากสินค้าหมดก่อนแล้วฉันไม่ได้มา จะให้คนติดตามสองคนนี้มาซื้อแทนก็แล้วกัน หากเธอมีสินค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการขายก็ฝากบอกพวกเขาไปได้นะ” ลูกค้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะบอกแนวทางการทำการค้าในครั้งต่อไป
“ได้ค่ะ” ฟางเจียวเหมยก็พยักหน้ารับรู้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็แยกย้าย ฟางเจียวเหมยนั้นรีบกลับไปยังสำนักงานขายที่ดินทันที เพราะตอนนี้เธอมีเงินครบตามจำนวนที่จะซื้อทั้งบ้านและร้านค้าแล้ว
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี