ฟางเจียวเหมยเริ่มที่จะวางแผนกิจการที่ควรจะทำในยุคนี้ เพราะอย่างที่บอก ต่อให้มีมิติและในมิตินั้นสามารถเอาสิ่งของออกมาใช้ได้อย่างไม่มีวันหมด แต่อย่าลืมว่าหากเธอตายไป มิตินี้ก็จะหายไปด้วย แต่การทำธุรกิจหรือกิจการต่าง ๆ ด้วยสองมือรวมกับมันสมองและความสามารถที่มี ต่อให้เธอตายไปทุกอย่างก็จะคงอยู่ให้กับลูกหลานสืบทอดต่อไปได้
หญิงสาวคิดเรื่องนี้เพลินจนเกวียนมาถึงในเมือง จากนั้นเธอจึงจ่ายค่าเกวียนไปสามเฟิน ก่อนจะเดินตรวจดูการค้าต่าง ๆ ด้วยความสนใจ
ฟางเจียวเหมยคิดว่าต่อให้เธอวางแพลนอย่างไร หากไม่มีเงินในมือก็ยากที่จะทำธุรกิจนั้น ๆ ได้สำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำรองจากเรื่องแยกบ้าน คือการหาเงินซื้อบ้านในเมืองสักหลังก่อน และค่อยหาเงินทำธุรกิจควบคู่กับทำการค้า
“เฮ้อ...สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเงิน!!” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินต่อไปตามทางเพื่อจะเข้าตลาดมืด
ในระหว่างทาง เธอเดินผ่านสำนักงานขายที่ดินของเมืองนี้ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเพื่อที่จะได้รู้ว่าเงินก้อนแรกที่ต้องใช้ซื้อบ้านหลังกะทัดรัดสักหลังนั้นราคาเท่าไร
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการบ้าน ร้านค้า หรือที่ดินคะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและสอบถามว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการซื้ออะไร
“เอ่อ...ฉันขอสอบถามก่อนได้ไหมคะ ว่าราคาขายบ้านแต่ละหลังนั้นมีตั้งแต่ราคาเท่าไรบ้าง ฉันจะเอาไว้ประกอบการตัดสินใจซื้อ” ฟางเจียวเหมยยังไม่พร้อมที่จะซื้อวันนี้ แต่ก็เลือกที่จะไม่บอกพนักงานคนนี้ว่าเธอนั้นเข้ามาถามราคาไว้ก่อน
“สอบถามได้ค่ะ สำนักงานของเรามีบ้านหลายขนาด ไม่ทราบว่าคุณต้องการบ้านขนาดไหนคะ” พนักงานสาวคนนี้ยังคงตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่จึงทำให้ฟางเจียวเหมยเบาใจลงว่าไม่โดนไล่ออกจากสำนักงานแห่งนี้แน่
ก่อนจะนับถึงจำนวนสมาชิกของครอบครัว และรวมถึงพี่ชายของเธอเข้ามาด้วยแล้วถามออกไปอีกครั้ง “ฉันต้องการบ้านประมาณสี่ห้องนอนค่ะ ไม่ทราบว่าบ้านขนาดนี้ราคาขายเท่าไร และขอถามประมาณสามห้องนอนด้วยนะคะ”
ฟางเจียวเหมยถามเผื่อไว้สองขนาด เพราะไม่มั่นใจว่าราคาขายจะมากขนาดไหน ตอนนี้เธอยังไม่อยากซื้อบ้านที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป เพราะคิดว่าในอนาคตคงต้องขยับขยาย และการซื้อบ้านก็เท่ากับซื้อทรัพย์สินเก็บไว้เหมือนกัน ในอนาคตบ้านและที่ดินจะมีราคามากกว่าทองคำเสียอีก
“บ้านขนาดสามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องรับแขก พร้อมกับมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านหลังนี้จะอยู่ที่ถนนเหอหยาง
ตรอกหลงจู ราคาขายอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวนค่ะ”
