กลับมาทางด้านซ่งเจียฮุย เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วก็รีบวิ่งมาบอก
แม่สามีทันที “แม่ค่ะ ตอนนี้บ้านสามช่างปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา เวลานี้สะใภ้สามไม่ยอมออกมาทำงานอีกแล้วค่ะ”
ย่าหลี่ที่กำลังนั่งเอนกายอยู่ เมื่อลูกสะใภ้คนโปรดมารายงานว่า
บ้านสามไม่ยอมออกมาทำงานจึงยกเท้ากระทืบกับพื้นด้วยความไม่พอใจ “หน็อย นังสะใภ้สามเอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงไม่ยอมออกมาทำงาน เหอะ! คิดว่าฉันจะยอมหรือไง” ท่าทางของย่าหลี่นั้นดูโมโหมาก เพราะไม่คิดบ้านสามที่ไม่มีเสาหลักของครอบครัวจะกล้าแข็งข้อกับบ้านใหญ่แบบนี้
“ฉันไม่เห็นน้องสะใภ้ออกมา แต่คนที่พูดคือ...” ซ่งเจียฮุยรีบพูดอีกครั้งและทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะพูดออกมาเท่าไรนัก
“นังหลานสะใภ้ร้ายกาจอีกละสิ” ย่าหลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยความฉุนเฉียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครที่พูดแบบนี้
“ใช่ค่ะแม่ หลานสะใภ้พูดว่าพวกเราก็มีมือมีเท้าไม่ได้พิการก็ทำกันเองสิ ทำไมต้องใช้บ้านสามด้วย...” จากนั้นซ่งเจียฮุยจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่หล่อนและลูกสะใภ้เจอให้แม่สามีฟังอย่างละเอียด นี่จึงทำให้
แม่เฒ่าหลี่ไม่พอใจบ้านสามยิ่งกว่าเดิม และคิดว่าจะต้องกำราบหลานสะใภ้คนนี้เสียแล้ว
“มันใช้ได้ที่ไหน คนบ้านใหญ่กับคนบ้านรองต้องทำงานในทุ่ง แล้วใครจะมีเวลามาทำงานบ้านและทำอาหารกันละ ถ้าไม่ใช่คนบ้านสาม” ย่าหลี่ ยังบ่นไม่หยุด เพราะคิดว่างานบ้านทุกอย่างย่อมต้องเป็นของหนิงหงชุน และคิดว่าแม้ต่อให้ลูกชายของนางจะตายไปแล้ว แต่สะใภ้และหลานก็ต้องอยู่ภายใต้บ้านใหญ่หลี่และทำงานรับใช้ตนเองต่อไป
“ก็ผลัดเปลี่ยนกันทำสิย่า เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้ อีกอย่างนะ ฉันเองก็ไม่ค่อยสบาย แต่ต่อให้สบายฉันก็ต้องการให้แม่สามีช่วยดูแลลูกทั้งสองคนให้ ส่วนบ้านใหญ่คนออกจะเยอะแยะก็ช่วยกันสิ ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องอาหาร ในเมื่อย่าสั่งให้บ้านสามแยกกินข้าวและแยกครัว แล้วทำไมต้องให้บ้านสามทำกับข้าวให้ทุกคนกินด้วยล่ะ”
ฟางเจียวเหมยหลังจากที่สนทนากับแม่สามีเสร็จแล้วก็ขอตัวออกมากับหลี่เหว่ยเหลียนเพื่อมาพูดกับป้าสะใภ้ เรื่องเอาเงินค่าเทอมของน้องสามีที่คนบ้านใหญ่แย่งชิงไป ก็มาได้ยินการพูดสนทนาของคนทั้งสองจนหมดจึงได้พูดสวนกลับไปทันที
“ตายแล้ว!! ใครให้เธอเข้ามาในบ้านใหญ่กัน นี่มาแอบฟังแม่สามีกับย่าหลี่คุยกันเหรอ ไม่มีมารยาท” ถานอี้เหว่น ลูกสะใภ้ของซ่งเจียฮุยยกมือทาบอกแสดงท่าทีตกใจและโวยวายออกมา เมื่อเห็นว่าฟางเจียวเหมยนั้นเข้ามาฟังบทสนทนาของแม่สามีและแม่เฒ่าหลี่
“ยังไม่ตายย่ะ ถ้าตายแล้วฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง พูดไม่คิดอีกแล้วนะ เอาเถอะ เรื่องตายไม่ตายเอาไว้ก่อน ที่ฉันตามเข้ามาถึงในบ้านหลังนี้ทั้งที่ไม่อยากมาเหยียบสักนิด แต่ที่ฉันมาก็เพราะต้องการอยากรู้ว่า ย่าและ
ป้าสะใภ้มีสิทธิ์อะไรที่ยึดเอาเงินค่าเทอมของเสี่ยวเหลียนไป เพราะเงินส่วนนี้ฉันเป็นคนให้น้องสามีไปจ่ายค่าเทอมเพื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย!!”
ฟางเจียวเหมยไม่รีรอ เธอเองก็ไม่อยากเข้ามาวุ่นวายในบ้านใหญ่เหมือนกัน เพราะเรื่องสำคัญที่สุดของเธอเวลานี้คือหาเงิน และทำอย่างไรก็ได้ที่จะแยกจากบ้านใหญ่ได้อย่างเด็ดขาด มากกว่าที่จะมาวุ่นวายเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ แต่ที่มาเพราะอยากรู้ว่าเรื่องนี้ผู้เฒ่าของบ้านนั้นรับรู้จริงหรือเปล่า หรือเป็นป้าสะใภ้ทำเองคนเดียวแล้วอ้างว่าย่าหลี่สั่งให้ทำ
เมื่อถูกรื้อเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของป้าสะใภ้ใหญ่อย่างซ่งเจียฮุยพลันเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปสบตาลูกสะใภ้ตนเอง เนื่องจากเรื่องนี้แม่สามีนั้นไม่รู้เรื่อง!!
“หล่อนว่าอะไรนะ!! ฉันเนี่ยนะเอาเงินค่าเล่าเรียนของบ้านสามมา เหอะ หล่อนอย่ามาใส่ร้ายฉันเลยเจียวเหมย”
คราวนี้ย่าหลี่ตกใจมากจริง ๆ กับการรับรู้เรื่องนี้ เมื่อพูดจบจึงหันไปมองลูกสะใภ้คนโปรดของตนเองทันที และพอเห็นท่าทางของลูกสะใภ้และหลานสะใภ้ก็เข้าใจได้ว่า สะใภ้ใหญ่คงสร้างเรื่องอีกแล้ว แต่จะให้พูด
หักหน้ากันตรงนี้คงไม่ได้ นางจึงยังเงียบและไม่พูดอะไรออกมา
“ฉันไม่ได้ใส่ร้าย เสี่ยวเหมยต้องแอบฉันไปทำงานในคอมมูนเพราะถูกป้าสะใภ้ชิงเงินค่าเทอมของการมอบตัวไป วันนี้ฉันเพิ่งรู้เรื่องเพราะเห็นว่าน้องสามีนั้นไม่ได้ไปโรงเรียนอย่างที่ควรจะเป็น เงินสิบกว่าหยวน หวังว่าย่าจะคืนให้นะ” หญิงสาวเรียกร้องเงินที่ถูกยึดไปคืน และเธอเชื่อว่าทั้งย่าและ
ป้าสะใภ้ไม่มีทางคืนแน่ ดีไม่ดีคงจะหาข้ออ้างร้อยแปดออกมา แต่นี่ฟางเจียวเหมยคนใหม่ค่ะ ต่อให้ไม่คืน เธอก็มีทางแก้ที่เจ็บแสบกว่าการได้เงินคืนมาแน่นอน
เมื่อเจอคำพูดที่ชวนให้หลังชนฝา ทว่าย่าหลี่ยังคงไม่ยอมรับแต่โดยดี ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนโปรดและหันกลับมาพูดกับหลานสะใภ้จากบ้านสาม
“ต่อให้เป็นอย่างที่หล่อนพูดมา แต่อย่าลืมว่าเสี่ยวเหลี่ยนคือผู้หญิง เรียนไปก็เท่านั้น พอแต่งงานก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลสามีไม่ต้องเรียนให้เสียเวลาและเงินทองหรอก เรื่องนี้ให้แล้วกันไปเถอะ ฉันไม่มีเงินคืนหรอกนะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเงินมันหายากและค่าใช้จ่ายบ้านใหญ่ก็มากโข” ย่าหลี่ตัดสินใจให้จบเรื่องนี้และเลิกแล้วต่อกัน โดยไม่คิดที่จะพูดคุยกับสะใภ้ตนเองเพื่อให้คืนเงินบ้านสาม
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันเป็นคนพูดง่ายอยู่แล้ว ถ้าแบบนั้นเงินที่บ้านสามต้องให้บ้านใหญ่ทุกเดือน ฉันจะตัดออก แล้วหยุดการจ่ายเงินครึ่งปี และต่อไปนี้บ้านสามจะไม่มาทำงานบ้านหรืออาหารให้บ้านใหญ่อีก สรุปตามนี้นะ ถ้าใครไม่จบก็ไปเจอกันที่สถานีตำรวจข้อชิงทรัพย์”
ฟางเจียวเหมยย้อนกลับอย่างเจ็บแสบเช่นกัน เธอแลกกับการที่ไม่ต้องแบ่งเงินเดือนที่สามีของร่างนี้ส่งมาให้ในทุก ๆ เดือน ดีเสียอีกเพราะไม่ต้องจ่ายตั้งครึ่งปี
“หล่อนจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ก่อนหน้านี้บ้านสามจ่ายให้บ้านใหญ่มากกว่านี้อีก พอหล่อนแต่งเข้ามา เงินที่ให้ก็ลดน้อยลง แล้วนี่จะมาตัดเงินอีกครึ่งปี แถมไม่มาทำอาหารให้อีก แล้วบ้านใหญ่จะกินอะไรกันล่ะ” ย่าหลี่โวยวายยิ่งกว่าผีเข้าเสียอีก พอรู้ว่าจะไม่ได้เงินเข้ากองกลางบ้านตั้งครึ่งปี แม้ว่าจะถูกลดลงมาจากเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างไร เดือน ๆ หนึ่งเงินก็เข้ากองกลางหลายหยวน หากถูกตัดส่วนนี้ไป บ้านใหญ่จะมีเงินกองกลางเข้ามาเท่าไรกันเชียว
“เมื่อก่อนกินอย่างไรก็กินแบบนั้นแหละค่ะ ผักก็เยอะ เดี๋ยวนี้ร้านค้าก็เปิดขายกันเยอะแล้ว จะกลัวอดไปทำไมกัน วันนี้ฉันต้องขอตัวก่อน แต่ถ้าย่าไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายอีก ย่าก็ไล่พวกเราออกจากบ้านสิคะ ตัดขาดเลยยิ่งดี!!” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าออกจากบ้านทันที พร้อมกับจูงมือ
น้องสามีออกมาด้วย
หลังจากที่ฟางเจียวเหมยออกมาแล้ว ย่าหลี่ก็เป็นลมหงายหลังตึง จนสะใภ้ใหญ่ของบ้านต้องรีบเข้ามาดูอาการแม่สามี และเมื่อย่าหลี่ฟื้นขึ้นมาก็ก่นด่าลูกสะใภ้คนโปรดยกใหญ่ ที่ทำให้บ้านใหญ่ขาดรายรับจากบ้านสามตั้งครึ่งปี
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี