“อ้าวคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าลืมอะไรหรือเปล่าคะ” พนักงานขายคนเดินเพิ่งคุยกับลูกค้าในสำนักงานเสร็จพอดี เมื่อเห็นฟางเจียวเหมยเข้ามาอีกครั้ง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันไม่ได้ลืมของค่ะ แต่ฉันจะมาซื้อบ้านและร้านขายข้าวสารที่คุณแนะนำให้เมื่อเช้านี้” ฟางเจียวเหมยยิ้มแย้มกลับไป ก่อนจะบอกถึงความประสงค์ที่กลับมาในครั้งนี้
“ค่ะคุณลูกค้า เชิญทางนี้ค่ะ”
ถึงแม้จะมึนงงที่ลูกค้ากลับมาเร็วมาก แต่พนักงานขายก็พยายามเรียกสติแล้วพาฟางเจียวเหมยเดินมายังโต๊ะทำงานเพื่อให้กรอกรายละเอียดเอกสารซื้อขาย
“ถ้าฉันจะขอลดราคาสักหน่อยได้ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยถามขึ้น เมื่อดูเอกสารแล้ว การซื้อขายจะต้องมีการต่อรองราคาเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ
“ได้ค่ะ อย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปแจ้งเจ้าของที่และสอบถามราคาสุดท้ายมาให้นะคะ”
พูดจบพนักงานก็รีบไปแจ้งเจ้าของทั้งสองที่ว่ามีลูกค้าตกลงซื้อแล้วและได้สอบถามราคาสุดท้ายมาให้ ไม่นานเธอก็กลับมาแจ้ง และเป็นราคาที่ฟางเจียวเหมยพอใจไม่น้อยเพราะประหยัดเงินไปได้อีกมากพอสมควร
หลังจากจัดการเรื่องเอกสารครบแล้ว พนักงานและผู้จัดการจึงพาฟางเจียวเหมยไปดูทั้งร้านค้าและบ้าน ก่อนจะพาเธอไปยังสำนักงานที่ดินเพื่อจัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นของฟางเจียวเหมย
“เรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนเอกสารเปลี่ยนชื่อ คุณเจียวเหมยกลับมารับเอกสารอีกสองสัปดาห์ แต่ถ้าจะเปิดร้านขายก่อนก็ได้ค่ะ หากมีคนมาขอดูเอกสารก็ให้ติดต่อมาที่สำนักงาน ทางเราจะไปชี้แจงให้เอง” พนักงานสาวบอกเกี่ยวกับเรื่องร้านขายข้าว
“ฉันคงยังไม่เปิดในเดือนนี้หรอกค่ะ อย่างไรอีกสองสัปดาห์ฉันจะไปรับเอกสารใบอนุญาตนะคะ ส่วนนี่เป็นสินน้ำใจจากฉัน และนี่ของผู้จัดการค่ะ”
ฟางเจียวเหมยยื่นเงินให้พนักงานขายยี่สิบหยวนเพื่อเป็นน้ำใจและธรรมเนียมของการซื้อขายที่ดิน และให้ผู้จัดการเพียงสิบหยวนเพราะเขาทำเพียงขับรถพามาดูบ้านและร้านค้า รวมถึงพามาที่สำนักงานที่ดินเท่านั้น
“ขอบคุณมากค่ะ / ขอบคุณครับ” พนักงานและผู้จัดการจากสำนักงานขายที่ดินเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม และไม่คิดว่าลูกค้าที่แต่งตัวบ้าน ๆ ธรรมดาจะซื้อบ้านและร้านค้าพร้อมกัน แถมยังให้สินน้ำใจจำนวนไม่น้อยเลย
หลังจากซื้อบ้านและร้านค้าเป็นของตัวเองแล้ว ฟางเจียวเหมยจึงเดินออกมาจากสำนักงานที่ดินด้วยใจที่พองโต ไม่คิดว่ามาเพียงสองวัน
เธอจะสามารถซื้อบ้านและร้านค้าได้
“ขอบคุณนะคะท่านยมทูต”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณออกไปเบา ๆ เพราะความสำเร็จในครั้งนี้ก็มาจากมิติที่ท่านยมทูตมอบให้อย่างไรล่ะ
ฟางเจียวเหมยเอาเนื้อและอาหารที่ต้องปรุงเย็นนี้ออกมาจากมิติและเสื้อผ้าของแต่ละคนมาอีกคนละสองชุด เวลานี้เธอมีบ้านและร้านค้าแล้ว
ก็ไม่กลัวเรื่องที่หากต้องแยกบ้านแล้วจะไปอยู่ที่ไหนอีกแล้ว
แต่การค้าในวันนี้ช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน หากมีคนมาช่วยก็คงดี “เอ๊ะ หรือว่าเราควรบอกพี่ใหญ่เรื่องแหล่งสินค้าดี” เพราะกลัวว่าใครจะได้ยินเลยไม่พูดถึงมิติ แต่พูดถึงเรื่องแหล่งสินค้าแทน
หญิงสาวยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าบอกหรือไม่บอกดี จนเกวียนขับเข้ามาถึงในหมู่บ้านจึงได้สติ ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินกลับบ้านด้วยหัวใจเบิกบาน ที่สามารถซื้อบ้านและซื้อร้านค้าได้
แต่ปัญหาก็ยังมี หากเธอพาแม่สามีและน้องสามีย้ายเข้าบ้านใหม่ เธอจะบอกทั้งสองคนอย่างไรว่าเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อบ้านและร้านกันล่ะ สุดท้ายแล้วฟางเจียวเหมยตัดสินใจจะบอกความลับกับพี่ชาย เพราะอย่างน้อยทั้งสองยังอ้างได้ว่าสินเดิมที่แม่ทิ้งไว้ให้อย่างไรล่ะ
ย้อนกลับมาที่บ้านใหญ่หลี่ เวลานี้สองแม่ลุกนั่งคุยกันด้วยความอิจฉา เพราะหลี่ฉีหลินเห็นฟางเจียวเหมยเข้าเมืองอีกแล้ว
“แม่ เมื่อเช้าฉันเห็นนังเจียวเหมยเข้าเมืองอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรกลับมาอีก ฉันคิดว่าเราเข้าไปค้นในบ้านมันดีหรือเปล่า เผื่อว่าจะได้ของมีค่าติดไม้ติดมือมาบ้าง” เธอพยายามพูดจาโน้มน้าวแม่ตนเองเพราะเชื่อว่าในบ้านสามหลี่นั้นน่าจะมีทรัพย์สินมีค่า
“แกเชื่ออย่างนั้นหรือ แต่เมื่อวานพวกมันสองพี่น้องยืนยันกันแล้วนี่ว่า ข้าวของพวกนั้นที่นังเจียวเหมยซื้อมาด้วยเงินสินเดิมของแม่พวกมัน
แล้วแบบนี้เราจะเอาของมีค่ามาได้อย่างไร และการที่บอกว่าให้ไปค้นบ้านสาม ฉันอยากให้แกแหกตาดูนะฉีหลินว่า คนบ้านสามตอนนี้แทบจะกลาย
เป็นเฝ้าสมบัติแล้ว ทั้งแม่ทั้งลูกไม่ออกไปไหนเลย แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง” ซ่งเจียฮุยมองไม่เห็นทางที่จะเข้าบ้านสามได้เลย ต่อให้อยากจะได้ของของบ้านสามก็ตาม แต่หากเข้าไปไม่ได้ก็เท่านั้น
“แม่นี่ก็คิดเยอะไปหรือเปล่า ใครจะบ้าอยู่แต่ในบ้านทุกวัน เราคอยดูก่อนดีกว่า หากเมื่อไรที่พวกบ้านสามไม่อยู่ เราค่อยเข้าไปก็ได้”
“แล้วนี่แกไม่คิดจะดูแลแม่สามีแกบ้างหรือไง ถึงกลับบ้านเดิมมาทุกวันแบบนี้ ระวังเถอะวันหนึ่งสามีจะขอหย่าเอาได้” ซ่งเจียฮุยไม่ค่อยพอใจที่ลูกสาวมักจะกลับมาบ้านเดิมอยู่บ่อย ๆ ต่อให้ทั้งสองบ้านจะอยู่ไม่ไกลกัน แต่ความเหมาะสมก็ไม่ควรกลับมาทุกวันแบบนี้
“เอาน่า แม่อย่าเพิ่งแช่งฉันเลย รอจัดการเรื่องนี้จบก่อนก็แล้วกัน แล้ววันนี้มีอะไรกินบ้าง ฉันหิวมากเลยล่ะ”
ไม่พูดเปล่า หลี่ฉีหลินเดินเข้าไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าครัวดูว่าวันนี้ในบ้านได้ทำอะไรไว้ให้กินบ้าง โดยมีสายตาของผู้เป็นแม่มองตามอย่างหน่ายใจ
