เมื่อเห็นว่าแม่สามีกำลังจะออกจากห้องไป ฟางเจียวเหมยจึงรีบร้องห้าม “แม่ไม่ต้องออกไปหรอก ดูหลานอยู่ในห้องเถอะ ข้างนอกนั่นฉันจัดการเอง” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกับคนที่ไม่ได้ล้มป่วยมาก่อน
“ตะ...แต่” หนิงหงชุนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะไม่ต้องการให้ลูกสะใภ้มีเรื่องกับบ้านใหญ่
“ไม่มีแต่ค่ะ หรือแม่ต้องการให้ฉันอาละวาดตรงนี้” หญิงสาวพยายามนึกถึงท่าทางเดิมของร่างนี้ ก่อนจะพยายามแสดงออกมาให้เหมือนที่สุด จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต
“ได้ ได้จ้ะ แม่จะอยู่ดูหลานนะ” เมื่อเห็นท่าทีของลูกสะใภ้คล้ายจะกลับมาร้ายกาจเหมือนเดิม หนิงหงชุนจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
จากนั้น ฟางเจียวเหมยจึงได้ออกมาจากห้องเก็บของที่เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวสาม เมื่อออกมาก็พบกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง
“แม่สามีหล่อนล่ะ ไม่ออกมาด้วยเหรอ” ซ่งเจียฮุยสะใภ้ใหญ่ของบ้านใหญ่หลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“แล้วทำไมแม่ต้องออกมาล่ะ มีอะไรก็พูดกับฉันได้นี่นา” หญิงสาวถามกลับด้วยดวงตาใสแป๋วคล้ายกับไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายว่าถามถึงแม่สามีของตนเองทำไม
เมื่อเจอท่าทางที่ไม่เคยพบมาก่อนของสะใภ้ร้ายกาจประจำ
บ้านสามหลี่ ป้าสะใภ้อย่างเธอเลยทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะตั้งสติได้แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างเหนือกว่า
“ก็แม่สามีของหล่อนไม่ออกมาทำงาน นี่ก็ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้ว ถึงแม้จะแยกครัว แต่การทำอาหารก็หน้าที่ของสะใภ้สาม เรียกหล่อนออกมาทำหน้าที่ของตัวเองเดี๋ยวนี้”
“งั้นฉันขอถามหน่อย ป้าสะใภ้และลูกสะใภ้ของป้ามีมือมีเท้าหรือเปล่าล่ะ” ฟางเจียวเหมยไม่สนใจว่าหญิงที่ได้ชื่อว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะพูดอะไร แต่เธอเลือกที่จะถามกลับ
“มีสิ หล่อนถามทำไม คนไม่มีมือมีเท้าก็ต้องพิการแล้วสิ” ซ่งเจียฮุยตอบกลับ พร้อมกับมองมือมองเท้าของตัวเอง เพราะไม่เข้าใจว่าหลานสะใภ้จะถามเรื่องนี้ทำไม
“นั่นไง ในเมื่อมีมือมีเท้าเหมือนกัน อีกทั้งป้าสะใภ้ก็ไม่ได้พิการ แล้วทำไมไม่ทำอาหารหรือทำงานในส่วนอื่นเองล่ะ บ้านสามของเรามีกัน
แค่นี้ และแม่สามีกับเสี่ยวเหลียนก็ช่วยดูแลลูกฉันทั้งสองคน ไม่มีเวลามานั่งทำงานให้บ้านใหญ่อีกแล้ว ป้าสะใภ้กลับไปเถอะ ถ้าไม่พอใจก็ให้ย่ามาไล่เราออกจากบ้านก็แล้วกัน”
หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทียียวนเล็กน้อย เรื่องอะไรจะให้แม่สามีและน้องสามีไปเป็นทาสรับใช้ของคนบ้านใหญ่อีก ไม่มีวันเสียล่ะ
“นี่แก….”
หลังจากที่ถูกย้อนกลับ ซ่งเจียฮุยและสะใภ้ต่างก็กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะชี้หน้าและเตรียมจะด่าหลานสะใภ้จากบ้านสาม
ทว่าโดนฟางเจียวเหมยสวนกลับเสียก่อน
“หยุดนะ ฟางเจียวเหมยคนนี้ไม่ชอบให้ใครมาชี้หน้า ไม่ว่าคนนั้นจะหัวหงอกหัวดำถ้ามาชี้หน้าฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ อีกอย่างนะ ในเมื่อบ้านสามกับบ้านใหญ่แยกครัวแยกกินกันแล้ว ทำไมแม่สามีฉันต้องทำงานรับใช้พวกคนบ้านใหญ่ด้วย ต่อให้จะเป็นงานในคอมมูนถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะเวลานี้ไม่มีการบังคับให้ทำอีกแล้ว ในเมื่อบ้านใหญ่และบ้านรองก็ทำ ดังนั้นแม่สามีของฉันจึงไม่จำเป็นต้องทำงานกลางแดดอีก” หญิงสาวกวาดสายตามองทั้งสองคนอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะพูดต่อ
“ส่วนเรื่องงานบ้านของบ้านใหญ่ สมาชิกบ้านใหญ่และบ้านรองอยู่ในบ้านก็ทำกันเองสิ ช่วยแหกตาดูสภาพบ้านสามด้วยว่ามีสภาพอย่างไร
ห้องเก็บฟืนยังดีกว่าหลายเท่านัก คนเราเป็นคนเหมือนกัน มีมือมีเท้าเหมือนกัน บ้านใครก็ทำกันเอาเอง แล้วอย่ามาอ้างว่าย่าสั่ง เพราะความกตัญญูที่บ้านสามให้นั้นมันมากพอแล้ว เงินเดือนฉันก็ต้องแบ่งให้ทุกเดือน แล้วบ้านใหญ่กับบ้านรองล่ะให้อะไรปู่กับย่าบ้าง ต่อจากนี้ไม่ต้องมาเรียกแล้วนะ ถึงเรียกก็ไม่ไป หัดทำกันเองบ้าง ไม่ใช่สักแต่จะใช้คนอื่น!! ถ้าไม่เชื่อจะได้เห็นว่าฟางเจียวเหมยคนนี้ยังร้ายกาจได้มากกว่านี้อีกเยอะ”
พูดจบฟางเจียวเหมยก็หมุนตัวกลับเข้าห้องทันที โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าอย่างไร
ซ่งเจียฮุยและลูกสะใภ้เมื่อได้สติก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้านเหมือนกัน เพื่อนำเรื่องที่เจอไปบอกกับแม่สามี
ส่วนทางหลี่เหว่ยเหลียนที่แอบฟังอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงพี่สะใภ้พูดจบก็รีบวิ่งกลับมานั่งที่เดิม และทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฟางเจียวเหมยเมื่อกลับเข้ามาในห้องก็รีบเอ่ยกับแม่สามีทันที
“ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องไปทำงานในคอมมูนหรือที่บ้านใหญ่อีกแล้วนะ แม่เลี้ยงหลานอยู่ที่นี่แหละ เงินที่พี่อี้ข่ายส่งมาก็ยังเหลืออยู่ หากใช้จ่ายกันในครอบครัวโดยไม่มีเหลือบไรหรือเห็บหมัดมาก่อกวนและสูบเลือดสูบเนื้ออย่างไรเราก็ใช้จ่ายกันพอ” พูดจบก็หันมาเห็นว่าน้องสามีไม่ไปโรงเรียนจึง
เอ่ยถามขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมเสี่ยวเหลียนถึงยังไม่ไปโรงเรียนล่ะ สายมากแล้วนะ”
“ย่าบอกว่าให้ฉันเรียนจบมัธยมต้นก็พอแล้ว ต่อไปก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว เรียนไปก็เท่านั้น” เด็กสาวตอบกลับพร้อมกับก้มหน้าเพราะไม่อยากสบตากับพี่สะใภ้
“แล้วเงินค่าเทอมไปไหน ฉันจำได้ว่าให้ไปแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้ไปโรงเรียนแต่ไปทำงานที่คอมมูนเหรอ” จากความทรงจำ เรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านสาม ฟางเจียวเหมยเป็นคนจัดการทั้งหมด แม้ว่าบ้านใหญ่กับบ้านสามจะยังไม่แยกบ้าน ทว่าเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านสามนั้นฟางเจียวเหมยคนก่อนใช้ความสามารถฉกชิงมาจัดการเอง
ในเมื่อร่างเดิมให้ค่าเทอมไปแล้ว แต่ทำไมน้องสามีกลับไม่ได้เรียน? แล้วเงินค่าเทอมพวกนั้นหายไปไหน?
“เอ่อ...” เด็กสาวไม่กล้าพูดความจริงออกมาเพราะกลัวว่าพี่สะใภ้จะไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่
“พูดมาเถอะ ต่อให้ฉันจะร้ายกาจอย่างไร แต่แม่กับน้องของสามีฉันละไว้ ฉันไม่ทำอะไรหรอก” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ ตอนนั้นป้าสะใภ้มาแย่งเอาเงินไป แล้วบอกว่าย่าไม่ให้เรียนแล้วค่ะ” หลี่เหว่ยเหลียนก้มหน้าพูดเบา ๆ
“อืม นี่ก็จะสอบแล้วใช่ไหม เทอมนี้ไม่ทันก็ค่อยสอบเทียบแล้วเลื่อนชั้นเรียนเอา จำไว้นะคนเราน่ะไม่ว่าหญิงหรือชายย่อมต้องมีการศึกษา เพราะวันข้างหน้าทำให้เราสามารถเลือกงานได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย เข้าใจไหม” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นกับน้องสามีด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ไม่มีอาการเกรี้ยวกราดหรือดุด่าแต่อย่างใด สำหรับเธอนั้นมองว่า ไม่ว่ายุคสมัยไหนการเล่าเรียนนั้นย่อมสำคัญเสมอ
“แต่บ้านเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นนะคะ พี่ใหญ่ทำงานใช้แรงงานได้เดือนละไม่เท่าไหร่เอง ฉันไม่เรียนก็ได้คะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา เพราะรู้ดีว่าพี่ชายนั้นทำงานคนเดียว และไม่อยากสร้างความลำบากให้พี่ชายเพิ่มอีก
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันยังพอมีสินเดิมที่ติดตัวมาเหลืออยู่ หากเอาไปขายอีกสักอย่างสองอย่างก็น่าจะพอส่งเธอเรียนแล้วล่ะ” ฟางเจียวเหมยนั้นมองว่าตนเองมีมิติ แค่เอาของออกมาขายก็น่าจะพอ แล้วที่สำคัญเรื่องของอาหารก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้วเหมือนกัน
“ไม่ได้!! เรื่องเรียนของเสี่ยวเหลียนเอาไว้ก่อนเถอะ แล้วอย่าเอาสินเดิมออกมาขาย เก็บไว้ให้อาหมิงและหนิงหนิงเถอะนะ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้นั้นจะเอาสินเดิมออกมาขายก็รีบร้องห้าม เพราะแม้ว่าบ้านสามของเธอจะยากจนและมีเพียงลูกชายที่ทำงานคนเดียว เธอก็ไม่ยอมที่จะให้ลูกสะใภ้ต้องขายของส่วนตัวเพื่อมาจุนเจือครอบครัวเหมือนกัน
“แม่นั่นแหละเงียบไปเลย แล้วก็ฟังฉัน สินเดิมที่มีเก็บเอาไว้ก็เท่านั้น ไม่สู้เอาไปจำนำแล้วเอามาจุนเจือครอบครัวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ให้เสี่ยวเหลียนเรียนน่ะดีแล้ว แม่คิดสิว่า ถ้าเรายังอยู่ภายใต้ชายคาบ้านใหญ่ คิดเหรอว่าป้าสะใภ้กับย่าจะหาสามีดี ๆ ให้เสี่ยวเหลียน อย่าลืมสิยังมีลูกหลานจากบ้านใหญ่และบ้านรองอีก เอาเป็นว่าทำอย่างที่ฉันบอกเข้าใจไหม แล้วไม่ว่าฉันซื้ออะไรกลับมาบ้าน ถ้ามีคนถามก็บอกฉันใช้เงินจากสินเดิมซื้อ
เข้าใจไหม” คราวนี้ฟางเจียวใช้น้ำเสียงที่พูดกับแม่สามีด้วยความแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วนเพื่อให้นางยอมทำตามอย่างไม่มีการโต้แย้ง
‘ขอโทษนะแม่สามี หากไม่ทำแบบนี้แม่คงดื้อไม่หยุด’ ประโยคสุดท้ายเธอไม่ได้พูดออกไป และการที่พูดแบบนี้หากเธอแอบเอาอาหารออกมา แม่และน้องสามีจะได้ไม่สงสัย
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี