ฟางเจียวเหมยเริ่มที่จะวางแผนกิจการที่ควรจะทำในยุคนี้ เพราะอย่างที่บอก ต่อให้มีมิติและในมิตินั้นสามารถเอาสิ่งของออกมาใช้ได้อย่างไม่มีวันหมด แต่อย่าลืมว่าหากเธอตายไป มิตินี้ก็จะหายไปด้วย แต่การทำธุรกิจหรือกิจการต่าง ๆ ด้วยสองมือรวมกับมันสมองและความสามารถที่มี ต่อให้เธอตายไปทุกอย่างก็จะคงอยู่ให้กับลูกหลานสืบทอดต่อไปได้
หญิงสาวคิดเรื่องนี้เพลินจนเกวียนมาถึงในเมือง จากนั้นเธอจึงจ่ายค่าเกวียนไปสามเฟิน ก่อนจะเดินตรวจดูการค้าต่าง ๆ ด้วยความสนใจ
ฟางเจียวเหมยคิดว่าต่อให้เธอวางแพลนอย่างไร หากไม่มีเงินในมือก็ยากที่จะทำธุรกิจนั้น ๆ ได้สำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำรองจากเรื่องแยกบ้าน คือการหาเงินซื้อบ้านในเมืองสักหลังก่อน และค่อยหาเงินทำธุรกิจควบคู่กับทำการค้า
“เฮ้อ...สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเงิน!!” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินต่อไปตามทางเพื่อจะเข้าตลาดมืด
ในระหว่างทาง เธอเดินผ่านสำนักงานขายที่ดินของเมืองนี้ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเพื่อที่จะได้รู้ว่าเงินก้อนแรกที่ต้องใช้ซื้อบ้านหลังกะทัดรัดสักหลังนั้นราคาเท่าไร
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการบ้าน ร้านค้า หรือที่ดินคะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและสอบถามว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการซื้ออะไร
“เอ่อ...ฉันขอสอบถามก่อนได้ไหมคะ ว่าราคาขายบ้านแต่ละหลังนั้นมีตั้งแต่ราคาเท่าไรบ้าง ฉันจะเอาไว้ประกอบการตัดสินใจซื้อ” ฟางเจียวเหมยยังไม่พร้อมที่จะซื้อวันนี้ แต่ก็เลือกที่จะไม่บอกพนักงานคนนี้ว่าเธอนั้นเข้ามาถามราคาไว้ก่อน
“สอบถามได้ค่ะ สำนักงานของเรามีบ้านหลายขนาด ไม่ทราบว่าคุณต้องการบ้านขนาดไหนคะ” พนักงานสาวคนนี้ยังคงตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่จึงทำให้ฟางเจียวเหมยเบาใจลงว่าไม่โดนไล่ออกจากสำนักงานแห่งนี้แน่
ก่อนจะนับถึงจำนวนสมาชิกของครอบครัว และรวมถึงพี่ชายของเธอเข้ามาด้วยแล้วถามออกไปอีกครั้ง “ฉันต้องการบ้านประมาณสี่ห้องนอนค่ะ ไม่ทราบว่าบ้านขนาดนี้ราคาขายเท่าไร และขอถามประมาณสามห้องนอนด้วยนะคะ”
ฟางเจียวเหมยถามเผื่อไว้สองขนาด เพราะไม่มั่นใจว่าราคาขายจะมากขนาดไหน ตอนนี้เธอยังไม่อยากซื้อบ้านที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป เพราะคิดว่าในอนาคตคงต้องขยับขยาย และการซื้อบ้านก็เท่ากับซื้อทรัพย์สินเก็บไว้เหมือนกัน ในอนาคตบ้านและที่ดินจะมีราคามากกว่าทองคำเสียอีก
“บ้านขนาดสามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องรับแขก พร้อมกับมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านหลังนี้จะอยู่ที่ถนนเหอหยาง
ตรอกหลงจู ราคาขายอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวนค่ะ”
พนักงานสาวบอกที่ตั้งและขนาดของบ้านหลังแรกพร้อมกับราคาที่จะขาย ก่อนจะเอ่ยถึงบ้านหลังที่สองที่ลูกค้าต้องการสอบถาม “ส่วนบ้านขนาดสี่ห้องนอน ทุกอย่างมีเหมือนกับบ้านหลังแรก บ้านหลังนี้อยู่ที่ถนน
เหอหยางเหมือนกันค่ะ แต่อยู่ที่เจิ้งฟู ราคาขายจะแพงหน่อยอยู่ที่ราคา
สองพันห้าร้อยหยวนค่ะ รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปหยิบแผนที่และเอาแบบบ้านทั้งสองหลังมาให้ดู”
พูดจบจากนั้นพนักงานสาวจึงเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ก่อนจะหยิบเอกสารของบ้านทั้งสองหลังมาให้หญิงสาวดู
ฟางเจียวเหมยสนใจบ้านทั้งสองหลังเนื่องจากอยู่ในสถานที่ใจกลางเมืองนี้ การเดินทางก็สะดวกและไม่ไกลจากโรงเรียนมัธยมมากนักซึ่งถูกใจเธอมาก เพราะเธอยังต้องการให้น้องสาวของสามีกลับไปเรียนต่อเหมือนเดิม
“ฉันสนใจบ้านขนาดสี่ห้อง แต่ฉันยังไม่พร้อมที่จะซื้อวันนี้ต้องกลับ ไปถามครอบครัวก่อน แต่ฉันจะกลับมาให้เร็วที่สุด ว่าแต่มีร้านค้าปล่อยขายบ้างไหมคะ” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างเลี่ยง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ร้านค้าตอนนี้มีร้านขายข้าวสารและอาหารแห้งค่ะ เจ้าของตั้งราคาขายไว้สูงเพราะมีใบอนุญาตในการขายจากภาครัฐให้ด้วยและจะพร้อมเปลี่ยนชื่อให้คนที่ซื้อร้านต่อค่ะ”
พนักงานสาวทบทวนความคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา เพราะร้านข้าวนี้ฝากขายนานแล้ว แต่ไม่มีใครสู้ราคา เพราะการหาซื้อข้าวมาขายนั้นยากมาก ต่อให้มีเงินหนาขนาดไหนก็ยากที่จะซื้อไปให้ตนเองขาดทุน
“พอจะบอกราคาได้ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยได้ยินอย่างนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที จึงถามออกไป
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเอารายละเอียดของร้านขายข้าวมาให้” พนักงานคนนี้บริการดีมาก แม้จะรู้ว่าลูกค้าจะยังไม่ซื้อในเวลานี้ก็ตาม แต่ก็ยังเอาใจใส่อย่างดี
เมื่อกลับมาพร้อมกับเอกสารในมือ พนักงานจึงบอกถึงขนาดร้านค้าและรายละเอียดต่าง ๆ ทันที สุดท้ายจึงบอกราคากับฟางเจียวเหมย “ราคาเจ้าของร้านตั้งอยู่ที่เจ็ดพันหยวนค่ะ พร้อมเดินเรื่องเปลี่ยนชื่อในใบอนุญาตให้ได้ทันที ลูกค้าที่ซื้อก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนชื่อหรือว่าต้องเสียเวลาเรื่องการเดินเอกสารต่าง ๆ นะคะ”
พนักงานสาวอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ฟางเจียวเหมยเข้าใจได้ทันที เรื่องเส้นสายหรือว่าจ่ายใต้โต๊ะ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าราคานี้อาจจะสูงจนเกินไป แต่สำหรับเธอ มันไม่แพงเลย เพราะว่าเรื่องใบอนุญาตเธอทำเองไม่ได้ หรือต่อให้ได้ ดีไม่ดีราคาค่างวดที่ต้องจ่ายอาจจะมากกว่านี้ก็ได้
แต่ไม่ว่าจะบ้านหรือร้านค้าจะดีสักแค่ไหน แต่เวลานี้เธอไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงได้แต่จองไว้ในใจไปก่อน
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลทั้งบ้านและร้านค้านะคะ ฉันอาจจะมาซื้อบ้านก่อน แต่อย่างไรก็ต้องปรึกษาครอบครัวอีกสักเล็กน้อยแล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับปากด้วยใบหน้าที่จริงจังว่าเธอจะกลับมาในเร็ววันนี้
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลูกค้า เอาที่คุณสะดวกเลยค่ะ” พนักงานสาวตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม เพราะถึงอย่างไรน้อยครั้งที่ลูกค้าจะเตรียมเงินจำนวนมากมาซื้อเลย ส่วนใหญ่มาถามแล้วก็หายเงียบไป
จากนั้นฟางเจียวเหมยจึงเดินออกมาจากร้านพร้อมกับคิดไปด้วยว่าเธอจะขายอะไรที่สามารถทำเงินก้อนได้เร็วๆ หรือต่อให้เธอจะสามารถขายของได้วันสี่ห้าร้อยหยวน แต่หากเธอเก็บเงินไม่ทันแล้วต้องแยกบ้านกันก่อน เธอและทุกคนจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ
และมีทางเดียวที่จะหาเงินจำนวนมากได้นั้นคือการขายของ แต่จะได้ถึงขนาดที่ซื้อบ้านและซื้อร้านเลยหรือไม่นั้น ค่อยว่ากันอีกที
เมื่อเข้ามาในตลาดมืด ฟางเจียวเหมยก็ใช้สายตากวาดมองหาลูกค้า แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีคนซื้อเพราะเธอไม่มีสินค้ามาแสดง จึงตัดสินใจเข้ามุมและเลือกเอาของที่คิดว่าต้องขายได้ออกมา และนั่นก็ไม่พ้นของจำพวกอาหารแห้งและเนื้อ
พอได้ของตามจำนวนต้องการแล้ว เธอจึงมองหาที่ว่าง ก่อนจะเอาเสื่อผืนใหญ่ออกมาด้วย จากนั้นจึงหอบหิ้วของจำนวนมากมายทยอยขนมาตรงพื้นที่ว่างที่หมายตาไว้
หญิงสาวขนของอยู่สองสามรอบกว่าจะหมด แต่ก็ไม่กลัวว่าของจะถูกขโมยไป เพราะตรอกที่เธอเอาของไว้กับพื้นที่ขายของนั้นอยู่ไม่ไกลกัน ยังมองเห็นอยู่
หลังจากที่เริ่มเอาเนื้อและผลไม้ออกมาวาง ก็มีลูกค้าเริ่มเดินเข้ามาสอบถาม เพราะเนื้อหมูและอาหารยังเป็นของที่ต้องการเสมอ
“เนื้อตากแห้งขายเท่าไรเหรอ” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าเนื้อตากแห้งของร้านนี้ดูน่ากินเหลือเกิน แถมยังห่อถุงใสป้องกันฝุ่นละอองอีก
“ห่อละยี่สิบหยวนค่ะ ปริมาณชั่งกว่า” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ เธอมองว่าเนื้อแห้งนั้นควรจะตั้งราคาสูงกว่าเนื้อสดเท่าถึงสองเท่าตัว เพราะวิธีการทำนั้นไม่ง่าย และน้ำหนักของเนื้อหมูก่อนที่จะทำกับหลังทำเสร็จแล้วนั้นต่างกันพอสมควร
“แล้วถ้าฉันซื้อสี่ห่อ ลดราคาได้หรือไม่” ลูกค้ารายนี้เอ่ยถามต่ออย่างสนใจ
“ลดได้ค่ะ แต่ไม่เยอะนะคะ ราคาที่ฉันรับมาก็สูงพอควรเลยค่ะ แต่ถ้าลูกค้าต้องการราคาส่ง ต้องซื้อหนึ่งร้อยห่อขึ้นไปค่ะ” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ เพราะดูแล้วว่าลูกค้ารายนี้น่าจะซื้อไปขายต่อ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต่อราคาแน่นอน ‘หรือเธอกำลังจะได้ลูกค้ารายใหญ่อยู่นะ’
บทส่งท้าย ครอบครัวอบอุ่นหลี่อี้ข่ายเมื่อรู้เรื่องว่าภรรยาเหมือนจะคลอดแล้วจึงรีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที พอมาถึงก็รู้ว่าภรรยาได้เข้าไปในห้องคลอดแล้ว เขาได้แต่เดินไปเดินมาที่หน้าห้องคลอด จนทุกคนเวียนหัวไปหมดแล้วในตอนนี้“อาข่ายหยุดเดินแล้วมานั่งก่อนเถอะ ตาเวียนหัวไปหมดแล้ว” นายท่านผู้เฒ่ากงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเพราะเขาเวียนหัวไปหมดแล้วจากการเดินของหลานเขย“ครับ คุณตา”แต่ถึงแม้จะบอกอย่างนั้น หลี่อี้ข่ายก็ไม่ยอมนั่ง เขาเดินไปยืนเอาหน้าแนบประตูห้องคลอด เหมือนกับว่าจะมองให้ทะลุเข้าไปในห้องให้ได้ นั่นจึงทำให้ทุกคนส่ายหัวให้กับความตื่นเต้นของเขา ทั้ง ๆ ที่เคยมีลูกมาก่อนแล้วสองคนไม่นานประตูก็เปิดออกและมีคุณหมอก็ออกมาแจ้งข่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มว่า“ยินดีด้วยนะคะ คุณเจียวเหมยคลอดลูกแฝดชายหญิงค่ะ”“ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” ชายหนุ่มรีบถามถึงอาการของภรรยาก่อนจนคุณหมอต้องอมยิ้ม เพราะเขาไม่ถามเลยว่าแฝดกี่คน‘ดูท่าว่าคนนี้จะรักภรรยามากจริง ๆ’ หมอคิดในใจ“ภรรยาคุณหลังจากที่คลอดลูกก็เพลียจนตอนนี้หลับไปแล้วค่ะ อาการปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกเลยค่ะ ว่าแต่คุณพ่อไม่ถามเหรอคะ ว่าคราวนี้ลูกแฝ
บทที่ 74 รับปู่กับย่ามาอยู่ด้วย“ฮือ ๆ ๆ ตาแก่นั่นตอนนี้ป่วยหนัก แต่ย่าไม่มีเงินพาไปหาหมอเพราะสะใภ้ใหญ่แอบเอาเงินที่มีไปให้บ้านเดิมยืม จนตอนนี้บ้านซ่งก็ยังไม่คืน แถมเมียอาจงพอเห็นสามีติดคุกก็หอบเงินที่มีหนีไปอีก ตอนนี้บ้านหลี่เราลำบากมาก แทบไม่มีอะไรกิน ตาแก่ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหวสะดุดล้มหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินไม่ได้อีกและนอนป่วยอยู่ที่บ้าน กินน้ำต้มข้าวประทังชีวิตไปวัน ๆ ”ย่าหลี่พูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ นางเคยบากหน้าไปขอจากลูกคนรอง แต่บ้านนั้นแทบจะไม่เปิดประตูต้อนรับนางเช่นกันหลี่อี้ข่ายได้ฟังอย่างนั้นก็หันไปสบสายตากับฟางเจียวเหมย เมื่อเธอพยักหน้าให้ เขาก็ออกคำสั่งกับคนที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที“เผิงหยู่ นายเอารถฉันพาย่าไปรับปู่แล้วรีบไปส่งโรงพยาบาล ค่ารักษาฉันจะจ่ายเองทั้งหมด อ้อ เอาอาหารแล้วก็ของใช้ไปให้เพียงพอสำหรับปู่กับย่าด้วยนะ คนอื่นไม่เกี่ยว” ชายหนุ่มไม่อยากคิดถึงความร้ายกาจที่บ้านใหญ่มีต่อบ้านสามของเขา ครั้งนี้เขาขอทำเพื่อพ่อที่จากไป อย่างน้อยก็ได้กตัญญูแทนท่าน และเขาทำให้ปู่กับย่าเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์“ครับเถ้าแก่” เผิงหยู่ขานรับทันที เขารู้สิ่
บทที่ 73 ความสุขที่ได้แบ่งปันข่าวเรื่องที่ร้านหลี่ฟางจะตั้งโรงทานเพื่อแจกอาหารและของใช้ให้ชาวบ้าน ต่างกระจายไปทั่ว ไม่ว่าหมู่บ้านนั้นจะอยู่ลึกและกันดารแค่ไหน สามล้อพุ่มพวงก็เดินทางไปส่งข่าวหลังจากขายของหมดแล้ว ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกคนได้แต่อวยพรให้ร้านหลี่ฟางขายดีและร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม พอนายท่านกงและนายท่านผู้เฒ่ากงทราบเรื่อง ทั้งสองก็มาช่วยลงขันด้วย โดยการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ยากไร้ ไม่มีทุนทรัพย์ในการเรียนต่อเบื้องต้นจำนวน 50 ทุนและจะพิจารณาทุนให้เป็นการเฉพาะรายที่อยากเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยจะคัดเลือกจากคนเรียนดีแต่ยากจนจริงๆ อีกครั้งในภายหลัง พอเรื่องนี้เข้าหูชาวบ้าน ทุกคนก็ยิ่งดีใจมาก เพราะหลายครอบครัวที่อยากส่งลูกหลานเรียนแต่ไม่มีเงิน“ขอบคุณตระกูลหลี่ ตระกูลฟาง และตระกูลกง นอกจากฉันจะไม่อดตายในหน้าหนาวปีนี้แล้ว หลานของฉันมีโอกาสได้เรียนต่อตามที่เขาตั้งใจไว้อีกด้วยขอบคุณจริงๆ”ยายเฒ่าคนหนึ่งหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้ยินประกาศจากรถสามล้อพุ่มพวง เนื่องจากเธออาศัยอยู่กับหลานชายและลูกชาย ซึ่งตอนนี้หลานชายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เนื่องจากบ้านพวกเธอต่างยอม
บทที่ 72 คืนกำไรให้ชาวบ้าน“เป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่คิดไหม” นายท่านผู้เฒ่ากงสอบถามทันทีด้วยสีหน้าร้อนรนปนตื่นเต้น เมื่อหลานทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน“เป็นอย่างที่คิดครับคุณตา เจียวเหมยตั้งท้องแล้วครับ แปดสัปดาห์แล้วครับคุณตา” หลี่อี้ข่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะเวลานี้เขากำลังดีใจที่จะมีลูกเพิ่ม“จริงหรือ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้ตั้งท้องอีกครั้งก็รีบวางหลานสาวเข้าคอกกั้น ก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจส่วนนายท่านผู้เฒ่ากงปรากฏรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่“จริงครับแม่”หลี่อี้ข่ายตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เนื่องจากเวลานี้เขากำลังดีใจกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ส่วนฟางเจียวเหมยนั้นไม่ต้องห่วง เธอนั้นมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งอบอุ่นหัวใจและดีใจก่อนจะเดินไปหาลูกน้อยทั้งสองคนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในคอก“อาหมิง หนิงหนิง เราสองคนกำลังมีน้องแล้วนะ ดีใจไหม” ความดีใจนี้เธออยากจะบอกให้ลูกทั้งสองคนรับรู้“น้อนเหยอ” หลี่ลี่หนิงละทิ้งของเล่นในมือพร้อมกับเอียงคอถามด้วยท่าทีที่น่ารัก“ค่ะลูก หนูกำลังจะมีน้องรู้ไหม” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับลูบหัวลูกสาวตัวน้อยด้วยความอ่อนโยน ส่วนหลี่ชุน
บทที่ 71 ตั้งท้องแล้วหลังจากเปิดใจกันวันนั้นฟางหลู่เฉินและหลี่เหว่ยเหลียนก็ได้เปิดตัวกับทุกคน ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็ยินดีกับทั้งสองคนด้วย รวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากงด้วย วันเวลาล่วงเลยจนอี้เสี่ยวม่านใกล้คลอดแล้ว ส่วนกงเฉิงเสวียนก็เดินทางไปกลับระหว่างสองเมืองเพื่อดูแลงานเองทุกที่ รวมถึงร้านรับซื้อหยกของเขาด้วย มีบางครั้งที่ฟางเจียวเหมยและสามีตามไปด้วยเพื่อหาซื้อหยกแล้วขายต่อให้พี่ชายอีกทั้งเวลานี้โรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ก็คืบหน้าไปมาก เพราะฟางเจียวเหมยทุ่มเงินไปกับส่วนนี้ไม่น้อย แม้การก่อสร้างจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพและความคงทนแข็งแรงนั้นไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะทรัพย์สินพวกนี้เป็นอะไรที่สามารถเก็บกินระยะยาวหลายสิบปีและเธอตั้งใจจะทำเพื่อมอบไว้ให้ลูก ๆฟางเจียวเหมยและหลี่อี้ข่าย ตอนนี้ทั้งสองคนมีอิทธิพลในเมืองแห่งนี้และเมืองใกล้ ๆ ไม่น้อย เพราะกิจการที่เจริญรุ่งเรืองไม่หยุดของทั้งคู่ ทำให้เป็นที่นับหน้าถือตาของกลุ่มนักธุรกิจด้วยกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวบ้านธรรมดา จะกลายเป็นผู้มีเงินได้มากขนาดนี้อีกทั้งคุณนายหลี่อย่างฟางเจียวเหมย ยังมีฐานะเป็นหลานสาวของตระกูลกงที่มั่งคั่งและร่ำรวยระ
บทที่ 70 คำสารภาพของฟางหลู่เฉินหลังจากส่งนายท่านกงขึ้นรถแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง รวมถึงกงเฉิงเสวียนที่เปิดกิจการใหม่ที่นี่ด้วยนั่นก็คือโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ตามคำแนะนำของน้องสาวอย่างฟางเจียวเหมย ซึ่งเธอก็สร้างด้วยเหมือนกัน เพราะกิจกรรมพวกนี้ มันไม่ได้แย่งชิงลูกค้ากันอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคนที่อยากมีบ้านแต่ทุนน้อยและไม่มีที่ดินของตนเอง ซึ่งการที่ฟางเจียวเหมยให้พี่ชายคนนี้มาทำกิจการนี้ นั่นก็เพราะว่ากงเฉิงเสวียนมีเส้นสายในการขออนุญาตกับภาครัฐอย่างไรล่ะ หากเป็นตาสีตาสาเช่นเธอ ทุกอย่างคงจะยากน่าดูพอทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่ากงก็หันมาเล่นกับสองแฝดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของชายชราปรากฏให้เห็นแล้วว่าเขานั้นมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้ ซึ่งเด็กน้อยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะเริ่มหัดพูด แต่ก็พยายามโต้ตอบสื่อสารกับผู้เป็นทวดของทั้งสองคนอย่างร่าเริง“ฉันฝากสองแฝดหน่อยนะคะนายท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวจะไปเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเที่ยงของเด็กๆ วันนี้นายท่านต้องการรับประทานอาหารชนิดไหนคะ ฉันจะได้เตรียมไว้ให้” หนิงหงชุนพอเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว เลยฝากหลานทั้งสองไว้ให้นายท่านผู้