เมื่อถึงมื้อเย็น ฟางเจียวเหมยยังคงทำอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสองสามอย่างเหมือนเมื่อวาน ก่อนจะทุกคนมานั่งร่วมวงกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
“พี่ใหญ่ พรุ่งนี้พี่ลางานได้ไหม ฉันจะชวนพี่ไปในเมืองด้วยกัน
สักหน่อย” ฟางเจียวเหมยเดินตามพี่ชายมาล้างถ้วยล้างชามที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน พอเห็นว่าไม่มีใครจึงเอ่ยถาม
“หืม ได้สิ มีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มแปลกใจที่น้องสาวชวนเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ถ้าถามว่าเขาลางานได้ไหมย่อมต้องได้อยู่แล้ว
“ฉันมีเรื่องจะบอกพี่และจะพาพี่ไปขายของด้วยน่ะ วันนี้ลูกค้าเยอะฉันเกือบขายไม่ทัน พี่สนใจจะไปขายของด้วยกันไหม ฉันจะแบ่งกำไรให้”
เธอมองว่าเรื่องสำคัญควรจะบอกในที่ลับตาคน และตั้งใจว่าจะพาพี่ชายไปดูบ้านและร้านค้าด้วยแล้วค่อยบอกในตอนนั้น ก่อนจะไปขายของในตลาดมืด
“ได้สิ พรุ่งนี้เช้าพี่จะมาหาน้องที่บ้านก็แล้วกัน” ฟางหลู่เฉินตอบรับ
มาอย่างง่ายดาย สำหรับเขาแล้วเรื่องของน้องสาวสำคัญกับเขาเสมอ
“แล้วพี่หาเหตุผลที่จะแยกบ้านออกมาได้หรือยัง ฉันคิดว่าเราน่าจะได้ย้ายออกจากหมู่บ้านแห่งนี้แล้วไปอยู่ในเมืองเร็ว ๆ นี้” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมกับบอกเรื่องย้ายออกจากหมู่บ้านในเร็ววันนี้
“เร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ หากย้ายออกไปแล้วเราทั้งหมดจะอยู่ที่ไหน และที่สำคัญน้องอย่าลืมส่งข่าวให้อี้ข่ายรับรู้ด้วยนะ ให้เขามาทำงานกับครอบครัวดีกว่าต้องเป็นลูกจ้างคนอื่นเขา พี่เองก็เกรงใจบ้านสามเหมือนกัน”
ชายหนุ่มไม่คิดว่าเรื่องการย้ายบ้านของตนเองและบ้านสามหลี่จะรวดเร็วแบบนี้ ก่อนจะเอ่ยถึงน้องเขยที่ทำงานต่างเมืองด้วยความลำบาก
“เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ฉันตั้งใจจะส่งอาหารแห้งไปให้พี่อี้ข่ายพร้อมกับเขียนจดหมายบอกให้เขากลับมาทำงานอยู่ที่เมืองนี้ดีกว่า”
ฟางเจียวเหมยตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะเขียนจดหมายบอกชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของร่างนี้ให้กลับมาทำงานอยู่ด้วยกันดีกว่า
หลังจากล้างถ้วยล้างชามเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องจึงพากันกลับมาบ้านสามหลี่ จากนั้นฟางเจียวเหมยจึงยื่นชุดใหม่ให้กับพี่ชาย
ก่อนจะที่ฟางหลู่เฉินจะขอตัวกลับบ้านเพื่อพักผ่อนและเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้ ด้วยการไปช่วยน้องสาวขายของในตลาดมืด
บทส่งท้าย ครอบครัวอบอุ่นหลี่อี้ข่ายเมื่อรู้เรื่องว่าภรรยาเหมือนจะคลอดแล้วจึงรีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที พอมาถึงก็รู้ว่าภรรยาได้เข้าไปในห้องคลอดแล้ว เขาได้แต่เดินไปเดินมาที่หน้าห้องคลอด จนทุกคนเวียนหัวไปหมดแล้วในตอนนี้“อาข่ายหยุดเดินแล้วมานั่งก่อนเถอะ ตาเวียนหัวไปหมดแล้ว” นายท่านผู้เฒ่ากงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเพราะเขาเวียนหัวไปหมดแล้วจากการเดินของหลานเขย“ครับ คุณตา”แต่ถึงแม้จะบอกอย่างนั้น หลี่อี้ข่ายก็ไม่ยอมนั่ง เขาเดินไปยืนเอาหน้าแนบประตูห้องคลอด เหมือนกับว่าจะมองให้ทะลุเข้าไปในห้องให้ได้ นั่นจึงทำให้ทุกคนส่ายหัวให้กับความตื่นเต้นของเขา ทั้ง ๆ ที่เคยมีลูกมาก่อนแล้วสองคนไม่นานประตูก็เปิดออกและมีคุณหมอก็ออกมาแจ้งข่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มว่า“ยินดีด้วยนะคะ คุณเจียวเหมยคลอดลูกแฝดชายหญิงค่ะ”“ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” ชายหนุ่มรีบถามถึงอาการของภรรยาก่อนจนคุณหมอต้องอมยิ้ม เพราะเขาไม่ถามเลยว่าแฝดกี่คน‘ดูท่าว่าคนนี้จะรักภรรยามากจริง ๆ’ หมอคิดในใจ“ภรรยาคุณหลังจากที่คลอดลูกก็เพลียจนตอนนี้หลับไปแล้วค่ะ อาการปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกเลยค่ะ ว่าแต่คุณพ่อไม่ถามเหรอคะ ว่าคราวนี้ลูกแฝ
บทที่ 74 รับปู่กับย่ามาอยู่ด้วย“ฮือ ๆ ๆ ตาแก่นั่นตอนนี้ป่วยหนัก แต่ย่าไม่มีเงินพาไปหาหมอเพราะสะใภ้ใหญ่แอบเอาเงินที่มีไปให้บ้านเดิมยืม จนตอนนี้บ้านซ่งก็ยังไม่คืน แถมเมียอาจงพอเห็นสามีติดคุกก็หอบเงินที่มีหนีไปอีก ตอนนี้บ้านหลี่เราลำบากมาก แทบไม่มีอะไรกิน ตาแก่ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหวสะดุดล้มหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินไม่ได้อีกและนอนป่วยอยู่ที่บ้าน กินน้ำต้มข้าวประทังชีวิตไปวัน ๆ ”ย่าหลี่พูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ นางเคยบากหน้าไปขอจากลูกคนรอง แต่บ้านนั้นแทบจะไม่เปิดประตูต้อนรับนางเช่นกันหลี่อี้ข่ายได้ฟังอย่างนั้นก็หันไปสบสายตากับฟางเจียวเหมย เมื่อเธอพยักหน้าให้ เขาก็ออกคำสั่งกับคนที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที“เผิงหยู่ นายเอารถฉันพาย่าไปรับปู่แล้วรีบไปส่งโรงพยาบาล ค่ารักษาฉันจะจ่ายเองทั้งหมด อ้อ เอาอาหารแล้วก็ของใช้ไปให้เพียงพอสำหรับปู่กับย่าด้วยนะ คนอื่นไม่เกี่ยว” ชายหนุ่มไม่อยากคิดถึงความร้ายกาจที่บ้านใหญ่มีต่อบ้านสามของเขา ครั้งนี้เขาขอทำเพื่อพ่อที่จากไป อย่างน้อยก็ได้กตัญญูแทนท่าน และเขาทำให้ปู่กับย่าเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์“ครับเถ้าแก่” เผิงหยู่ขานรับทันที เขารู้สิ่
บทที่ 73 ความสุขที่ได้แบ่งปันข่าวเรื่องที่ร้านหลี่ฟางจะตั้งโรงทานเพื่อแจกอาหารและของใช้ให้ชาวบ้าน ต่างกระจายไปทั่ว ไม่ว่าหมู่บ้านนั้นจะอยู่ลึกและกันดารแค่ไหน สามล้อพุ่มพวงก็เดินทางไปส่งข่าวหลังจากขายของหมดแล้ว ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกคนได้แต่อวยพรให้ร้านหลี่ฟางขายดีและร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม พอนายท่านกงและนายท่านผู้เฒ่ากงทราบเรื่อง ทั้งสองก็มาช่วยลงขันด้วย โดยการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ยากไร้ ไม่มีทุนทรัพย์ในการเรียนต่อเบื้องต้นจำนวน 50 ทุนและจะพิจารณาทุนให้เป็นการเฉพาะรายที่อยากเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยจะคัดเลือกจากคนเรียนดีแต่ยากจนจริงๆ อีกครั้งในภายหลัง พอเรื่องนี้เข้าหูชาวบ้าน ทุกคนก็ยิ่งดีใจมาก เพราะหลายครอบครัวที่อยากส่งลูกหลานเรียนแต่ไม่มีเงิน“ขอบคุณตระกูลหลี่ ตระกูลฟาง และตระกูลกง นอกจากฉันจะไม่อดตายในหน้าหนาวปีนี้แล้ว หลานของฉันมีโอกาสได้เรียนต่อตามที่เขาตั้งใจไว้อีกด้วยขอบคุณจริงๆ”ยายเฒ่าคนหนึ่งหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้ยินประกาศจากรถสามล้อพุ่มพวง เนื่องจากเธออาศัยอยู่กับหลานชายและลูกชาย ซึ่งตอนนี้หลานชายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เนื่องจากบ้านพวกเธอต่างยอม
บทที่ 72 คืนกำไรให้ชาวบ้าน“เป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่คิดไหม” นายท่านผู้เฒ่ากงสอบถามทันทีด้วยสีหน้าร้อนรนปนตื่นเต้น เมื่อหลานทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน“เป็นอย่างที่คิดครับคุณตา เจียวเหมยตั้งท้องแล้วครับ แปดสัปดาห์แล้วครับคุณตา” หลี่อี้ข่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะเวลานี้เขากำลังดีใจที่จะมีลูกเพิ่ม“จริงหรือ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้ตั้งท้องอีกครั้งก็รีบวางหลานสาวเข้าคอกกั้น ก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจส่วนนายท่านผู้เฒ่ากงปรากฏรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่“จริงครับแม่”หลี่อี้ข่ายตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เนื่องจากเวลานี้เขากำลังดีใจกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ส่วนฟางเจียวเหมยนั้นไม่ต้องห่วง เธอนั้นมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งอบอุ่นหัวใจและดีใจก่อนจะเดินไปหาลูกน้อยทั้งสองคนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในคอก“อาหมิง หนิงหนิง เราสองคนกำลังมีน้องแล้วนะ ดีใจไหม” ความดีใจนี้เธออยากจะบอกให้ลูกทั้งสองคนรับรู้“น้อนเหยอ” หลี่ลี่หนิงละทิ้งของเล่นในมือพร้อมกับเอียงคอถามด้วยท่าทีที่น่ารัก“ค่ะลูก หนูกำลังจะมีน้องรู้ไหม” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับลูบหัวลูกสาวตัวน้อยด้วยความอ่อนโยน ส่วนหลี่ชุน
บทที่ 71 ตั้งท้องแล้วหลังจากเปิดใจกันวันนั้นฟางหลู่เฉินและหลี่เหว่ยเหลียนก็ได้เปิดตัวกับทุกคน ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็ยินดีกับทั้งสองคนด้วย รวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากงด้วย วันเวลาล่วงเลยจนอี้เสี่ยวม่านใกล้คลอดแล้ว ส่วนกงเฉิงเสวียนก็เดินทางไปกลับระหว่างสองเมืองเพื่อดูแลงานเองทุกที่ รวมถึงร้านรับซื้อหยกของเขาด้วย มีบางครั้งที่ฟางเจียวเหมยและสามีตามไปด้วยเพื่อหาซื้อหยกแล้วขายต่อให้พี่ชายอีกทั้งเวลานี้โรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ก็คืบหน้าไปมาก เพราะฟางเจียวเหมยทุ่มเงินไปกับส่วนนี้ไม่น้อย แม้การก่อสร้างจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพและความคงทนแข็งแรงนั้นไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะทรัพย์สินพวกนี้เป็นอะไรที่สามารถเก็บกินระยะยาวหลายสิบปีและเธอตั้งใจจะทำเพื่อมอบไว้ให้ลูก ๆฟางเจียวเหมยและหลี่อี้ข่าย ตอนนี้ทั้งสองคนมีอิทธิพลในเมืองแห่งนี้และเมืองใกล้ ๆ ไม่น้อย เพราะกิจการที่เจริญรุ่งเรืองไม่หยุดของทั้งคู่ ทำให้เป็นที่นับหน้าถือตาของกลุ่มนักธุรกิจด้วยกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวบ้านธรรมดา จะกลายเป็นผู้มีเงินได้มากขนาดนี้อีกทั้งคุณนายหลี่อย่างฟางเจียวเหมย ยังมีฐานะเป็นหลานสาวของตระกูลกงที่มั่งคั่งและร่ำรวยระ
บทที่ 70 คำสารภาพของฟางหลู่เฉินหลังจากส่งนายท่านกงขึ้นรถแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง รวมถึงกงเฉิงเสวียนที่เปิดกิจการใหม่ที่นี่ด้วยนั่นก็คือโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ตามคำแนะนำของน้องสาวอย่างฟางเจียวเหมย ซึ่งเธอก็สร้างด้วยเหมือนกัน เพราะกิจกรรมพวกนี้ มันไม่ได้แย่งชิงลูกค้ากันอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคนที่อยากมีบ้านแต่ทุนน้อยและไม่มีที่ดินของตนเอง ซึ่งการที่ฟางเจียวเหมยให้พี่ชายคนนี้มาทำกิจการนี้ นั่นก็เพราะว่ากงเฉิงเสวียนมีเส้นสายในการขออนุญาตกับภาครัฐอย่างไรล่ะ หากเป็นตาสีตาสาเช่นเธอ ทุกอย่างคงจะยากน่าดูพอทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่ากงก็หันมาเล่นกับสองแฝดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของชายชราปรากฏให้เห็นแล้วว่าเขานั้นมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้ ซึ่งเด็กน้อยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะเริ่มหัดพูด แต่ก็พยายามโต้ตอบสื่อสารกับผู้เป็นทวดของทั้งสองคนอย่างร่าเริง“ฉันฝากสองแฝดหน่อยนะคะนายท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวจะไปเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเที่ยงของเด็กๆ วันนี้นายท่านต้องการรับประทานอาหารชนิดไหนคะ ฉันจะได้เตรียมไว้ให้” หนิงหงชุนพอเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว เลยฝากหลานทั้งสองไว้ให้นายท่านผู้