พนักงานสาวบอกที่ตั้งและขนาดของบ้านหลังแรกพร้อมกับราคาที่จะขาย ก่อนจะเอ่ยถึงบ้านหลังที่สองที่ลูกค้าต้องการสอบถาม “ส่วนบ้านขนาดสี่ห้องนอน ทุกอย่างมีเหมือนกับบ้านหลังแรก บ้านหลังนี้อยู่ที่ถนน
เหอหยางเหมือนกันค่ะ แต่อยู่ที่เจิ้งฟู ราคาขายจะแพงหน่อยอยู่ที่ราคา
สองพันห้าร้อยหยวนค่ะ รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปหยิบแผนที่และเอาแบบบ้านทั้งสองหลังมาให้ดู”
พูดจบจากนั้นพนักงานสาวจึงเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ก่อนจะหยิบเอกสารของบ้านทั้งสองหลังมาให้หญิงสาวดู
ฟางเจียวเหมยสนใจบ้านทั้งสองหลังเนื่องจากอยู่ในสถานที่ใจกลางเมืองนี้ การเดินทางก็สะดวกและไม่ไกลจากโรงเรียนมัธยมมากนักซึ่งถูกใจเธอมาก เพราะเธอยังต้องการให้น้องสาวของสามีกลับไปเรียนต่อเหมือนเดิม
“ฉันสนใจบ้านขนาดสี่ห้อง แต่ฉันยังไม่พร้อมที่จะซื้อวันนี้ต้องกลับ ไปถามครอบครัวก่อน แต่ฉันจะกลับมาให้เร็วที่สุด ว่าแต่มีร้านค้าปล่อยขายบ้างไหมคะ” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างเลี่ยง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ร้านค้าตอนนี้มีร้านขายข้าวสารและอาหารแห้งค่ะ เจ้าของตั้งราคาขายไว้สูงเพราะมีใบอนุญาตในการขายจากภาครัฐให้ด้วยและจะพร้อมเปลี่ยนชื่อให้คนที่ซื้อร้านต่อค่ะ”
พนักงานสาวทบทวนความคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา เพราะร้านข้าวนี้ฝากขายนานแล้ว แต่ไม่มีใครสู้ราคา เพราะการหาซื้อข้าวมาขายนั้นยากมาก ต่อให้มีเงินหนาขนาดไหนก็ยากที่จะซื้อไปให้ตนเองขาดทุน
“พอจะบอกราคาได้ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยได้ยินอย่างนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที จึงถามออกไป
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเอารายละเอียดของร้านขายข้าวมาให้” พนักงานคนนี้บริการดีมาก แม้จะรู้ว่าลูกค้าจะยังไม่ซื้อในเวลานี้ก็ตาม แต่ก็ยังเอาใจใส่อย่างดี
เมื่อกลับมาพร้อมกับเอกสารในมือ พนักงานจึงบอกถึงขนาดร้านค้าและรายละเอียดต่าง ๆ ทันที สุดท้ายจึงบอกราคากับฟางเจียวเหมย “ราคาเจ้าของร้านตั้งอยู่ที่เจ็ดพันหยวนค่ะ พร้อมเดินเรื่องเปลี่ยนชื่อในใบอนุญาตให้ได้ทันที ลูกค้าที่ซื้อก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนชื่อหรือว่าต้องเสียเวลาเรื่องการเดินเอกสารต่าง ๆ นะคะ”
พนักงานสาวอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ฟางเจียวเหมยเข้าใจได้ทันที เรื่องเส้นสายหรือว่าจ่ายใต้โต๊ะ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าราคานี้อาจจะสูงจนเกินไป แต่สำหรับเธอ มันไม่แพงเลย เพราะว่าเรื่องใบอนุญาตเธอทำเองไม่ได้ หรือต่อให้ได้ ดีไม่ดีราคาค่างวดที่ต้องจ่ายอาจจะมากกว่านี้ก็ได้
แต่ไม่ว่าจะบ้านหรือร้านค้าจะดีสักแค่ไหน แต่เวลานี้เธอไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงได้แต่จองไว้ในใจไปก่อน
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลทั้งบ้านและร้านค้านะคะ ฉันอาจจะมาซื้อบ้านก่อน แต่อย่างไรก็ต้องปรึกษาครอบครัวอีกสักเล็กน้อยแล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับปากด้วยใบหน้าที่จริงจังว่าเธอจะกลับมาในเร็ววันนี้
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลูกค้า เอาที่คุณสะดวกเลยค่ะ” พนักงานสาวตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม เพราะถึงอย่างไรน้อยครั้งที่ลูกค้าจะเตรียมเงินจำนวนมากมาซื้อเลย ส่วนใหญ่มาถามแล้วก็หายเงียบไป
จากนั้นฟางเจียวเหมยจึงเดินออกมาจากร้านพร้อมกับคิดไปด้วยว่าเธอจะขายอะไรที่สามารถทำเงินก้อนได้เร็วๆ หรือต่อให้เธอจะสามารถขายของได้วันสี่ห้าร้อยหยวน แต่หากเธอเก็บเงินไม่ทันแล้วต้องแยกบ้านกันก่อน เธอและทุกคนจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ
และมีทางเดียวที่จะหาเงินจำนวนมากได้นั้นคือการขายของ แต่จะได้ถึงขนาดที่ซื้อบ้านและซื้อร้านเลยหรือไม่นั้น ค่อยว่ากันอีกที
เมื่อเข้ามาในตลาดมืด ฟางเจียวเหมยก็ใช้สายตากวาดมองหาลูกค้า แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีคนซื้อเพราะเธอไม่มีสินค้ามาแสดง จึงตัดสินใจเข้ามุมและเลือกเอาของที่คิดว่าต้องขายได้ออกมา และนั่นก็ไม่พ้นของจำพวกอาหารแห้งและเนื้อ
พอได้ของตามจำนวนต้องการแล้ว เธอจึงมองหาที่ว่าง ก่อนจะเอาเสื่อผืนใหญ่ออกมาด้วย จากนั้นจึงหอบหิ้วของจำนวนมากมายทยอยขนมาตรงพื้นที่ว่างที่หมายตาไว้
หญิงสาวขนของอยู่สองสามรอบกว่าจะหมด แต่ก็ไม่กลัวว่าของจะถูกขโมยไป เพราะตรอกที่เธอเอาของไว้กับพื้นที่ขายของนั้นอยู่ไม่ไกลกัน ยังมองเห็นอยู่
หลังจากที่เริ่มเอาเนื้อและผลไม้ออกมาวาง ก็มีลูกค้าเริ่มเดินเข้ามาสอบถาม เพราะเนื้อหมูและอาหารยังเป็นของที่ต้องการเสมอ
“เนื้อตากแห้งขายเท่าไรเหรอ” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าเนื้อตากแห้งของร้านนี้ดูน่ากินเหลือเกิน แถมยังห่อถุงใสป้องกันฝุ่นละอองอีก
“ห่อละยี่สิบหยวนค่ะ ปริมาณชั่งกว่า” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ เธอมองว่าเนื้อแห้งนั้นควรจะตั้งราคาสูงกว่าเนื้อสดเท่าถึงสองเท่าตัว เพราะวิธีการทำนั้นไม่ง่าย และน้ำหนักของเนื้อหมูก่อนที่จะทำกับหลังทำเสร็จแล้วนั้นต่างกันพอสมควร
“แล้วถ้าฉันซื้อสี่ห่อ ลดราคาได้หรือไม่” ลูกค้ารายนี้เอ่ยถามต่ออย่างสนใจ
“ลดได้ค่ะ แต่ไม่เยอะนะคะ ราคาที่ฉันรับมาก็สูงพอควรเลยค่ะ แต่ถ้าลูกค้าต้องการราคาส่ง ต้องซื้อหนึ่งร้อยห่อขึ้นไปค่ะ” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ เพราะดูแล้วว่าลูกค้ารายนี้น่าจะซื้อไปขายต่อ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต่อราคาแน่นอน ‘หรือเธอกำลังจะได้ลูกค้ารายใหญ่อยู่นะ’
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี